หลังจากกู้หลินเดินหนีบุรุษเจ้าสำราญอย่างโจวหยางอิงมาได้ครู่หนึ่ง เขาถึงกับต้องยอมแพ้เพราะไม่ว่าจะปลีกตัวไปทางใดก็มักจะถูกตามติดเป็นเงาอยู่เรื่อยไป
“ทำไมเจ้าต้องตามข้ามาด้วย” กู้หลินบ่นพลางทำหน้ามุ่ย
“ข้า...อยากเป็นเพื่อนกับเจ้า” โจวหยางอิงบอกเขาไปตามตรง “ดูเหมือนเจ้าเพิ่งจะเข้ามาเมืองนี้ มีที่พักหรือยัง ไปพักที่บ้านข้าดีหรือไม่”
“ขอบคุณในน้ำใจ แต่ว่าข้าไม่รบกวน” เขาปฏิเสธทันควันเพราะสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายดูเจ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล
ทันใดนั้น เสียงท้องของกู้หลินก็ดังโครกครากขึ้นมาอย่างไม่รู้เวลา เขาตบมือไปตามลำตัวเบา ๆ จึงได้รู้ว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว
ยิ่งได้กลิ่นอาหารจากร้านข้างทางโชยมาตามสายลม ยิ่งรู้สึกอยากจะพุ่งตัวเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับชาวบ้านข้างในด้วย สายตาของเขามองจ้องทะลุฝูงคนกลุ่มหนึ่งไปทางร้านเนื้อตุ๋น
พลันได้ยิ่งเสียงกรุ๊งกริ๊งจากถุงเงินของโจวหยางอิงที่เจ้าตัวสั่นเบา ๆ ล่อตาล่อใจราวกับรู้ว่ากู้หลินไม่มีอะไรติดตัวเลย
“ข้าเลี้ยงอาหารเจ้าดีหรือไม่” เขาถามสีหน้าระรื่น รู้ว่าอย่างไรเสียกู้หลินต้องไม่ปฏิเสธเพราะของกินอร่อย ๆ วางอยู่ตรงหน้าขนาดนั้น
“ไม่รบกวน” เขาส่ายหน้า แต่เสียงท้องร้องยังคงประท้วงอีกรอบอย่างหนักหน่วง หากอาหารมื้อนี้ไม่ตกถึงท้องในหนึ่งก้านธูป อาการตาลายคงจะเริ่มถามหาเป็นแน่
“ร้านนี้มีเนื้อตุ๋นเคี่ยวหลายเพลา ปรุงกับเครื่องเทศจากเมืองทางทิศเหนือ หั่นหอมซอยบาง ๆ น้ำซุปเข้มข้นอร่อยอย่างกับเซียนสวรรค์มาปรุงให้ คิดดูสิ อยู่ห่างเพียงนี้ กลิ่นยังหอมราวกับนั่งอยู่ข้างหม้อดิน” โจวหยางอิงหยุดพูดครู่หนึ่ง มองดูสีหน้าของกู้หลินแล้วกลั้นขำเอาไว้ “เพียงเจ้าคีบเข้าปาก จะรู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มลิ้นราวกับเนื้อจะละลายในปาก แถมร้านข้าง ๆ ยังมีบะหมี่ไก่ตุ๋นโสม น่องไก่อวบ ๆ พร้อมเครื่องเคียง...” เขายังพูดไม่ทันจบคำ อีกฝ่ายก็มองหน้าด้วยสายตาละห้อย กลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“เจ้าจะเลี้ยงอาหารข้าจริง ๆ หรือ” กู้หลินถามอีกครั้ง ในใจยังระแวงอยู่บ้างจึงถามอีกว่า “ต้องการสิ่งใดตอบแทน”
“เวลานี้ข้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้าเท่านั้น” โจวหยางอิงรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ากำลังตกหลุมพรางเข้าแล้ว “ข้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้าจริง ๆ นะ”
ขณะกำลังคิดลังเลใจอยู่ เสียงของพ่อครัวก็ตะโกนออกมาข้างนอกว่าเหลือเนื้อตุ๋นชุดสุดท้ายแล้ว
กู้หลินไม่อาจปล่อยอาหารตรงหน้าหลุดมือไปได้ เวลานี้จะหนีเขาไปก็คงไม่มีแรงวิ่ง อย่างน้อยต้องเติมข้าวให้เต็มท้องแล้วค่อยคิดหาทางจึงตอบตกลงแล้วเดินนำเข้าร้านทันที
“เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน” โจวหยางอิงพึมพำเพียงลำพัง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้า แล้วรีบวิ่งตามหลังกู้หลินไม่ให้คลาดสายตา
กระนั้น ฝีเท้ากลับต้องหยุดชะงักพลางมองตามสายตาของเพื่อนคนใหม่ไปยังกลุ่มคนที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน
เสียงของกู้หลินดังขึ้น “ฮุ่ยหลิง!” เขาตะโกนลั่นแล้ววิ่งไปหาคนที่ชื่อว่าฮุ่ยหลิงทันที
บุรุษผู้นั้นหันหน้ามาทางเสียงเรียกด้วยแววตาเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์ นิ่งเฉยราวกับเป็นรูปปั้น แต่กลุ่มคนที่นั่งรายล้อมเขากลับทำตัวเลิ่กลั่กแทน
“ฮุ่ยหลิง เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” เขาเอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายโดยไม่สนใจใคร
คำอธิษฐานของข้าคงจะเป็นจริงแล้วสินะ ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าอีกครั้ง คิดถึงเหลือเกิน กู้หลินรำพึงรำพันในใจของตนเอง
“เจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงมาเรียกหัวหน้าแบบนั้น” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น เขาทำสายตาราวกับจะบอกให้กู้หลินรีบไปไกล ๆ ก่อนจะเกิดเรื่องวุ่นวาย
เพียงแต่ กู้หลินไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮุ่ยหลิงผู้นี้ถึงนิ่งเฉยเหมือนคนไม่รู้จักกัน ทั้ง ๆ ที่เขาคิดถึงคนตรงหน้าถึงเพียงนั้น
ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ แต่ห่างเหินเกินคณานับ
“ฮุ่ยหลิง ตงฟางฮุ่ยหลิง เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันนี้จะมาถึง
เวลานี้ เขาเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่ากำลังเข้ามาอยู่ในโลกของนิยายเรื่องวิหคไร้ใจ
ชายหนุ่มตรงหน้ามีดวงตาสีเขียวมรกต ผมขาวมัดหางม้ายกสูง ประดับกวานสีเงิน ห้อยต่างหูเงินเล็ก ๆ ข้างขวา สวมชุดเครื่องแบบองครักษ์สีดำตัดขาว
นี่คือตงฟางฮุ่ยหลิงแบบต้นฉบับ คนที่ไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของกู้หลินแม้แต่น้อย
ความคิดหลายอย่างถาโถมเข้ามาไม่หยุด เขาไม่รู้เลยว่ารอบข้างกำลังพูดอะไรบ้าง
นี่หรือคือฮุ่ยหลิงที่เจ้าเอ่ยถึง เฮอะ โจวหยางอิงคิดในใจ นึกสงสัยมาตั้งนาน วันนี้ได้คำตอบเสียที
“กู้หลิน มาทานอะไรสักนิดก่อนดีกว่า” โจวหยางอิงโอบไหล่ของเขาเอาไว้ ก่อนจะพามานั่งที่โต๊ะอีกฟากหนึ่ง พลันเหลือบสายตามองไปยังตงฟางฮุ่ยหลิงอย่างเยือกเย็น
เขาพยายามจะปลอบใจร่างบางด้วยอาหารเลิศรสอย่างที่เจ้าตัวชอบ “กินก่อน แล้วค่อยคิดดีหรือไม่”
กู้หลินพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อตุ๋นจากจานใบใหญ่มาเคี้ยวทีละนิด
“รสชาติถูกปากหรือไม่ อยากได้สิ่งใดอีกข้าจะสั่งมาเพิ่ม” โจวหยางอิงเอาอกเอาใจเต็มที่เพราะอยากให้เขาอารมณ์ดีขึ้น แต่คนตรงหน้าก็เอาแต่เหม่อลอยมองไปยังโต๊ะหัวมุมเสียอย่างนั้น
ปัง!
