ตอนที่ 3 เริ่มต้นกันใหม่

1475 Words
ความคิดของตงฟางฮุ่ยหลิงไม่ไกลเกินจริง หลังจากที่พวกเขาเสร็จธุระจากร้านเนื้อตุ๋นเรียบร้อยแล้ว ลูกน้องทั้งสามคนก็เดินไปติดป้ายประกาศบนกระดานไม้ใหญ่ใจกลางตลาดในทันที ประกาศรับสมัครคัดเลือกองครักษ์ประจำปี หากผู้ใดมีความสนใจ กรุณาลงชื่อภายในอาทิตย์นี้เท่านั้น กู้หลินอ่านข้อความนั้นด้วยสีหน้าราวกับได้รับการจุดประกายทางความคิด จึงโพล่งถามลูกน้ององครักษ์ว่า “พี่ชาย ถ้าผ่านคัดเลือก จะได้อยู่ใกล้เขาหรือไม่” เฉินป๋อมองตามนิ้วที่กู้หลินชี้ไปหาตงฟางฮุ่ยหลิงแล้วตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว หัวหน้าจะเป็นคนคัดเลือกแล้วก็ฝึกให้ด้วย” “แต่ว่า เจ้าแน่ใจหรือว่าไหว ร่างกายผอมบางเพียงนี้ สอบด่านแรกน่าจะไม่รอดแล้ว” อาโปหรี่ตาประเมินสภาพของกู้หลินคร่าว ๆ “ข้าขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ หน่วยราชองครักษ์ของพวกข้าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ถึงจะเปิดรับคนใหม่มาทุกปีแต่ว่าบางปีก็ไม่มีใครฝึกผ่านเลยสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่คิดจะเข้าหาหัวหน้าด้วยวิธีนี้ แค่ด่านแรกก็ยอมแพ้กันเป็นแถว” “อาโป เจ้าช่างไม่รู้เสียแล้วว่าข้ามีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่” กู้หลินยิ้มมุมปากจนลูกน้องทั้งสามคนของหัวหน้าหน่วยหัวเราะลั่นพอจะรู้คำตอบ “อย่าบอกนะว่าพลังแห่งรัก” “เอ๋ รู้ได้อย่างไรกัน” กู้หลินเอ่ยปาก “ปีที่แล้วก็มีคนพูดเช่นนี้ พอมาปีนี้ข้าเห็นแต่งงานออกเรือนไปหลายคนแล้ว ดูท่าพลังนั้นจะมอดไปหมด” ชุนหมิงหัวเราะพลางส่ายหน้า แล้วกระซิบบอกเขาให้รีบตัดใจจะได้ไม่ต้องเหนื่อย “คนผู้เดียวที่อยู่ในใจหัวหน้าน่ะ เจ้าสู้ไม่ได้หรอก” ครั้นได้ยินดังนั้น กู้หลินยิ่งเกิดไฟลุกโชนจึงกระซิบชุนหมิงไปว่า “น่าเสียดายที่คนผู้นั้น ไม่เคยเห็นหัวหน้าของพวกเจ้ายิ้ม... แต่ว่าข้าเคย” รอยยิ้มราวกับผู้ชนะปรากฏบนใบหน้ารูปงามของกู้หลิน แม้ตงฟางฮุ่ยหลิงผู้นี้จะไม่เคยยิ้มก็เถอะ แต่จางฮุ่ยหลิงนั้นยิ้มบ่อยจนเขานึกว่าเป็นคนละคนกันไปแล้ว พอคิดได้เช่นนั้นความสุขก็ล้นปรี่จึงขอลงชื่อสมัครคัดเลือกแล้วเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ตงฟางฮุ่ยหลิงอย่างมีความสุข พลันเสียงคัดค้านของบ่าวในจวนโจวหยางอิงร้องห้ามคุณชายของตนเอง “คุณชาย ไม่ได้นะขอรับ หากใต้เท้ารู้เข้าจะทำเช่นไรเล่า” สีหน้าของเขารู้สึกหนักใจเมื่อเห็นโจวหยางอิงไปต่อแถวลงชื่อหน้าป้ายประกาศ “ช่วยไม่ได้ ท่านพ่อชอบบ่นนักว่าข้าเอาแต่เที่ยวเล่น ไม่ทำการทำงาน ถ้าข้าได้เข้าหน่วยราชองครักษ์ ท่านพ่อก็จะได้หายกังวล ไม่ดีหรืออย่างไร” โจวหยางอิงไม่รู้สึกรู้สา สายตามองมาที่กู้หลินแล้วนึกถึงเรื่องสนุกต่อจากนี้ “โธ่ คุณชาย ข้าน้อย...” คำห้ามปรามดูจะไม่ได้ผลเพราะคนที่เอาแต่เที่ยวหาความสำราญไปวัน ๆ จู่ ๆ ก็จริงจังขึ้นมา พูดว่า “ไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจข้า เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าได้โวยวายเสียงดังนัก หรือว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ข้าจะสงเคราะห์ให้” บ่าวรับใช้มองหน้าเจ้านายของตนพลางมองหน้าบ่าวคนอื่น สายตาบ่งบอกว่าวันนี้เจ้านายช่างดูแปลกนัก ทั้งคำพูด นิสัยและท่าทาง รอยยิ้มบนใบหน้านั้นดูเป็นมิตรแต่พอได้ยินคำพูดเด็ดขาดแล้วก็เกิดรู้สึกกลัวจนไม่กล้าแย้งสิ่งใด จึงได้แต่ปล่อยไปเช่นนั้น ตงฟางฮุ่ยหลิงยังคงยืนนิ่งท่ามกลางผู้สมัครรายล้อม แม้จะมีคนมากมายชวนเขาพูดคุยเท่าใด เขาก็ไม่เคยตอบใครสักคนราวกับเป็นรูปปั้นหิน “หัวหน้าตงฟาง หากข้าผ่านการคัดเลือกเข้ามาได้ ท่านจะช่วยสอนข้าด้วยตัวเองใช่หรือไม่” “หัวหน้าตงฟาง ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเอง” เสียงของบรรดาผู้สมัครแว่วผ่านหูของเจ้าตัวเหมือนสายลมพัดผ่านไร้ตัวตน “ฮุ่ยหลิง คิดสิ่งใดอยู่หรือ” กู้หลินเป็นฝ่ายถามเขาบ้าง สรรพนามที่ใช้เรียกทำเอาบรรดาผู้คนแถวนั้นนิ่วหน้าหรี่ตามองดูว่าเขาเป็นใครถึงกล้าเรียกหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์อย่างสนิทสนม “...” ครั้นตงฟางฮุ่ยหลิงไม่ตอบ พวกเขาก็พากันหัวเราะซุบซิบ แล้วบอกกู้หลินว่า “เจ้าช่างกล้าเรียกหัวหน้าตงฟางเช่นนั้น คนเขาพากันหัวเราะเยาะหมดแล้ว ไม่รู้หรือว่าควรต้องทำตัวเช่นไร” “ข้าก็เป็นของข้าเช่นนี้ เปลี่ยนไม่ได้หรอก” กู้หลินพูดตามตรง อันที่จริงจางฮุ่ยหลิงเคยบอกอยู่แต่ก่อนแล้วว่าเป็นเพราะได้ยินเสียงเรียก ฮุ่ยหลิง ของเขาทุกวี่วันนั่นแหละ ถึงได้รับรู้การมีอยู่ของกู้หลินแล้วตกหลุมรักขึ้นมาจนได้ “หน้าด้านเกินไปแล้ว” เสียงหนึ่งกระซิบกับอีกคน แต่กู้หลินได้ยินเต็มสองหู กระนั้นก็ไม่ถือสาเอาความเพราะคิดอยู่แล้วว่าใครจะมองอย่างไรก็ช่างเขาเถอะ “ระวังปากพวกเจ้าเอาไว้ให้ดีบ้างเถิด คิดหรือว่าเจ้าเสาหินนั่นจะหันมาชมชอบคนอย่างพวกเจ้าได้” คำพูดของโจวหยางอิงดังขึ้นทำลายเสียงซุบซิบในละแวกนั้น เขาพูดจบพลางเอื้อมแขนขึ้นมาจะโอบไหล่กู้หลินอย่างเคยแต่ท่อนขาของกู้หลินกลับเตะสกัดกั้นความคิดนั้นไปก่อน “โอ๊ย! เจ้าเตะข้าทำไมเล่า” โจวหยางอิงทำสีหน้าสลดมองสหายคนใหม่ “เจ้าน่ะ ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ เพิ่งจะรู้จักกันแต่ชอบมาแตะต้องตัวข้าอยู่เรื่อย” กู้หลินพูดแล้วหันไปมองอีกทาง ฝ่ายนั้นยังคงไม่ไหวเอนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ใครบอกกันว่าเพิ่งรู้จักเจ้า” โจวหยางอิงพึมพำลอบยิ้มมุมปากแล้วยืนอยู่อีกทางหนึ่งอย่างสงบเสงี่ยม คิดในใจว่าได้อยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว ฝ่ายกู้หลินยังนึกอยากจะถามตงฟางฮุ่ยหลิงอีกสักนิด เพราะตั้งแต่ได้พบหน้ากันยังไม่ได้ยินเสียงเขาชัด ๆ เลยสักครั้ง “ฮุ่ยหลิง” เขาพูดพลางจับชายแขนเสื้อของอีกฝ่าย ดึงเบา ๆ เรียกคนที่คล้ายจมอยู่ในภวังค์ “ฮุ่ยหลิง” ทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาไม่ใช่คำพูดแต่กลับกลายเป็นปลายคมดาบที่จ่อคอของตัวเองอยู่ เมื่อลูกน้ององครักษ์เห็นหัวหน้าทำเช่นนั้นก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาห้ามปราม “หัวหน้า ใจเย็นก่อนขอรับ” เฉินป๋อจับมือเขาเอาไว้ ด้านชุนหมิงเกาะเอวของเขาไว้แน่นส่วนอาโปยกดาบขึ้นมากันดาบของเขากลัวว่าคอของกู้หลินจะได้เลือด จังหวะนั้นโจวหยางอิงรีบดึงตัวของกู้หลินที่กำลังนิ่งงันออกมา สายตาจ้องกลับตงฟางฮุ่ยหลิงด้วยความไม่พอใจ “กล้าแตะต้องเขา ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” เสียงของโจวหยางอิงแข็งกร้าว สีหน้าจริงจังจนทำให้คนกลางอย่างลูกน้ององครักษ์ทั้งสามต้องรีบหย่าศึกก่อนจะเกิดเรื่องบานปลาย “คุณชาย ท่านเองก็ใจเย็นหน่อยเถิด เรื่องวันนี้อย่าได้ถือสา หัวหน้าคงจะรู้สึกหงุดหงิดที่อากาศร้อน จริง ๆ ไม่ใช่คนแบบนี้หรอก” เฉินป๋อรีบร้องห้าม แล้วหันไปหาหัวหน้าตัวเอง “เก็บดาบก่อนเถอะขอรับ เจ้าตัวเล็กนั่นหน้าซีดไปหมดแล้ว” “นี่ ข้าขอเตือนไว้ก่อนนะ ตัดใจเสียเถอะ” อาโปบอกกู้หลินด้วยความเป็นห่วง เขาไม่เคยเห็นว่าตงฟางฮุ่ยหลิงจะทำอะไรเช่นนี้มาก่อน เวลาเจอคนเข้าใกล้มาก ๆ ก็แค่เดินหนีไป เหตุการณ์นี้ค่อนข้างผิดคาดอยู่เช่นกัน ขณะที่ทุกคนกำลังตึงเครียด กู้หลินได้สติกลับมาพอดิบพอดีจึงก้าวออกไปเผชิญหน้ากับตงฟางฮุ่ยหลิงผู้ที่ลืมเรื่องราวระหว่างพวกเขาจนหมดสิ้นว่า “ตงฟางฮุ่ยหลิง ถ้าเจ้าจำเรื่องทั้งหมดได้เมื่อใด ข้าจะลงโทษเจ้าเสียให้เข็ด” ความกลัวไม่มีแม้เพียงนิดเพราะรู้ว่าตงฟางฮุ่ยหลิงไม่มีทางทำอันตรายกับผู้ใดโดยไม่มีเหตุผลและเขาก็รู้ด้วยว่าปลายดาบที่ยื่นมาเมื่อครู่ ตงฟางฮุ่ยหลิงตั้งใจจะทำให้เขาตกใจจนต้องยอมแพ้แล้วถอยห่างไปเอง คนที่เห็นเหตุการณ์อย่างโจวหยางอิงและลูกน้ององครักษ์ถึงกับส่ายหน้า ไม่เคยเห็นคนดื้อเท่านี้มาก่อนเลยจริง ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD