เขาชอบริมฝีปากของเธอ ทำไมถึงได้หอมและหวานขนาดนี้ มือของราชสีห์วนกลับไปแตะที่กลีบดอกไม้อีกครั้งสำรวจความพร้อมก่อนจะบดเบียดลำตัวลงหา เกร็งสะโพกกดเบียดท่อนเนื้อแข็งร้อนผ่าวของตนเองให้แทรกผ่านช่องทางชุ่มชื้น แต่กลับไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้มากนัก ราชสีห์ดันขาเล็กทั้งสองข้างของเธอให้งอขึ้นแล้วกางอ้าออกเพื่อเปิดทางให้รองรับตัวตนของเขาได้ทั้งหมอ แต่กลับไม่เป็นผล
“แก้วเจ็บ”
เสียงหวานร้องประท้วง ราชสีห์จับมือเธอให้คล้องรอบคอ ส่วนเขาก้มลงจุมพิตปลุกเร้า พร้อมแตะสะกิดยอดอกเธอไปพลาง ไม่นานช่องทางที่แคบแสนแคบก็หลั่งหยาดหยดหล่อลื่นออกมาเพิ่มอีกพร้อมเปิดทางให้เขาเข้าไปจนสุด ราชสีห์กำลังแย่เขาครุ่นคิดอย่างหนักหน่วงในตอนนี้ ว่าแค่ครั้งเดียวที่ได้ร่วมรักกันร่างเล็กนี่ก็คงจับไข้หากต้องรองรับเขาจนเสร็จสิ้น
แล้วหากต้องยืดยาวออกไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ยาร้ายมิต้องนอนให้น้ำเกลือกันเป็นอาทิตย์เลยหรือไง แล้วเริ่มขยับสะโพกสอบของตนเองเบาๆเน้นๆ บดกรามแน่นไม่ให้รุนแรงกับเธอเพราะเนื้อนุ่มนิ่มอุ่นฉ่ำนั่นบ่งบอกว่ายังใหม่แถมยังโอบล้อมตัวตนของเขาแนบแน่นจนแทบทานทนไม่ไหวอีกต่อไป ราชสีห์ซบหน้าลงกับบ่าของเธอก่อนจะดึงสาวท่อนเนื้อออกแล้วแทรกเข้าไปใหม่ ถามเสียงสะท้าน
“เจ็บอยู่ไหม”
แก้วตาส่ายหน้าหวือไม่กล้าสบเขา จนราชสีห์คำรามอย่างขัดใจ ไม่เคยมีสาวคนไหนที่ได้ร่วมกิจกรรมบนเตียงกับเขาแล้วหลบตา ราวกับถูกเขาข่มขื่น ทั้งๆที่เธอเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาเอง
ราชสีห์ดึงดันอยู่ไม่กี่ครั้ง ความเสียดเสียวก็แผ่ซ่านผ่านช่องทางที่สองร่างเกาะเกี่ยวกัน จนแก้วตาขยับตอบสนองเขาไปโดยอัตโนมัติของร่างกายในเวลาต่อมา แม้จะทรมานกับฤทธิ์ยามากแค่ไหน แต่ราชสีห์ก็ส่งให้เธอแตะขอบฝั่งความปรารถนาไปก่อน เสียงหวานกรีดร้องแผ่วๆในลำคอ ก่อนที่เขาจะตามเธอไปติดๆในนาทีต่อมา เสียงคำรามลั่นของผู้เป็นเจ้าของไร่ดังลั่นห้องแล้วซุกใบหน้าหล่อเหลาลงตรงซอกคอของเธอ แล้วเสียงหวานของคนที่เขานอนซบอยู่ก็ดังขึ้นเบาๆ
“เดือนเดียวใช่ไหมคะ”
ให้ตายเถอะ คำถามของเธอเหมือนยาถอนพิษชั้นดี มันทำให้แท่งเนื้อแข็งขึงที่ยังฝังอยู่ภายในช่องทางอ่อนนุ่มนั้นเฉาลงทันตาเห็น
“ใช่!”
ราชสีห์เกร็งสะโพกทั้งยังกระตุ้นให้ท่อนเนื้อของตนเองแข็งขึงขึ้นมาได้อีกครั้ง จนแก้วตาร้องประท้วงอย่างอายๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสดื้อดึงของเขาภายในตัวเธอ มือน้อยๆยกขึ้นดันแผ่นอกที่มีไรขนขึ้นปกคลุมอย่างกับนายแบบในนิตยสารกันไว้ไม่ให้ใกล้เธอมากนัก ทั้งๆที่ผ่านกิจกรรมที่ชิดใกล้มากกว่านั้นมาแล้ว ต่อรองกับเขาอีกข้อ ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว คงแก้ไขอะไรอีกไม่ได้ แม่น้ำไม่มีวันไหลย้อนกลับ
“เรื่องนี้จะรู้กันแค่เราสองคนนะคะ” แทนที่จะเป็นเขาต่อรองแต่กลายเป็นเธอ ราชสีห์พยักหน้าอย่างเคร่งเครียด
เท่านั้นเองแก้วตาเลยออกแรงอีกทีดันจนร่างหนาหนักพ้นไปจากตัว พร้อมกับตัวตนของเขาที่ยังจุ่มแช่อยู่ภายในเธอนั่นก็หลุดออกไปด้วย แล้วพลิกตัวหันหลังหนี ราชสีห์ตวาดถามเสียงเข้ม
“จะไปไหน!”
“กลับห้องค่ะ”
“งานยังไม่จบ จะกลับได้ยังไง”
เขาคว้าข้อมือเธอไว้แล้วดึงเข้ามาหา ก่อนจะบดจูบ แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง จนกว่าจะหมดฤทธิ์ยาก็ย่างเข้ารุ่งสางของอีกวันนั่นทีเดียว
อากาศยานไร้คนขับหรือที่รู้จักในอีกชื่อว่าโดรน กำลังลอยอยู่เบื้องบนศรีษะของแก้วตา มันติดตามเธอมาตลอดตั้งแต่ออกจากสำนักงาน แก้วตากำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านของลุงกับป้าที่ถูกปิดตายเอาไว้ เมื่อไปถึงก็เห็นว่ามีกุญแจคล้องอยู่ เธอเดินวนรอบบ้านแล้วเห็นว่าทางด้านหลังปิดไม่สนิทจึงคิดว่าควรเข้าทางนั้นเลยเพราะมันเพียงแค่งับไว้เท่านั้น เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้ายังพบว่าเจ้าโดรนสีดำตัวนั้นยังบินวนเวียนคล้ายยังตามเธออยู่
แก้วตาเลิกให้ความสนใจกับมันแล้วตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปด้านในในทันที
สภาพบ้านถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย ข้าวของตู้เตียงยังคงอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงสภาพรกเรื้อเท่านั้นที่เปลี่ยนบ้านให้ดูราวกับถูกโจรปล้น ออกเดินสำรวจด้านในจนพอใจ เลยว่าจะกลับเพราะไม่มีเบาะแสอะไรเพิ่มเติม พอเดินมาหยุดที่ประตูด้านหลังที่เข้ามา พลันใจหายแทบสิ้นสติเพราะราชสีห์ยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น แก้วตาถามอย่างร้อนใจ
“คุณโตมาทำอะไรคะ”
“แล้วเธอมาทำอะไร” ราชสีห์ไม่ยอมตอบ แถมยังย้อนถามเธอกลับไปอีก
“แก้วแค่มาดูอะไรนิดหน่อย จะกลับแล้วค่ะ”
ราชสีห์มองข้ามศรีษะเธอเข้าไปด้านในก่อนจะคว้าแขนแล้วดึงเธอมาทางหน้าบ้าน ขณะเดินไปเขาก็พูดเสียงเฉียบคล้ายขู่เธอไปตามทาง “อย่าแม้แต่จะคิดหนี”
“แก้วไม่ได้หนีค่ะ แก้วแค่มา…”
“ไม่ต้องเถียง!”
เขาว่าเสร็จ เดินกลับไปที่บิ๊กไบท์สีดำที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันจอดเลยบ้านของลุงกับป้าไปหน่อยเดียว
เธอคงอยู่ในภวังค์มากจนไม่ได้ยินเสียงรถของเขาเลยสินะ ขนาดว่าสตาร์ทเครื่องแล้ว เสียงท่อทุ้มยังดังกังวาลไปทั่วไร่ขนาดนี้แล้วตอนที่เขาขับมันมาถึงจะดังขนาดไหน ราชสีห์ขึ้นคร่อมบนรถคู่ใจ เมื่อเห็นว่าเธอยังยืนนิ่งไม่ขยับ เขาก็ตวาดขึ้นอีก
“ขึ้นรถ!”
แก้วตานั้นเป็นเพียงหญิงไทยไซซ์เล็ก ร่างกายของเธอจ้อยจิดริดเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอมองรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ที่มีราชสีห์เป็นเจ้าของด้วยสายตาท้อๆ ได้แต่จำยอมปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก พอขึ้นไปนั่งไม่ทันได้ตั้งตัว เจ้าของรถเร่งเครื่องออกไปในทันที จนเธอตกใจคว้าเอวเขาไว้แน่น รับรู้ถึงแรงสะเทือนผ่านแผ่นหลังของเขา แน่ใจว่าเขาต้องหัวเราะเธออยู่ ครู่หนึ่งหลังจากออกรถมา แก้วตาก็ตะโกนถามขึ้น
“คุณโตรู้ได้ยังไงคะว่าแก้วอยู่ที่นี่”
“ฉันรู้ก็แล้วกัน”
แก้วตาเงียบไปครู่ก็พูดแทรกเสียงลมไปว่า “เรื่องที่เราคุยกัน ถ้าแก้วอยากให้คุณโตเซ็นสัญญาจะได้ไหมคะ”
ราชสีห์เงียบไม่ตอบเขาขับรถต่อไปจนถึงที่หมายแล้วจอดมันลงที่อาคารสำนักงานของไร่ลงมายืนบนพื้นดิน แก้วตาจึงตะเกียกตะกายตามลงมา ตอนนั้นถึงได้ยินเขาตอบกลับว่า
“คืนนั้นฉันเซ็นแล้วนี่ หมึกหมดไปตั้งหลายรอบ”
แก้วตายืนนิ่งอยู่เพราะคิดตามไม่ทัน ก่อนจะเข้าใจเมื่อเห็นสายตาของราชสีห์ที่วาววับพราวระยิบระยับ พลันรู้ความหมายของมันทันที เธออ้าปากค้าง ใบหน้าร้อนผ่าว ก่อนจะหุบปากลง ก้มหน้าหลบสายตาเขา แล้วบอกเสียงงึมงำแทบจับคำไม่ได้
“แก้วหมายถึงเซ็นบนกระดาษค่ะ”
“เอามาสิ คนอย่างฉันไม่เคยเบี้ยวใครอยู่แล้ว”
เขาบอกเสร็จเดินตัวปลิวเข้าสำนักงานไปก่อน แก้วตาจึงก้มหน้างุดๆเดินตามเข้าไป
สรุปแล้วว่าแก้วตาได้ทำงานในสำนักงาน ในตำแหน่งเลขานุการของราชสีห์
‘คเชนทร์’ น้องชายของราชสีห์ถึงกับขมวดคิ้วแน่น ดันแว่นสายตามองอย่างต้องการรู้เบื้องหลังที่ลึกๆลงไป เมื่อมาเจอเธอที่เริ่มงานในวันแรก ไม่แปลกถ้าราชสีห์จะมีเลขาฯ เพราะคเชนทร์เคยบอกให้ราชสีห์รับตำแหน่งนี้มาก่อนหน้าแล้ว แต่เจ้าตัวบอกปัดไม่เอาท่าเดียว
แล้วนี่อะไร ทำไมถึงได้รับเอาแก้วตามาทำหน้าที่นี้กันเล่า
ส่วนเงินเดือนของเลขาฯที่แก้วตารับอยู่ จะถูกหักใช้หนี้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็เก็บเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว
แก้วตาเป็นคนมัธยัสถ์ เธอกินอยู่ที่บ้านของเขา เสื้อผ้าเครื่องสำอางไม่เคยมีในรายการที่ต้องซื้อมานานแล้ว ส่วนชุดที่ใช้ทำงาน ราชสีห์อนุโลมให้แต่งแบบไหนก็ได้แต่ขอให้สุภาพเรียบร้อยเพียงเท่านั้น
เธอจึงเลือกกางเกงผ้าขายาวสีดำที่มีเพียงสามชุดกับเสื้อยืดมีปกคลุมทับด้วยแจคเกตอีกทีมาใช้แทน และราชสีห์ก็ยังไม่เห็นว่าอะไรเธอ
“ไปไหนกันมาครับ กินข้าวแล้วหรือแก้ว”
คเชนทร์ที่นั่งอ่านข่าวรออยู่ในสำนักงานทักทายขึ้น ท้ายประโยคถามแก้วตา เพราะเวลานี้เลยเที่ยงมาจนจะล่วงเข้าบ่ายโมงแล้ว
“ค่ะคุณเล็ก”
แก้วตาตอบรับแล้วเดินเลี่ยงไปที่โต๊ะของตนเอง ราชสีห์ยืนนิ่งใบหน้าดูเฉยเมย ก่อนจะเดินนำเข้าห้องของเขาไป คเชนทร์ยิ้มให้เธอแล้วจึงเดินตามพี่ชายเข้าไปบ้าง พอปิดประตูลง ราชสีห์ก็ถามคนเป็นน้องทันที
“เป็นไงได้ข่าวหรือยัง”
“มีคนเจอแกที่กาสิโนในปอยเปตครับพี่โต”
“ว่าแล้วเชียว แล้วตามตัวกลับมาได้ไหม”
“ถึงตามกลับมาได้ ก็คงไม่มีเงินมาคืนเรานะพี่”
ราชสีห์เคาะโต๊ะราวกับกำลังใช้ความคิดอยู่ คเชนทร์ที่นึกอะไรออกก็พูดขึ้น
“พี่ให้แก้วทำงานใช้หนี้แทนแล้วไม่ใช่เหรอครับ จะซีเรียสอะไร”
ราชสีห์โต้หน้าเครียด “ซีเรียสสิ มาของขโมยของแบบนี้ มันต้องได้รับโทษ ไม่ใช่เอาเงินไปใช้ลอยนวลสบายใจเชิบ...ส่วนไอ้เรื่องเงินนั่นน่ะ มันก็ต้องใช้กันไปตามระเบียบอยู่แล้ว”
“แก้ว น่ารักดีนะพี่” แล้วไอ้น้องชายตัวดีก็ออกนอกเรื่อง
ราชสีห์หันไปหยิบแฟ้มด้านหลัง กระชากเสียงถามอย่างฉุนๆ“ตรงไหนวะ”
“อ้อ ผมลืมไป พี่ผมหัวนอกนี่ ชอบแต่สาวๆฝรั่ง สาวไทยๆแบบแก้วคงไม่ใช่สเปคพี่ ถ้าอย่างนั้นผมจะได้จีบแก้วไม่ต้องมีคนมาขวางลำ”
“อย่านะเว้ย!”
ราชสีห์หันหน้ามาพร้อมตวาดห้ามลั่นห้อง จนคเชนทร์ตกใจ แกล้งยกมือขึ้นทาบอก ถามยิ้มๆ “อะไรกันพี่ ตกอกตกใจหมดเลย ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะลูก”
ราชสีห์เลยรู้ว่าถูกไอ้น้องชายตัวดีล้วงความลับเข้าให้แล้ว เขาปั้นสีหน้าขรึมๆ ก่อนตอบเป็นงานเป็นการว่า “คือ...พี่...พี่หมายถึงว่า แกอย่าไปจีบไปชอบเลย มันจะเสียการปกครอง”
“อ๋อ สมภารกินไก่วัดใช่ไหมครับ”
“เออ เออ แบบนั้นแหละ” ไม่รู้เขาเรียกกว่าอะไร แต่ก็อือออตามน้องชายไปด้วย “แล้วนี่มีอะไรจะคุยอีกไหม จะได้ทำงานต่อ”
“ไม่มีครับ” คเชนทร์ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วทำท่าจะออกจากห้องไป แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “เออ พี่โต ไอ้มิ่งมันโทรมาบอกว่าโดรนพี่ตกอยู่แถวๆบ้านคนงานแน่ะ”
