ตอนที่ 5 : ร้านหนังสือ ‘ปลายเวทย์’
ฉ่า...
เสียงฝนที่เทกระหน่ำลงมาส่งผลให้คราเทลที่เพิ่งจะวิ่งไปไม่ถึงไหนถึงกับต้องวิ่งเข้าหาที่กำบังซึ่งเป็นซอกตึกของร้านอาหารที่มีป้ายโฆษณาเสียดแนวขวางเอาไว้ทางด้านบนอย่างรวดเร็ว
เสื้อผ้าที่เปียกปอนของเธอส่งผลให้เจ้าตัวนิ่วหน้าอย่างเซ็งๆก่อนจะรู้สึกโล่งใจที่เธอเลือกที่จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหนาและตัวใหญ่ เวลาที่มันเปียกน้ำจึงไม่ค่อยแนบเนื้อสักเท่าไหร่นัก
แต่ที่แย่ก็คือผมสีน้ำตาลแดงที่เพิ่งจะเปียกหมาดๆของเธอกลับต้องมาเปียกฝนอีกจนได้ รู้อย่างนี้เธอไม่น่าสระผมก่อนออกมาจากบ้านเนเธอร์ยังจะดีซะกว่า
อากาศที่หนาวเย็นทำให้คราเทลต้องกอดร่างที่เริ่มสั่นของตนเองเพื่อบรรเทาความหนาวในขณะที่ดวงตาสีอเมทิสต์มันพยายามจะมองผ่านสายฝนเพื่อหาที่หลบฝนที่ดีกว่านี้
น่าแปลก....เพราะทันทีที่ฝนตก ร้านค้าในระแวกนี้ก็ทำการปิดร้านอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรีบกันไปไหนทั้งๆที่ฝนยังตกได้ไม่นานแท้ๆ
คราเทลสูดหายใจเข้าลึกๆทั้งๆที่ฟันของเธอนั้นกระทบเข้าหากันจากความหนาวจนกลายเป็นเสียง แต่หญิงสาวก็คลายอ้อมกอดของตนเองออกพร้อมกับยื่นมันตรงไปเบื้องหน้าในลักษณะหงายมือขึ้น
อักขระมนตราสีม่วงเช่นเดียวกับสีตาของเธอปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าพร้อมกับลูกแก้วสีม่วงอ่อนแวววับซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณยี่สิบเซ็นติเมตรนั้นลอยอยู่เหนือมือทั้งสองข้างของเธอ ลูกแก้วซึ่งมีปีกเล็กๆสีเงินกระพืออยู่ทั้งสองข้างเพื่อให้มันสามารถทรงตัวอยู่ในอากาศได้เปล่งประกายจ้าท่ามความสายฝนที่มืดมิดราวกับว่าเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างอยู่บนฟากฟ้าในยามค่ำคืนก็ไม่ปาน
ลูกแก้วมนตราที่พ่อบุญธรรมของเธอบอกว่ามันเป็นของฝากจากแม่จริงๆของเธอก่อนที่หล่อนจะสิ้นใจ....
