ตอนที่ 5.2 : ร้านหนังสือ ‘ปลายเวทย์’

2832 Words
แต่แล้ว หญิงสาวก็รู้ว่าตนเองคิดผิดอย่างมหันต์ เมื่อคราเทลหันหลังกลับไปแล้วจบว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นเพียงชายชราคนหนึ่งเท่านั้นเอง ดวงตาสีเทาซึ่งเกิดจากการฝ้าฟางไปตามอายุจ้องมองดู ‘แขก’ ที่มาเยี่ยมเยียนร้านของเขาทั้งๆที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอย่างพิจารณา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไร เสียงเปิดประตูร้านของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง แอ่ด... “โอย....วันนี้ฝนตกหนักใช้ได้เลยแหะ” ขวับ! ทุกคนต่างก็หันไปมองแขกผู้มาใหม่เป็นตาเดียว ส่งผลให้ ‘แขก’ ผู้มีนัยน์ตาสีเหลืองบุษราคัมและผมสีน้ำตาลอ่อนถึงกับเลิกคิ้วมองคราเทลและชายชราซึ่งเป็นเจ้าของร้านอย่างนึกฉงน ชายหนุ่มผู้มีส่วนสูงไม่มากเท่ากับเนเธอร์ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาอยู่ดี ยิ่งถ้าจะพูดประโยคยาวๆด้วยนี่คงไม่ต้องพูดถึง เขาแต่งกายในเสื้อสีขาวสะอาดแลดูเป็นคนมีฐานะเดินตรงเข้ามาในร้านด้วยท่าทีสบายๆ ผิวสีแทนของเขาตัดกับสีขาวจนทำให้เจ้าตัวดูโดดเด่นในทุกอิริยาบท ยิ่งด้วยหุ่นสมส่วนที่มีมัดกล้ามใหญ่พอดีจนดูไม่น่าเกลียดยิ่งทำให้เขาดูเข้มแข็งแต่แววตาของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นไปในเวลาเดียวกัน “อัลเนโร่! นี่คิดจะมาป่วนร้านฉันอีกแล้วสินะ แค่กๆ” ชายชราเจ้าของเรือนผมสีหงอกขาวหันไปถลึงตาใส่ชายหนุ่มผู้มาใหม่เล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะเบือนกลับมามองคราเทลอีกครั้ง “มาดูหนังสืองั้นเหรอนังหนู” เสียงแหบแห้งเอ่ยถามพลางส่งสีหน้าดุๆให้ “ก็ประมาณนั้นแหละค่ะคุณลุง พอดีว่าฝนตกหนักมาก หนูก็เลยมาหาที่หลบฝนในนี้” นี่เป็นคำพูดที่สุภาพที่สุดที่คราเทลเอ่ยออกมาในรอบห้าปีเลยก็ว่าได้ เพราะปกติแล้วเวลาเธออยู่กับพ่อแม่ที่ทราวิลเลีย เธอมักจะแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ ตลอด แต่ครั้งนี้เธอต้องเปลี่ยนสรรพนามเพราะชายชราเจ้าของร้านท่านนี้อาวุธโสกว่าพ่อและแม่ของเธออีก อีกทั้งเขายังชอบทำสีหน้าดุๆให้เธออีกด้วย อีกฝ่ายพยักหน้าส่งให้เธอเล็กน้อย ก่อนที่ร่างชรานั้นจะเดินตรงไปนั่งที่เก้าอี้ไม้เก่าๆซึ่งตั้งอยู่ข้างหลังโต๊ะตัวใหญ่ด้วยท่าทียากลำบาก ซึ่งหญิงสาวก็เพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากชั้นหนังสือขนาดใหญ่นี่แล้ว มันยังมีโต๊ะและมุมอ่านหนังสือซึ่งเป็นเก้าอี้ไม้ประมาณสามสี่ตัววางอยู่ ณ อีกมุมหนึ่งของร้านที่ใหญ่โตแห่งนี้ คราเทลถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะหันกลับไปมองชั้นหนังสือด้วยท่าทางที่ตั้งอกตั้งใจมากกว่าเดิม เสียงของสายฝนที่ยังคงดังอยู่จากด้านนอกบ่งบอกว่าเธอยังมีเวลาเหลือเฟือเพื่อที่จะไปรับเจ้าม้าของเธอไปที่บ้านของเนเธอร์ หนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าถูกมือบางหยิบออกมาจากชั้น ไม่ว่าจะเป็น... ‘เธลานอส ดินแดนหลังความตาย’ 'วิธีการรบของดาเวลเลีย ฮอสตัน รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ ‘ตำนานของเมืองเดแฮมเบล’ ‘สงครามระหว่างชนเผ่า’ ‘หกตระกูลที่เก่าแก่ที่สุดในโดรีเธีย’ คราเทลลงมือเลือกหนังสือที่ตนเองชอบอย่างสนุกสนาน แต่แล้วอยู่ดีๆกลับมีหนังสือเล่มหนึ่งยื่นตรงมาให้เธอจากด้านหน้า และเมื่อดวงตาสีอเมทิสต์ช้อนตาขึ้นมามองก็พบว่าคนที่ยื่นหนังสือมาให้เธอก็คือคนที่เจ้าของร้านเรียกชื่อว่า ‘อัลเนโร่’ นั่นเอง หญิงสาวหรี่ตาลงเล็กน้อยในขณะที่ก้มหน้าลงมองหนังสือเล่มบางที่เขายื่นมาให้อย่างพิจารณาอีกครั้ง ปกของหนังสือซึ่งเป็นสีน้ำตาลแก่บ่งบอกให้รู้ว่ามันทำมาจากหนังของอะไรสักอย่างที่หญิงสาวไม่อาจจะเดาได้ว่ามันคือหนังของอะไร แต่อักษรสีทองที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือบรรจงนั้นกลับทำให้เธอไม่อาจจะละสายตาไปจากมันได้ ‘คำสาปเหมันต์...’ “คำสาปเหมันต์...คำสาปที่จะกัดกินหัวใจของทุกคนไปสู่ก้นบึ้งแห่งความสิ้นหวังและความสูญเสียที่ไม่มีวันจะคืนกลับมา” คราเทลเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาสีอเมทิสต์เปล่งประกายจ้า และโดยที่เธอไม่รู้ตัวมือของเธอที่ยังว่างอยู่ก็ถูกอัลเนโร่ฉวยไปกุมเอาไว้ ชายหนุ่มชันเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับจุมพิตลงบนมือนุ่มอย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาสีบุษราคัมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำว่า “ด้วยเกียรติของทายาทแห่งเทเรสเทรียล ข้าขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว...ตลอดไป” วูบ! อักขระมนตราสีเหลืองเข้มปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของผู้กล่าวในขณะที่ทุกอย่างโดยรอบนั้นกลายเป็นความมืดสนิท ดวงตาของคราเทลนั้นเหม่อลอยก่อนที่พลังอะไรบางอย่างนั้นถูกส่งมาจากมือหนาที่ยังคงกุมมือของเธอเอาไว้มาสู่บริเวณหัวใจของเธอจนเธอรู้สึกอึดอัดและสบายใจไปพร้อมๆกัน ดวงตากลมโตของคราเทลหลับลงช้าๆ อักขระมนตราของเธอจะถูกเรียกขึ้นมาที่เท้าของเธอก่อนที่มันจะขยายออกเป็นวงกว้างซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าทุกครั้ง ‘นี่มันอะไรกัน...พลังมากมายที่ไหลเข้าสู่ตัวของเรา’ หญิงสาวพยายามคิดในขณะที่สมองนั้นยังมึนตื้อไปหมด แต่แล้ว เสียงๆหนึ่งกลับดังขึ้นในห้วงคิด ราวกับว่ามันเป็นคำพูดที่ส่งผ่านมายังเธอโดยตรง....คำพูดที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่สมควรรับรู้ ‘อีกไม่นาน....เจ้าจะตื่นจากการหลับใหล ทายาทแห่งข้า...’ น้ำเสียงทรงอำนาจนั้นเรียกให้ดวงตาของเธอลืมขึ้นในความมืดที่ว่างเปล่า ซึ่งเสียงที่ไม่ทราบที่มานี้สร้างความประหลาดใจให้กับคราเทลจนเธออดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงถามออกมา “ท่าน...เป็นใคร” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก เธอรู้สึกราวกับว่ามีพลังมากมายพัดผ่านมายังร่างของเธอทั้งๆที่รอบๆตัวนั้นเต็มไปด้วยสีดำสนิท ‘อีกไม่นาน...