เมื่อทานเนื้อตุ๋นหมดไปสองจาน กู้หลินวางตะเกียบกับโต๊ะเสียงดังจนคนในร้านหันมามอง เขาจ้องหน้าตงฟางฮุ่ยหลิงอย่างหมายมั่น
“เจ้า! คอยดูเถอะ ข้าจะไม่ยอมแพ้”
เขาเข้าใจแล้วว่าตงฟางฮุ่ยหลิงจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกนิยายเรื่องบุปผาเดียวดายไม่ได้เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงอย่างเดียว คือการเดินหน้าทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักเขาอีกครั้งนั่นเอง
ตงฟางฮุ่ยหลิงเลิกคิ้วไม่เข้าใจกู้หลินสักนิดพลางไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เพื่อนร่วมโต๊ะกลับอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกัน
“รู้สึกโชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้เกิดมาเป็นหัวหน้า ไม่อย่างนั้น คงจะเหนื่อยน่าดู” เขาส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็มักจะมีทั้งหญิงสาวชายหนุ่มเข้ามาเกี้ยวพาราสีไม่เว้นวัน”
“นี่เจ้าไม่ได้อิจฉาใช่หรือไม่” เพื่อนอีกคนถามขึ้น แล้วหันไปทางตงฟางฮุ่ยหลิง “หัวหน้าเลิกใส่ต่างหูเครื่องเงินแล้วเปลี่ยนมาห้อยพู่ถัก คนเขาก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายแล้วแท้ ๆ”
หากแต่เพื่อนอีกคนพูดขึ้นมาไม่เห็นด้วย “ใคร ๆ ก็รู้ว่าหัวหน้าไม่มองผู้ใด สายตามีแต่ฮ่องเต้... โอ๊ย!” เจ้าตัวพูดถึงบุคคลที่สามพลันต้องโดนฝักดาบเคาะหัวอย่างจัง
“ฮ่องเต้หรือ ใครกัน” กู้หลินหูผึ่ง หันไปถามโจวหยางอิง
“นั่นน่ะสิ” ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่รู้เช่นกันจึงถามบ่าวรับใช้ที่ตามมาด้วย
“ฮ่องเต้ลู่เหิงเยว่ขอรับ” เขากระซิบบอกแต่กู้หลินได้ยินชื่อนี้เต็มสองหู จึงเอ่ยปากถามอีกว่า “ปีนี้เป็นปีที่เท่าไหร่หรือ”
“ปีที่สามของการปกครองขอรับ” เขาตอบอย่างเรียบง่าย แต่คำตอบนั้นทำให้กู้หลินหันไปมองหน้าตงฟางฮุ่ยหลิงอีกครั้ง
ผ่านไปสามปี ลู่เหิงเยว่ผู้นั้นแต่งงานแล้วเจ้าก็ยังไม่ลืมเขาอีกหรือ กู้หลินคิดในใจแล้วรอยยิ้มบางก็ผุดขึ้นมาเพราะตระหนักได้ว่าเนื้อเรื่องในเวลานี้คือเนื้อเรื่องอิสระที่ดำเนินต่อมาหลังจากเนื้อเรื่องหลักในนิยายจบไปแล้วสามปี
หากลู่เหิงเยว่แต่งงานกับเซียวหานเฟิงแล้ว ย่อมไม่มีศัตรูหัวใจอีกต่อไป ความคิดของเขาจึงโลดแล่นขึ้นมา ตงฟางฮุ่ยหลิง เจ้าเสร็จข้าแน่
ราวกับสายตาของกู้หลินดูมุ่งมั่นจริงจังมีประกายฟ้าแลบ ตงฟางฮุ่ยหลิงจึงคล้ายจับสังเกตรังสีบางอย่างได้ เขากลืนน้ำอึกใหญ่แล้วถอนหายใจจนเพื่อนร่วมโต๊ะมองตาม
“หัวหน้าเจอศึกหนักหรือขอรับ” เฉินป๋อเอ่ยถาม หากแต่เขาไม่ตอบอะไร คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วเพราะเขามักจะทำแต่งานอยู่ข้างในหน่วยราชองครักษ์
“ไม่เห็นต้องถอนหายใจเลยนี่ขอรับ เดี๋ยวพอหัวหน้าปฏิเสธก็ล่าถอยไปเอง” ชุนหมิงพยายามปลอบใจหัวหน้าของตน เพราะที่ผ่านมาก็มักเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด
ผู้คนมากหน้าหลายตาพยายามเข้าหาตงฟางฮุ่ยหลิง แต่พอเจอความเย็นชาและเอาแต่ผลักไสราวกับไม่มีตัวตนก็ถอยห่างไปเองเพราะคิดไปแล้วว่าหัวหน้าองครักษ์ผู้นี้ไร้ใจ ชีวิตนี้คงไม่คิดจะรักใครอย่างแน่นอน
ทว่า ตงฟางฮุ่ยหลิงรู้ดีว่าครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม เพียงแค่ดูสายตาที่จ้องกลับมาไม่วาง เขาคงต้องเตรียมใจรับมือกับแมลงหวี่ตัวนั้นเสียแล้วเพราะวันข้างหน้าคงจะคอยตามติดเขาไปอีกนาน