คราเทลหลับตาลงช้าๆเพื่อรวบรวมสมาธิเพื่อสั่งให้ลูกแก้วของเธอนั้นเริ่มหมุนวนไปรอบๆตัวเธอ ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวของมันสร้างกากเพชรสีเงินระยิบระยับออกมาจากปีกทั้งสองข้างจนแลดูน่าหลงใหลและถ้ามีใครมาพบ ก็คงไม่อาจจะละสายตาไปจากหญิงสาวร่างงามที่มีแสงเปล่งประกายอยู่รอบๆตัวนี้ไปได้เลย
เสื้อผ้าที่เคยเปียกชุ่มของเธอจะแห้งราวกับว่าเพิ่งจะตากเสร็จด้วยฤทธิ์จากลูกแก้ว เท่านั้นยังไม่พอ หญิงสาวยังร่ายมนต์อะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในขณะที่กลุ่มหมอกบางๆเป็นรูปทรงโค้งๆจะปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเธอพร้อมกับความยาวของมันที่เพิ่มขึ้นจนมันครอบคลึมมาถึงบริเวณคอ และภายในเวลาไม่นานมันกลายเป็นกระจกทรงโค้งมนแผ่นบางๆมาครอบศีรษะของเธอเอาไว้อย่างปกป้องทั้งๆที่มองเพียงผิวเผินแล้วอาจจะแตกได้ทุกเมื่อถ้าหากว่ามีอะไรไปสัมผัสกับมันเข้า
คราเทลเรียกเก็บลูกแก้วสีม่วงอ่อนของตนเองให้หายไปในความว่างเปล่า สีหน้าของเธอดูสะชื่นและดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างบางค่อยๆก้าวออกมาจากที่ซ่อนด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนทั้งๆที่ฝนยังคงตกหนัก แต่แล้ว ตัวของเธอกลับไม่เปียกหรือโดนละอองฝนเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับเวทมนตร์ของตนเองที่ประสบผลสำเร็จ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องรีบหาที่หลบฝนที่ดีกว่านี้เพราะเวทมนตร์ที่เธอใช้ตอนนี้สามารถใช้ได้ภายในระยะเวลาที่มีจำกัด และถ้าเธอเรียกมันขึ้นมาใช้อีกเรื่อยๆในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ความแข็งแรงของ ‘เกราะป้องกัน’ ก็จะบั่นทอนลงไปด้วย
“เฮ้อ! ชักอยากจะไปเรียนที่ฟราเทลเลียสซะแล้วสิ อย่างน้อย....เวทมนตร์อ่อนๆของฉันอาจจะดีขึ้นกว่านี้” คราเทลคิดพลางถอนหายใจออกมา แล้วจึงออกตัวเดินไปบนฟุตปาธสีเหลืองที่ชื้นแฉะ
เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร หญิงสาวก็พบว่าพื้นของฟุตปาธที่เธอเดินอยู่กลับไม่ใช่สีเหลืองอีกต่อไปแล้ว ทัศนียภาพรอบข้างเธอนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พื้นหินฟุตปาธที่เธอเหยียบอยู่ตอนนี้เป็นสีแดง ส่วนตึกรอบๆที่เคยเป็นร้านอาหารกลับเปลี่ยนไปเป็นตึกเก่าๆฝั่งหนึ่งที่เธอมองไม่ออกว่ามันเป็นตึกอะไร ส่วนอีกฝั่งนั้นเธอสามารถมองเห็นได้ชัดกว่าเพราะว่ามันเป็นตึกกระจกที่มีเทียนไขจุดอยู่ในนั้นจนสว่าง
และแน่นอนว่าทางที่เธอเลือกที่จะไปก็คงไม่พ้นอาคารใหม่ที่ดูแล้วน่าเชื่อถือกว่า!
แต่ทว่า...ยังไม่ทันที่เธอจะเลี้ยวตรงไปยังทิศทางที่ตนเองต้องการ
เปรี้ยง!!
สายฟ้าสีเหลืองเข้มที่ไม่รู้ที่มากลับพุ่งตรงมาขวางเธอเอาไว้พอดิบพอดี มิหนำซ้ำ มันยังเฉียดขาของเธอไปเพียงไม่กี่เซ็นติเมตรเท่านั้น!
“เฮ้ย!” คราเทลถึงกับสะดุ้งพร้อมกับกระโดดหลบไปทางด้านหลังอย่างตกใจ อดที่จะรู้สึกเสียวไม่ได้ว่าถ้าหากเมื่อครู่มันผ่าโดนตัวของเธอ เธอจะมีสภาพเป็นยังไง
ไหม้?...สุก?....เกรียม?...ผมลุกติดไฟ? หรือตัวนั้นกลายเป็นเถ้าธุลี?
‘บรื๋อ....ยิ่งคิดก็ยิ่งหลอน’
หญิงสาวคิดพลางเดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่แล้วเหตุการณ์เช่นเดิมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เปรี้ยง!
และคราวนี้....มันผ่าเข้ามาที่เกราะป้องกันที่อยู่บนหัวของเธอเข้าพอดี!
เคร้ง!
เสียงของแผ่นกระจกใสๆนั้นแตกออกจากกันก่อนที่มันจะกลายเป็นเพียงเกล็ดสีม่วงบางๆปลิวไปตามกระแสลมที่พัดกรรโชก แต่ก็คงไม่มีอะไรเลวร้ายสำหรับเธอได้มากกว่าการที่เธอต้องมา ‘เปียก’ ซ้ำสองอีกแล้ว!
“ให้มันได้อย่างนี้สิ!” คราเทลตะโกนออกมาอย่างอารมณ์เสีย จากนั้นก็สาวเท้าอย่างรวดเร็วไปยังที่กำบังที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งเป็นตึกไม้เก่าๆโทรมๆเนื่องจากไม้ส่วนใหญ่นั้นผุเสียจนดูแล้วน่าหวาดกลัวอย่างที่สุดเพราะมันอาจจะพังลงมาได้ทุกเมื่อถ้าหากว่ามีลมพายุพัดเข้ามายังบริเวณนี้เข้า
แต่....มันก็เป็นที่พึ่งแห่งเดียวของเธอในตอนนี้ ดีกว่าที่จะต้องไปจนเปียกฝนจนตัวหนาวสั่นอยู่ที่ฟุตปาธอีก
หญิงสาวลองมองสำรวจไปรอบๆก็พบว่าที่หน้าประตูทางเข้าซึ่งทำให้อยู่ลึกเข้าไปด้านในนั้นมีป้ายสีดำสนิทซึ่งทำจากไม้แขวนเอาไว้พร้อมกับตัวหนังสือนูนสีทองซึ่งเขียนเอาไว้ว่า....
“ปลายเวทย์?” คราเทลอ่านอักษรหมึกที่ถูกเขียนด้วยภาษาดีอาร์นา[1] พร้อมกับเลิกคิ้วอย่างฉงน อ่านๆดูแล้วแทบจะไม่รู้เลยว่าป้ายนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่
แอ่ด...
ในขณะที่หญิงสาวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก....ประตูสีดำสนิทซึ่งมีลักษณะเป็นสองบานขนาดใหญ่แลดูโบราณพอสมควรของร้านก็เปิดออกทั้งๆที่ดูแล้วไม่น่าจะมีคนพักอาศัยอยู่ข้างในเลยสักนิดเพราะไฟข้างในนั้นไม่ได้ถูกจุดเลยแม้แต่น้อย
ประตูที่ยังคงเป็นอ้าอยู่เช่นเดิมราวกับจะเชิญชวนให้เข้าไปทางด้านใน และด้วยนิสัยกล้าได้กล้าเสียของคราเทลที่มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หญิงสาวจึงปัดความเคลือบแคลงใจที่มีก่อนจะก้าวตรงเข้าไปในตึกไม้เก่าๆตรงหน้าด้วยท่าทีมาดมั่นในขณะที่หัวใจของคราเทลนั้นเต้นแรงอย่างตื่นเต้นเพราะไม่รู้ว่าเมื่อเธอก้าวพ้นประตูบานนี้ไปแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ปึง!
เสียงปิดประตูส่งผลให้ร่างบางถึงกับสะดุ้งโหยงพร้อมกับความมั่นใจเมื่อครู่ที่ถูกบั่นทอนให้ลดน้อยลงไปกว่าครึ่ง
พรึบ!
เทียนไขภายในห้องซึ่งมีมากกว่าสิบเล็กกลับถูกจุดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับว่ามีใครใช้เวทมนตร์เรียกมันขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คราเทลตกใจเพราะเธอรู้สึกอุ่นใจเวลาที่สามารถมองเห็นอะไรรอบๆตัวได้มากกว่าความมืด
ดวงตาสีอเมทิสต์กวาดมองดูรอบๆห้องอย่างสำรวจ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อสายตานั้นสะดุดเข้ากับชั้นหนังสือไม้สีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาดสูงกว่าเธอประมาณสี่เท่าตัวตั้งอยู่ตรงหน้า มิหนำซ้ำ พอเธอเริ่มเดินสำรวจดูรอบๆก็พบว่ายังมีชั้นหนังสือซึ่งมีลักษณะเหมือนกันทุกประการอีกประมาณเจ็ดชั้น ความกว้างประมาณโต๊ะหนังสือสองตัวเรียงติดกันในลักษณะเป็นวงกลมที่ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากยังขาดชั้นหนังสืออีกชั้นที่จะมาประกอบชั้นหนังสือนี้ให้ไม่มีช่องโหว่อีก แต่คราเทลกลับคิดว่าการที่มันขาดไปนั้นไม่ใช่ความบังเอิญ....เพราะดูจากอายุการใช้งานของมันแล้ว น่าจะเป็นร้านที่เปิดมานานพอสมควร ไม่น่าจะใช้ร้านใหม่ๆที่ยังสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม่ครบแต่อย่างใด
คราเทลเดินตรงเข้าไปในช่องที่ถูกเว้นว่างเอาไว้อย่างใคร่รู้ ก่อนที่จะตกใจขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อพบว่าภายในชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่ถูกเรียงอยู่ภายนอก ยังมีชั้นหนังสือที่เล็กกว่าด้านนอกเล็กน้อยอีกห้าชั้นเรียงติดกันเป็นวงกลมที่มีขนาดเล็กกว่าอยู่ด้านใน!
และที่สำคัญคือ ทุกชั้นหนังสือที่วางเรียงรายอยู่นี้ ไม่มีที่ไหนเลยที่จะไม่มีหนังสือวางเรียงอยู่บนนั้น!
คราเทลคิดได้ทันทีว่าที่นี่คงเป็นร้านหนังสืออย่างไม่น่าสงสัย แต่ใครกันที่เป็นคนเปิดประตูให้เธอเข้ามา...
ร่างบางคิดยังมองไล่ไปยังคลังสมบัติแห่งความรู้ซึ่งก็คือหนังสือที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบด้วยดวงตาเป็นประกายเพราะหนังสือพวกนี้คือแหล่งความรู้ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เธอเติบโตมาจนบัดนี้เลยก็ว่าได้
เธอเติบโตมาในครอบครัวของนักฆ่า ซึ่งพวกเขาต่างก็ไร้พลังเวทย์ไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ‘เธอ’ ซึ่งมีพลังเวทย์และต้องการจะเรียนรู้จึงไม่สามารถขอคำปรึกษาได้จากใคร แม้กระทั่งอาจารย์ที่โรงเรียนซึ่งพอจะเรียนเวทมนตร์ได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้น เธอจึงเริ่มเก็บสะสมเงินเพื่อจะซื้อหนังสือมาอ่าน และที่ซื้อมาส่วนใหญ่ก็จะเป็นตำราเวทมนตร์หรือไม่ก็หนังสือประวัติศาสตร์ของอาณาจักรที่เธอชอบศึกษา แต่ที่นี่....มันไม่เหมือนกับร้านหนังสือไหนๆที่เธอเคยมาเลยสักนิด! หนังสือเล่มเก่าๆที่ถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดีทำให้มันประเมินค่ามิได้ มิหนำซ้ำ หนังสือบางเล่มยังเป็นหนังสือเก่าแก่ที่พิมพ์ขึ้นเป็นจำนวนจำกัดที่หาไม่ได้อีกแล้วในโดรีเธีย
“ใครน่ะ!”
เสียงแหบแห้งส่งผลให้มือเรียวที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบหนังสือปกสีน้ำตาลที่ตนหมายตาเอาไว้ถึงกับชะงักก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วหันไปเผชิญหน้ากับน้ำเสียงน่ากลัวนั้นรวมถึงจินตนาการความน่ากลัวของเจ้าของเสียงที่คงจะเป็นคนหน้าตาโหดๆและนิสัยป่าเถื่อนเป็นแน่