เจ้าก็จะรู้เอง’ เปรี้ยง! สิ้นเสียงปริศนานั้น แสดงสว่างจ้าก็ส่องเข้ามาในดวงตาของเธอพร้อมกับเสียงของฟ้าร้องที่เรียกสติของหญิงสาวที่เพิ่งหลับตาไปนั้นลืมขึ้นมาอย่างงงงวย สมองของเธอนั้นว่างเปล่าจนเธอเองยังนึกโกรธที่ดันจำอะไรไม่ได้เลย ทั้งๆที่สัญชาตญาณของเธอบอกว่ามัน ‘มี’ อะไรบางอย่างแท้ๆ หนังสือที่ชื่อว่า ‘คำสาปเหมันต์’ ยังคงถูกยื่นส่งมาที่เธอโดยอัลเนโร่ดังเดิม ชายหนุ่มส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า “ฉันชื่ออัลเนโร่ เอ เทเรสเทรียล” “ฉันคราเทล เรเมอร์” หญิงสาวตอบเขาโดยไม่ลังเล ก่อนจะยื่นมือไปรับหนังสือมาถือเอาไว้ในมือเช่นเดียวกับเล่มอื่นๆพร้อมกับเดินตรงไปที่โต๊ะตัวใหญ่โดยที่ในใจนั้นยังคงครุ่นคิดอยู่กับความรู้สึกประหลาดเมื่อครู่นี้ แต่ไม่ว่าเธอจะนึกยังไงก็นึกไม่ออก อัลเนโร่เดินตามคราเทลมายังโต๊ะตัวใหญ่ซึ่งเป็นจุดจ่ายเงินด้วยอีกคน แต่...ลุงเจ้าของร้านนี่สิ นั่งหลับในไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ‘นี่ถ้ามีใครมาขโมยหนังสือนี่ก็คงไม่รู้ตัวเลยสินะ’ ร่างบางคิดพลางถอนหายใจเฮือก “นามสกุลเรเมอร์งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็เป็นน้องของรุ่นพี่เนเธอร์อย่างนั้นสินะ” คำพูดของเขาเรียกให้ใบหน้าหวานที่กำลังนั่งดูคนหลับให้หันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว “นายรู้จักพี่เนเธอร์ด้วยเหรอ” คราเทลขมวดคิ้วถามอย่างต้องการคำตอบ “ใช่ พี่ชายของเธอน่ะ อยู่โรงเรียนดังจะตาย ฉันเรียนอยู่ปีสองที่ฟราเทลเลียส ภาคเวอร์ริเออร์ ซึ่งรุ่นพี่เนเธอร์ก็เรียนอยู่ปีสามที่นั่นพอดี เราก็เลยรู้จักกันบ้าง” คำตอบของเขาส่งผลให้หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ต้องเรียกนายว่า ‘พี่อัลเนโร่’ น่ะสิ” “เรียกว่า ‘พี่อัล’ ก็พอแล้วล่ะ โหย! นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันรู้สึกว่าชื่อตัวเองยาว” เขากล่าวพร้อมกับลูบท้ายทอยของตนเองเพื่อแสดงถึงความเครียดที่มากเกินกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งการกระทำอย่างเป็นกันเองของเขาก็เรียกเสียงหัวเราะจากยัยตัวแสบได้เป็นอย่างดี “อ่าว...เลือกเสร็จแล้วงั้นเรอะ” ในที่สุด ชายชราก็รู้สึกตัวตื่น ซึ่งหญิงสาวคาดว่าอาจจะมาจากเสียงหัวเราะของเธอ ดวงหน้าเหี่ยวย่นกวาดตามองไปตามหนังสือเล่มต่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะสีน้ำตาลแก่ตรงหน้าด้วยแววตาสะลึมสะลืออย่างคนเพิ่งตื่นก่อนที่ดวงตาสีเทาจะสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มบางที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ‘คำสาปเหมันต์....มีหนังสือแบบนี้อยู่ในร้านด้วยอย่างนั้นเหรอ?’ เขาจ้องมองดูมันอย่างงงๆ ก่อนจะชะเง้อเข้าไปมองใกล้ๆซึ่งไม่ว่าจะดูยังไงก็ไม่คุ้นเคยกับหนังสือเล่มนี้สักนิด ฝนที่ตกอยู่นั้นหยุดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้คราเทลเริ่มรู้สึกสงสารเจ้าม้าที่พ่อของเธอส่งมาที่เมืองนี้ล่วงหน้าจับใจ อยากจะไปรับมันมาดูแลเร็วๆเพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ “รีบๆคิดเงินเถอะลุง เดี๋ยวหนูต้องรีบไปที่อื่นต่อ ว่าแต่ลุงพอจะรู้ไหมว่าจุดรับม้าจากสถานีรถไฟนี่อยู่ที่ไหนเหรอ” “อืม....หกเล่มราคาทั้งหมดเอ่อ...สี่ร้อยโดร์ก็แล้วกัน ส่วนจุดรับม้านั่นก็ต้องไปที่ถนนเบิลนาร์ ถัดจากที่นี่ไปอีกสองถนนแล้วตรงไปที่สำนักงานรับฝากสัตว์ขนส่ง” ชายชรากล่าวพร้อมกับใช้เชือกมัดหนังสือที่เธอซื้อเอาไว้ด้วยกันในขณะที่คราเทลนั้นยื่นเงินส่งให้กับเขา “ขอบคุณมากนะลุง แล้วจะแวะมาบ่อยๆนะ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงกล่าวพร้อมกับรับหนังสือขึ้นมากอดเอาไว้ ความหนักของมันไม่ได้ทำให้คราเทลรู้สึกอะไรเท่าไหร่นักเนื่องจากตอนที่เธอถูกพ่อบุญธรรมของเธอฝึกอบรมให้เรียนรู้ชีวิตของการเป็นนักฆ่านั้นยังต้องทำอะไรที่หนักกว่านี้เยอะ คราเทลเบือนหน้าไปมองอัลเนโร่ก่อนจะกล่าวลาด้วยน้ำเสียงกวนๆว่า “ถ้าหากว่าฉันโชคดีสอบติดที่ฟราเทลเลียส เราก็คงจะได้พบกันอีกนะพี่อัล” ว่าแล้วร่างบางก็เดินออกจากร้านไปด้วยท่าทีไม่รีบร้อนเท่าไหร่นัก ซึ่งมันผิดจากตอนที่เธอวิ่งหนีฝนเข้ามาหาที่หลบในนี้โดยสิ้นเชิง ดวงตาสีบุษราคัมนมองตามร่างที่หายไปจนลับตาในขณะที่เจ้าตัวนั้นถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก่อนที่ฝีเท้ามั่นคงจะเดินตรงเข้าไปในทางที่เว้นว่างของชั้นหนังสือซึ่งทอดยาวไปยังชั้นหนังสืออีกจำนวนมากข้างในเพื่อพาตนเองไปยังจุดที่ชายชราเจ้าของร้านไม่สามารถมองตามเข้ามาได้ เขามักจะแวะมาที่นี่บ่อยๆด้วยเหตุผลที่ว่าร้านนี้ไม่มีลูกค้าเยอะสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะชื่อร้านที่แปลกประหลาดที่ลุงเจ้าของร้านบอกว่าเป็นชื่อที่ตั้งมาตั้งแต่สมัยปู่ของเขา ชายชราจึงไม่คิดจะเปลี่ยนชื่อนี้ แถมสภาพของร้านนั้นก็โทรมเสียจนดูแล้วไม่ปลอดภัยกับการเหยียบย่างเข้ามาเอาเสียเลย เขาไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขาเข้ามาที่ร้านแห่งนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาหลงรักที่นี่มากขึ้นทุกวันนั่นก็เพราะว่าในร้านแห่งนี้มีตำราเวทมนต์ที่น่าสนใจอยู่หลายร้อยเล่มที่ไม่รู้ว่าเขาจะอ่านมันหมดเมื่อไหร่ อีกทั้งยังมีตำนานแปลกๆที่เขาไม่เคยได้ยินมาจากที่ไหนอีกด้วย อัลเนโร่มองดูบรรยากาศข้างนอกร้านที่กลับมาสดใสอีกครั้งหลังจากที่สายฝนผ่านพ้นไป ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่เขาใช้คาถาเรียกสายฟ้าไปผ่าใกล้ๆกับคราเทลที่เดินอยู่บริเวณด้านนอกของร้านเพื่อบังคับให้เธอเดินเข้ามาในร้านแห่งนี้ถึงสองครั้ง แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวร่างบางคนนั้นก็คงจะหัวรั้นพอตัว “เด็กคนนั้นจำเป็นต้องรู้....เรื่องคำสาปเหมันต์’ ชายหนุ่มจมอยู่ในความคิดของตนเอง จนกระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งที่คุ้นเคยดังเข้ามาในโสตประสาท “อะไรกันน่ะอัลเนโร่ มาแอบทำพันธะกับทายาทของโดมีนานคนเดียวแบบนี้มันขี้โกงนี่! อลิสยังไม่แม้แต่จะทำความรู้จักเลยนะ” เสียงเล็กๆที่แสดงถึงความไม่พอใจดังขึ้นในมุมมืดของร้าน ก่อนที่หญิงสาวเจ้าของเรือนผมและดวงตาสีแดงอมชมพูจะปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เธอมีส่วนสูงที่น้อยกว่าคราเทลอยู่เล็กน้อย รูปร่างกะทัดรัดในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่านั้นทำให้เธอดูราวกับเป็นตุ๊กตาน่าทะนุถนอม ยิ่งทรงผมที่มัดเป็นเปียสองข้างยิ่งทำให้ใบหน้าขาวอมชมพูนั้นยิ่งดูเด็กเข้าไปใหญ่ยามเมื่อเจ้าตัวทำแก้มป่องๆเวลางอนราวกับเด็กๆ “ฉันไม่ได้เป็นคนแรกที่ทำพันธะ” อัลเนโร่กล่าวพลางเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือแล้วเปิดอ่านมันด้วยท่าทีสงบ ทั้งๆที่ดวงตานั้นกรอกไปมาอย่างใช้ความคิด “ใครอย่างนั้นเหรอ” อลิสขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัยพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะสนใจหนังสือในมือมากกว่าคู่สนทนาอย่างเธอเสียแล้ว “ถ้าฉันเดาไม่ผิด...คงจะเป็นทายาทแห่งฟีเดธเธอร์” เสียงทุ้มนั้นเริ่มเพิ่มระดับความขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ “ห๊ะ! หมายถึงคนที่โดนทำพันธะแห่งมารด้วยน่ะเหรอ!!” หญิงสาวร่างเล็กร้องขึ้นอย่างตกใจก่อนจะรีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตนเองเมื่อรู้ตัวว่าเธอส่งเสียงดังมากจนเกินไปแล้ว “อืม...แต่ฉันมั่นใจว่าเขาคงจะไม่เป็นอันตรายอะไรกับคราเทลในตอนนี้หรอก” อัลเนโร่ปิดหนังสือในมือของตนเองเพราะรู้ดีว่าเขาคงไม่มีสมาธิที่จะอ่านมันรู้เรื่อง ก่อนจะสอดมันเข้าไปในชั้นหนังสือดังเดิมแล้วเบือนหน้ามามองอลิสที่กำลังขมวดคิ้วส่งให้เขา “หมายความว่ายังไงที่ว่า ‘ในตอนนี้’” เสียงเล็กถามอย่างไม่เข้าใจ “ตอนนี้ฉันก็ยังพูดอะไรไม่ได้มากเหมือนกัน จนกว่าเราจะได้เจอตัวของทายาทคนนั้นเสียก่อน” “ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ” อลิสใช้นิ้วจิ้มแก้มของตนเองพลางตีสีหน้าครุ่นคิดที่นานๆนักจะได้เห็นจากคนที่ ‘พยายาม’ จะทำตัวเป็นเด็กอย่างเธอ “จะว่าไปแล้ว องครักษ์แห่งตำนานก็มีทั้งหมดห้าคนนี่เนอะ ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกสามคนที่เหลือจะเป็นคนแบบไหนกันบ้าง” เสียงใสเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปมองใบหน้าได้รูปของอัลเนโร่อย่างขอความเห็น “ที่แน่ๆ....ก็คงจะไม่มีใครนิสัยเหมือนเธอหรอก อลิส โพลีน่า!” [1] ดีอาร์นา ภาษาที่ใช้กันปัจจุบันในโดรีเธียซึ่งถูกใช้อย่างเป็นทางการเมื่อสี่ร้อยปีก่อนเนื่องจากเดิมที่แล้วโดรีเธียนั้นมีหลายชนเผ่าอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย จึงมีภาษาโบราณอยู่หลายแขนงจนพูดคุยสื่อสารกันลำบาก ทางสภาแห่งโดรีเธียจึงได้มีการเปลี่ยนและปลูกฝังให้ประชากรทั้งหลายนั้นหันมาใช้ภาษาดีอาร์นาเป็นภาษากลางในทุกๆอย่างเพื่อให้สะดวกมากยิ่งขึ้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD