ยุคอดีต
รัชสมัยถังเกาจงฮ่องเต้
แผ่นดินในยุคโบราณขณะนี้ตรงกับยุคของราชวงศ์ถัง เข้าสู่รัชศกซ่างหยวนปีที่ 5 รัชสมัยของถังเกาจงฮ่องเต้พระนามเดิมหลี่จื่อ ทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากถังไท่จงฮ่องเต้ จักรพรรดิลำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์ถังซึ่งในประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นช่วงยุคสมัยของราชวงศ์ถังตอนต้น
ในยามนี้แม่ทัพจางเย่วฉินได้รับพระราชทานโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหาร ควบคุมกองกำลังทหารและกองทัพทั้งหมด และยังรั้งตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารราชองครักษ์ เป็นขุนนางฝ่ายบู้ขั้น 2 ระดับเสนาบดีด้วยวัยเพียง 27 ปีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางราชการสูงสุดในเวลาอันรวดเร็ว
หากแต่แม่ทัพหนุ่มชื่อกระฉ่อนกลับใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามรบคอยเฝ้าระวังเขตชายแดนอยู่ทางด่านนอกตอนเหนือมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ทางราชสำนักและชาวเมืองนครฉางอานต่างพากันเรียกร้องให้แม่ทัพลือชื่อผู้นี้กลับคืนสู่เมืองหลวงอันแสนจะมั่งคั่ง
ช่วงระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา จางเย่วฉินสร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงทั้งให้แก่ตัวเองและเอื้อประโยชน์ต่อตระกูลจางเป็นยิ่งนัก ชื่อเสียงกระฉ่อนล่วงรู้ไปแดนไกล แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิไม่เดินทางกลับเมืองหลวงฉางอานด้วยเพราะติดพันศึกสงครามที่ต้องสู้รบกับชนเผ่านอกด่านทางตอนเหนือ จวบจนกระทั่งชนเผ่านอกด่านเกิดปัญหาภายในขัดแย้งกันเอง
ทั้งนี้เพื่อแย่งชิงขึ้นเป็นผู้นำชนเผ่า จึงทำให้ต้องใช้กำลังพลและเสบียงอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงกองทัพของตนเองให้กุมอำนาจชนเผ่านอกด่านทั้งหมดให้รวมเป็นหนึ่งเดียว และนั่นจึงเป็นเหตุให้ชายแดนทางตอนเหนือของต้าถังซึ่งมีอาณาเขตติดกับชนเผ่านอกด่านทางกลับมาอยู่ในความสงบสุขอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ถังเกาจงฮ่องเต้จึงมีคำสั่งให้ผู้บัญชาการทหารจางเย่วฉินกลับนครฉางอาน เพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารองครักษ์โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อมารับตำแหน่งใหม่และถือเป็นหัวใจสำคัญยิ่งในการอารักขาความปลอดภัยให้แก่จักรพรรดิตลอดเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และครั้งนี้แม่ทัพหนุ่มมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไปหากขัดพระบรมราชโองการก็เท่ากับว่าไม่จงรักภักดีและจะทำให้ตระกูลจางถูกตัดสินประหารชีวิต 7 ชั่วโคตรเลยทีเดียว
ดวงตาสีนิลกาฬคู่สวยเหม่อมองทุ่งหญ้าเบื้องหน้า ซึ่งเป็นเขตชายแดนของชนเผ่านอกด่านของอาขาเล่อซาน ซึ่งเป็นชนเผ่าใหญ่ที่สุดของเมืองทุ่งหญ้า ฝูงแกะมากมายนับหลายหมื่นตัวขาวโพลนอยู่กลางท้องทุ่งเขียวขจีและมีผู้คนในชนเผ่าอาศัยอยู่ภายในคอยดูและใช้ชีวิตอย่างมีอิสระเสรีเป็นที่น่าริษยาต่อดวงตาคู่หนึ่งจากแดนจงหยวนยิ่งนัก
เฮ้อ! เสียงทอดถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงของแม่ทัพหนุ่มชื่อก้อง จนเหล่าทหารรักษาการณ์ที่อยู่ภายในละแวกนั้นต่างหันกลับมามองเป็นจุดเดียวกัน
“เหตุใดท่านแม่ทัพจึงทอดถอนหายใจราวกับว่ามีเรื่องทุกข์ซุกซ่อนเก็บเอาไว้ภายในขอรับ ข้าน้อยเห็นท่านยืนเหม่ออยู่ตรงนี้มานานกว่าหนึ่งก้านธูปแล้ว” กัวเหยียนไฉทหารคนสนิทผู้ติดตามคอยรับใช้อย่างใกล้ชิดเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“นี่เจ้าแอบมองดูข้าอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอ!” แม่ทัพหนุ่มถามกลับไปโดยไม่หันกลับมามองคนสนิทของเขา
“ก็อาการของท่านเหม่อซะแบบนี้จะไม่ให้คอยมองได้อย่างไงเล่าขอรับ และไม่ใช่ว่าจะเพิ่งมีอาการแบบนี้เสียที่ไหนกัน ข้าน้อยเห็นท่านแม่ทัพมีอาการแบบนี้มานานแล้ว เพียงแต่ว่าพักหลังชักจะเป็นหนักยืนใจลอยบ่อย นับตั้งแต่ฝ่าบาททรงมีพระบรมราชโองการให้กลับนครฉางอาน ตั้งแต่นั้นมาท่านแม่ทัพเหมือนไม่มีความสุขเลย” กัวเหยียนไฉพูดออกไปตามความคาดเดาของตัวเอง
ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มออกมาบางๆ ครั้นได้ยินคนสนิทกล่าวเช่นนั้น
“เจ้าสมแล้วที่เป็นคนสนิทข้างกายข้าเสียจริงๆ ล่วงรู้ว่าในเวลานี้ข้านั้นมีความรู้สึกเช่นไร บอกตามตรงว่าข้าชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เห็นผู้คนในทุ่งหญ้ามีความเป็นอยู่อย่างอิสระ ไม่ต้องยึดกฎของตระกูลไม่ต้องแบกภาระอันยิ่งใหญ่ในฐานะของผู้นำตระกูลจางเอาไว้ ตำแหน่งใหญ่โตที่ได้รับไม่ใช่จุดมุ่งหมายในชีวิตของข้าอีกต่อไปแม้แต่น้อย” จางเย่วฉินเอ่ยออกมา
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว จุดมุ่งหมายในชีวิตของท่านแม่ทัพคืออะไรอย่างนั้นหรือขอรับ” กัวเหยียนไฉถามสวนกลับไปทันทีด้วยความอยากรู้
แม่ทัพหนุ่มยืนนิ่งพลางครุ่นคิดว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของตนเองนั้นคือสิ่งใดกันเล่า ดวงเนตรสีนิลมองตรงไปยังทุ่งหญ้าเบื้องหน้าที่มีอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ส่ายไปมาติดต่อกัน
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของข้าในชีวิตคือสิ่งใด คราแรกข้าเคยคิดว่าการนำตระกูลจางให้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่และเป็นที่ยอมรับของราชสำนักและเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ที่ไม่มีใครจะไม่รู้จักและผู้คนต้องยอมสยบก้มหัวใคร ข้า! ก็สามารถนำตระกูลจางก้าวขึ้นจุดสูงสุดได้ตามคำมั่นที่ให้ไว้กับท่านพ่อ แต่ครั้นพอได้ทุกอย่างดั่งใจหวังกาลกลับกลายเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่จุดมุ่งหมายและเป็นความหวังของชีวิตข้าแม้แต่น้อย” แม่ทัพรูปงามเปิดเผยความรู้สึกของตนออกไปจนหมดเปลือก
ในขณะที่กัวเหยียนไฉฟังแล้วมีความรู้สึกบางอย่างแทรกขึ้นมา เกิดอาการคันปากทันที
“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยคิดว่า อาการของท่านแม่ทัพที่เป็นแบบนี้น่าจะมาจากการโหยหาความรักแน่ๆ เลยขอรับ” กัวเหยียนไฉเผลอหลุดปากพูดออกไปก่อนจะรู้สึกตัวรีบเม้มปากของตัวเองเข้าหากันทันที
ใบหน้าที่มีแต่ความเย็นชาค่อยๆ หันกลับมามองหน้าคนสนิทของตนอย่างช้าๆ ครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ข้านะเหรอ! โหยหาความรัก! มันเป็นอย่างไร อีกอย่างตัวข้าเองยังไม่รู้เลยแล้วจะโหยหาไปเพื่ออะไร!” แม่ทัพรูปงามเอ่ยค้านเสียงกร้าว
“ก็เพราะว่าท่านไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรนะสิขอรับจึงไม่รู้ตัวเอง แต่ถ้าให้ข้าน้อยพูดออกมาตามตรงก็กลัวว่าจะถูกลงโทษ” เหยียนไฉบอกออกไปกึ่งกล้ากึ่งกลัว
“เจ้าอยากจะบอกอะไรข้าก็รีบพูดมา ขืนชักช้าทำให้ต้องรำคาญไอ้โทษที่กลัวว่าจะโดนข้าจะลงทัณฑ์เข้าให้จริงๆ” จางเย่วฉินขู่คนสนิทของตัวเองกลับไป
และนั่นทำให้กัวเหยียนไฉรีบกระวีกระวาดขึ้นมาทันที
“ข้าน้อยพูดแล้วขอรับในเมื่อท่านแม่ทัพอนุญาตแล้วเช่นนี้ ก็จะบอกตามที่เห็นท่านและติดตามคอยรับใช้มานาน เหตุที่ข้าน้อยพูดออกมาเช่นนั้นก็เพราะว่า หลังจากที่ได้เข้ามาอยู่ในตระกูลจางคอยติดตามรับใช้และเป็นเพื่อนเล่นของท่านมาตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้ล่วงรู้ว่าเดิมทีตัวท่านไม่ได้อยากจะใช้ชีวิตเช่นนี้” กัวเหยียนไฉกล่าวออกไปตามตรง
“อย่างนั้นเหรอ! เจ้ามองข้าทะลุถึงเพียงนั้นเชียว” จางเย่วฉินพูดพลางยกสองมือไพล่เอาไว้ด้านหลังพร้อมหันกลับไปทอดสายตามองทุ่งหญ้าดั่งเดิม ความเงียบงันเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุมก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มของแม่ทัพผู้กล้าดังแทรกขึ้น
“พูดต่อไป! ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าในสายตาของผู้อื่นจะมีผู้ใดสามารถมองข้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งบ้าง” เสียงสั่งดังขึ้นมาเบาๆ ท่ามกลางความโล่งใจของอีกฝ่ายที่ได้ยินเช่นนั้น
“ขอรับ!” กัวเหยียนไฉขานรับ
“เท่าที่ข้าน้อยติดตามท่านแม่ทัพมา จึงทำให้ล่วงรู้ว่าสิ่งที่ท่านชื่นชอบและโปรดปรานคือการวาดภาพ และการเล่นดนตรีรวมไปถึงการใฝ่หาความรู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านสำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาชั้นสูงกลายเป็นนักปราชญ์ ที่มีความรู้แตกฉานอย่างหาตัวจับยาก แต่เพราะภาระและหน้าที่อันยิ่งใหญ่ซึ่งท่านแม่ทัพต้องสืบทอดต่อในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลจางที่หลงเหลืออยู่ จึงทำให้ท่านไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการจริงๆ ได้” กัวเหยียนไฉอธิบายให้ผู้เป็นนายฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“สิ่งที่ชอบแต่กลับไม่สามารถทำได้ก็ไม้ได้หมายความว่าข้าจะขาดไร้สิ้นสิ่งนั้นเสียที่ไหนกันเล่า สามารถกลับไปทำตามความชอบได้ทุกเมื่อ เช่นนี้แล้วจะมาบอกว่าข้าโหยหาความรักได้อย่างไรกัน” แม่ทัพหนุ่มถามสวนกลับไปด้วยมีความเห็นย้อนแย้งคนสนิท
“ก็เพราะว่าท่านแม่ทัพไม่รู้ตัวเองนะสิว่ากำลังขาดสิ่งนี้ไป ลองตรองดูเอาเถิดคนในวัยเดียวกันกับท่านต่างแต่งงานออกเรือนไปจนหมดสิ้นแล้ว ในขณะที่ท่านแม่ทัพยังไม่ออกเรือนเลย โชคยังดีที่มีสงครามติดพันอยู่ชายแดนจึงทำให้ท่านไม่ต้องเสียค่าปรับภาษีคนโสดเพราะต้องเป็นผู้นำกองทัพออกทำสงครามอยู่แดนเหนือ”
“ช่วงเวลาคับขันเช่นนั้นจะให้ข้ามาเสียเวลาเรื่องพวกนั้นทำไมกัน ความมั่นคงของต้าถังต้องมาเป็นอันดับแรก” แม่ทัพหนุ่มตอบสวนกลับไปทันที
“ก็เพราะท่านคิดเช่นนี้แหละจึงมีอาการที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ เมื่อห้าปีก่อนตอนท่านกลับฉางอานเป็นครั้งแรกตามพระบัญชาของอดีตฮ่องเต้เพื่อรับมอบหมายงานสำคัญ หากท่านใช้เวลาที่พำนักอยู่ช่วงนั้น เลือกเฟ้นหาสตรีที่คู่ควรสักคนมาเป็นฮูหยินข้างกายอาการโหยหาความรักแน่นอนว่าต้องหายไป เพราะท่านไม่รู้ตัวเองหรอกว่ากำลังเหงาและเปล่าเปลี่ยว อยากมีใครสักคนเข้าใจและที่สำคัญเป็นคนที่ท่านรักด้วย” กัวเหยียนไฉบอกผู้เป็นนายกลับไป
“คนที่ข้ารักอย่างนั้นเหรอ!” จางเย่วฉินพูดพึมพำทวนประโยคดังกล่าวออกมาเบาๆ
“ข้าจะมีคนรักเหมือนเช่นผู้อื่นได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้จักคำๆ นี้ หากอาการโหยหาความรักของข้าดั่งที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดเพียงเพราะไม่รู้จักคำว่ารัก เจ้ากล่าวผิดแล้วเหยียนไฉ” แม่ทัพหนุ่มพูดพลางหันกลับมามองใบหน้าคนสนิท
“ข้าน้อยพูดผิดอย่างนั้นหรือขอรับ” เหยียนไฉพูดพลางหันนิ้วชี้เข้าหาตน
ใบหน้าหล่อเหลาพยักขึ้นลงติดๆ กันเป็นคำตอบที่ส่งกลับมา
“สาเหตุเพราะไม่มีหญิงใดทำให้ข้ารู้จักกับคำว่ารักนี้ได้ ไม่มีสตรีนางใดสามารถเข้าไปนั่งในหัวใจของข้าแม้แต่คนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้อาการโหยหารักของข้าก็ต้องเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล” จางเย่วฉินพูดออกมาจากความรู้สึกส่วนลึกภายใน
ท่ามกลางความเงียบงันและกระแสลมเย็นยะเยือกพาดผ่านเรือนกายกำยำ พร้อมเกล็ดหิมะค่อยๆ โปรยปรายลงมาตรงเบื้องหน้าของจางเย่วฉิน ก่อนจะยกมือหนาขึ้นรองรับหิมะแรกของฤดูเหมันต์ที่มาถึงแล้วในยามนี้ ดวงเนตรสีนิลกาฬมองไปที่ฝ่ามือของตนเองที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะดังกล่าว
ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาเมื่อครั้งรอยฟันที่ถูกกัดอย่างแรงบนฝ่ามือเมื่อห้าปีก่อนยังปรากฏอยู่ ทุกครั้งที่เห็นบาดแผลดังกล่าว จะทำให้จางเย่วฉินนึกถึงสตรีที่เป็นต้นเหตุของรอยแผลบนฝ่ามือนี้ขึ้นมาทันที
ทว่าไม่ว่าจะพยายามตามหาสตรีปริศนาผู้นั้นเพียงไร แต่กลับไม่ปรากฏร่องรอยหรือแม้แต่เพียงเงาก็ไม่พาดผ่าน ราวกับว่านางไม่มีตัวตนอยู่ในผืนแผ่นดินนี้ คราใดที่เห็นรอยแผลนี้ เป็นต้องเกิดอาการขุ่นเคืองใจโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทุกครั้งอย่างไม่มีสาเหตุ
ครั้นรอยแผลดังกล่าวเลือนหายไป แม่ทัพรูปงามกลับมีอาการบางอย่างที่เรียกว่า รู้สึกใจหายขึ้นมาทันทีราวกับว่าสิ่งที่อยู่ติดกายมาตลอดนั้นมิหวนคืน
“ข้าจะต้องกลับฉางอานจริงๆ แล้วหรือนี่...จะกลับไปหาผู้ใดกันเล่าในเมื่อที่นั่นหามีผู้ใดรอข้าอยู่แม้แต่น้อย ทุกคนทิ้งข้าไปจนหมดแล้วไม่เหลือเลยสักคน! ไม่มีแม้แต่คนเดียว” จางเย่วฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเหงา อ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
ท่ามกลางสายตาของกัวเหยียนไฉครั้นได้ยินท่านแม่ทัพของตนกล่าวเช่นนั้นออกมา จนเขาสามารถจับความรู้สึกได้อย่างชัดเจน
“จริงสิ! สิ่งที่ทำให้ท่านแม่ทัพมีอาการเช่นนี้เป็นเพราะตระกูลจางมิเหลือสิ้นผู้ใดแล้ว มีแต่ป้ายวิญญาณบรรพชนเหลือทิ้งไว้ให้ลูกหลานกราบไหว้เท่านั้น จวนสกุลจางไม่มีสิ่งใดที่รั้งท่านแม่ทัพให้รีบกลับไป เป็นเพราะสาเหตุนี้เองจึงทำให้ท่านโหยหาความรักและคนที่คอยดูแลเอาใจใส่ แต่คนหวงตัวดั่งเช่นท่านแม่ทัพดูท่าจะหาสตรีเข้าชิดใกล้ยากยิ่งนัก แล้วเมื่อไรถึงจะได้แต่งงานมีฮูหยินเหมือนผู้อื่นเสียทีกันเล่า...เฮ้อ!” กัวเหยียนไฉถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงครั้นคิดถึงข้อนี้ขึ้นมา
อะไรไม่ยากยิ่งไปกว่าการที่แม่ทัพรูปงาม จางเย่วฉินหวงเนื้อหวงตัวเป็นที่สุด อย่าว่าแต่บุรุษด้วยกันเองเลย น้อยนักที่จะให้ความสนิทสนมด้วย ยิ่งเป็นสตรีด้วยแล้วไม่มีทางจะเข้าถึง หอคณิกามากมายทั่วนครฉางอานจางเย่วฉิน เป็นเพียงบุรุษเดียวที่ไม่เคยย่างกายเข้าไปใกล้แต่อย่างใด สตรีใดจะเข้าถึงเนื้อตัวได้ล้วนไม่เคยมีแม้แต่เพียงผู้เดียว
ยกเว้นเมื่อห้าปีก่อน มีสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่เข้าถึงเนื้อตัวแม่ทัพผู้กล้าลือนามไปทุกสารทิศ และการเข้าถึงของนางในครั้งนั้นเล่นเอาจางเย่วฉินเสียท่าแทบหมดรูปไปเลยทีเดียว และนั่นทำให้เขาจดจำสตรีนางนั้นมิเคยลืม ทว่าหาใช่แรงพิศวาสแต่เป็นเพราะความเจ็บใจที่ถูกนางกระทำเช่นนั้น