“รู้แล้ว” ราชสีห์บอกแล้วปัดมือไล่ นึกรำคาญน้องชายขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เคืองคนบางคนที่ชักเห็นแววแล้วว่ารั้นและดื้อดึงแค่ไหน
คเชนทร์ออกมาจากห้องของพี่ชาย ยิ้มให้แก้วตาแล้วเดินจนพ้นจากประตูสำนักงานไปแล้ว เสียงโทรศัพท์จึงดังขึ้น แก้วตาเอื้อมมือรับแล้วกรอกเสียงลงไป
“สำนักงานไร่ราชสีห์สวัสดีค่ะ”
“แก้ว? นั่นใช่หนูไหม”
“ป้าลิ” แก้วตาครางชื่อปลายสายเสียงแผ่วเบา พลันหัวใจแกว่งไกวระรัวเร็ว เธอวางโทรศัพท์ออฟฟิซแบบไร้สายพักบนหน้าตัก เหลียวไปดูทางประตูห้องของราชสีห์ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะทำงานเลี่ยงตรงนั้นเพื่อไปคุยยังที่ที่สามารถเห็นประตูห้องของเขาได้อย่างชัดเจนและยังอยากให้อยู่ไกลจากราชสีห์มากที่สุด แม้จะมีผนังกั้นห้อง แต่แก้วตาก็ระแวง เธอกำลังประสาทเสีย กลัวเหลือเกิน กลัวว่าราชสีห์จะรู้ หรือได้ยินว่าเธอจะคุยสายกับมะลิ คนที่เขาหมายมาดจะลากมาเอาผิดให้จงได้
“ป้ากับลุง อยู่ที่ไหนจ๊ะ” เธอถามปลายสายไปอย่างร้อนรน
“ป้ายังบอกหนูไม่ได้ มีคนใส่ร้ายป้ากับลุง” นางมะลิพูดติดๆขัดๆกลับมา
“ป้าต้องกลับมาพูดความจริงนะจ๊ะ คุณโตจะไม่ทำอะไรป้ากับลุง”
“นั่นละตัวดี หนูต้องอยู่ให้ห่างจากเขานะลูก”
ห่างจากราชสีห์อย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
“ป้าอยากให้หนูช่วยอะไรหน่อย”
“บอกแก้วมาเลยจ้ะ”
“หนูจำห่อผ้าบนหิ้งพระได้ไหม”
“จำได้จ้ะป้า”
“หนูไปเอามาไว้กับตัว แล้ววันไหนที่หนูสะดวก โทรบอกป้าที่เบอร์…นะลูกนะ” มะลิบอกหมายเลขติดต่อให้เธอจดไว้สำหรับติดต่อ
พลันหัวใจอดเต้นตูมตามออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าราชสีห์เปิดประตูออกมา แก้วตารีบวางสายทันที ไม่รู้ว่าเขาเห็นเธอคุยโทรศัพท์อยู่หรือไม่
“ฉันจะออกไปข้างนอก”
“ค่ะ” แก้วตาตอบรับโดยไว ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว จนราชสีห์ผิดสังเกต
“เป็นอะไรทำไมหน้าซีดๆ ใครโทรมา”
“อะ อ่อ คะ คือ มีคนโทรมาถามสมัครงานน่ะค่ะ”
“ตำแหน่งอะไร” ราชสีห์ถามกลับทันควัน
“อะ เอ่อ คนงานในไร่ค่ะ”
“ทำไมต้องโทรมาถาม ป้ายติดอยู่ข้างหน้าก็มี”
นั่นสิ ทำไมต้องโทรมา แก้วตาอึ้งไปครู่ก่อนจะนึกหาคำตอบ “คงไม่ได้อยู่แถวนี้มังคะ”
ราชสีห์พยักหน้าน้อยๆ มองจ้องเธออยู่อึดใจ แล้วจึงเดินออกไปแก้วตาถึงได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เท่านี้แค่เพียงได้รับการติดต่อจากป้า แก้วตาก็ใจชื้นขึ้นมาได้หน่อย ความหวังที่คิดไว้น่าจะเป็นจริง ป้ากับลุงของเธอถูกคนใส่ร้ายแน่ๆ เธอต้องหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับลุงและป้าให้ได้