1
“ว่าไง … สรุปว่าตกลงไหม”
เสียงเฉียบขาดทรงอำนาจถามขึ้น มันมาจากเจ้าของที่มีใบหน้าเย็นชาน่าเกรงขาม พอเขาลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ม้านั่งหินอ่อนก็ดูราวกับว่าร่างสูงใหญ่นั่นทะมึนดุดันเหมือนเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านตรงเบื้องหน้าจนคนมองอดเย็นวาบไปทั่วสันหลังไม่ได้เมื่อสบสายตาสีดำน่ากลัวคู่นั้น
แก้วตารู้สึกว่าตนเองคล้ายหายใจไม่ทั่วท้อง ก่อนจะตั้งสติแล้วย้อนถามเขากลับคืนไปบ้าง
“แก้วต้องทำงานใช้หนี้ใช่ไหมคะ”
“... อย่างเธอจะทำอะไรได้นอกจากงานในไร่ หรือจะมาขัดดอก...”ราชสีห์ว่าหมิ่นๆเหยียดสายตากราดมองร่างหญิงสาวเบื้องหน้าแล้วเมินหนีราวกับเธอน่าเกลียดน่าชังอย่างไรอย่างนั้น เปรยคล้ายดูถูกเธออีกคำรบ “คงกระเดือกไม่ลง”
ได้ยินคำพูดหมิ่นแคลนเช่นนั้นแล้ว แก้วตาจึงลอบถอนหายใจเบาๆ พลางคิดขึ้นได้ ว่าคนอย่างราชสีห์คงกระเดือกเธอไม่ลงจริงๆอยู่หรอก
มันแน่นอนอยู่แล้วที่เป็นเช่นนั้น ไหนจะสวยแบบสาวฝรั่งที่เคยเห็นข่าวในโซเชียลแบบที่เขาชอบควงและออกข่าวอยู่บ่อยๆกัน แก้วตานั้นยังเป็นแค่หญิงสาวอายุยี่สิบสองที่ไม่ได้ดูโตเท่าไรนัก ทั้งเนื้อทั้งตัวยังดูราวกับเด็กกะโปโลอยู่เลย สัดส่วนทรวดทรงนั้นไม่ได้เย้ายวนแบบเพื่อนคนอื่นๆที่ดึงดูดสายตาเพศตรงข้ามได้ขนาดนั้น ตรงข้ามเสียอีกที่พวกผู้ชายมักมองข้ามเธอไปด้วยซ้ำ ด้วยว่าไม่ได้มีอะไรให้ดึงดูดใจแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเนือยๆลองต่อรองกับราชสีห์ดูสักตั้ง
“ให้แก้วทำงานที่นี่แล้วส่งเงินใช้คืนอย่างนั้นได้ไหมคะคุณโต” เพราะกลับไปที่ไร่ แก้วตาก็ไม่รู้ว่าจะทำงานอะไร ไม่รู้ว่าจะพอใช้หนี้หรือเปล่าด้วย
“เกิดเธอหนีขึ้นมาล่ะ” ราชสีห์ถามกลับท่าทางดูโกรธขึ้งไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่หนีหรอกค่ะ แก้วมีความรับผิดชอบพอ” แก้วตาบอกเสียงเนือยๆกลับไปเช่นเดิม
“เอ...แล้วทำไมผู้ปกครองเธอถึงมีไม่เหมือนเธอล่ะแก้วตา” ราชสีห์เยาะทั้งวาจาและสายตาคมคู่ของเขา
“คุณโตไม่ควรว่าคนอื่นส่งเดชนะคะ อีกอย่างไม่รู้ว่าลุงกับป้าผิดจริงหรือเปล่า จนกว่าจะตามหาท่านจนเจอแล้วถามเอาความจริงกับพวกท่าน”
แก้วตาติงเจ้าของไร่ วกไปถึงลุงกับป้าที่หายไปพร้อมกับเงินเฉียดล้านตามที่ได้รับข่าวมา ใจของหญิงสาวนั้นยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ แม้จะตกปากรับคำว่าจะใช้หนี้แทนลุงกับป้า
ภายในใจลึกๆก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าลุงกับป้าจะกล้าขโมยเงินในไร่ไป แต่จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้เธอจะทำตัวขวางเจ้าของเงินที่ท่าทางเหมือนจะเข้ามาขย้ำคอเธอแล้วบีบให้ตายคามืออยู่ทุกวินาทีได้อย่างไรกัน
ราชสีห์ตาลุกวาวเรืองแสงขึ้นราวกับมีกองไฟสุมอยู่ในนั้น เขามองคนที่กล้าติงเขาอย่างไม่รู้จักเกรงกลัวอำนาจบารมีอย่างไม่ใคร่จะพอใจเท่าไรนัก
เด็กสาวตรงหน้านี่เป็นแค่ลูก หรือหลานสาวของนายปุยและนางมะลิก็ไม่รู้ เขาจำไม่ได้ เพราะไม่เคยมีเด็กกะโปโลคนนี้อยู่ในสายตามาก่อน
สองคนผัวเมียนั่นทำงานในไร่มาก็นาน เหตุใดถึงกล้าล้วงคอคนอย่างราชสีห์ ฉกเอาเงินสดในสำนักงานไปเกือบล้านบาท เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ
ถ้าไม่มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่แอบติดเอาไว้ ราชสีห์เองก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนงานที่เขาไว้ใจทั้งสองคนจะกล้าทำเช่นนี้ นี่มันฆ่าตัวตายชัดๆ
ซ้ำยังตรวจสอบจากบัญชีธนาคารในชื่อของหญิงสาวตรงหน้า พบว่ามีเงินโอนเข้าไปเป็นจำนวนหลักแสน หากนั่นไม่ใช่เงินที่ราชสีห์ตามหา จะเป็นของใครไปได้อีก เจ้าของไร่ผลไม้มองแก้วตาด้วยสายตาหมิ่นแคลน ดูถูก ซ้ำยังไม่คิดเชื่อคำพูดสักนิดเดียว ก่อนจะสรุปความขึ้นว่า
“สอบเสร็จ บ่ายสามใช่ไหม ฉันจะรอที่หน้าห้องสอบ”
ราวกับคำสั่งสุดท้าย ราชสีห์บอกจบเขาเดินออกจากโต๊ะหินอ่อนหน้าหอพักของเธอไปในทันที
แก้วตามองตามแผ่นหลังของเจ้าของไร่ไปก่อนจะถอนหายใจเฮือกด้วยความหดหู่กับชะตากรรมของตนเอง ทั้งคลางแคลงใจไม่อยากเชื่อว่าลุงกับป้าที่เลี้ยงเธอมาจะกล้าทำเช่นนั้น
ก่อนหน้านี้เพียงสามวันแก้วตาได้รับการติดต่อจากป้าหนอม แม่บ้านของราชสีห์ที่เอื้อเอ็นดูเธอราวกับเธอเองเป็นลูกของท่านคนหนึ่ง
ป้าหนอมบอกว่า ลุงกับป้าของเธอหายไปจากไร่ พร้อมกับเงินเฉียดล้าน ซ้ำร้ายพอเปิดกล้องวงจรปิดก็เห็นว่าเข้าไปในห้องสำนักงานและออกมาพร้อมกับถุงใส่เงินจริง
หลักฐานคาตา แต่จับตัวไม่ได้ เธอซึ่งเป็นเสมือนลูกของลุงกับป้า จึงได้รับการติดต่อจากเจ้าของไร่อีกที
ราชสีห์มาพบเธอถึงหอพักแล้วถามว่าเธอจะทำอย่างไร เธอจึงตัดสินใจยินยอมกลับไปทำงานใช้หนี้แทนลุงกับป้าของเธอ นอกจากนั้นยังจะต้องตามหาความจริงด้วยว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นอย่างไรกันแน่
บ่ายสามโมงพอดิบพอดีที่แก้วตาออกมาจากห้องสอบ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งออกเนื่องจากว่าสอบเสร็จสิ้นเสียทีก็เท่ากับว่าเธอเรียนจบขั้นปริญญาตรีแล้วด้วย
แก้วตาหยิบกระเป๋าเล็กๆที่ใส่เครื่องเขียนมาที่มุมห้องเพื่อเก็บของทั้งหมดใส่ลงในกระเป๋าผ้าป่านแล้วจึงออกมาจากห้องสอบ จิตตาที่รออยู่พอเห็นเธอก็เดินเข้ามาถามทันที
“แก้วเป็นไง ทำได้ไหม”
“อือ ก็พอได้ แต่ไม่ค่อยมั่นใจเลย”
“ทั้งปี บอกว่าไม่มั่นใจ ไม่มั่นใจ คะแนนมากกว่าเราอยู่เรื่อย แล้วนี่แก้วจะกลับหอเลยหรือเปล่า”
“อืม เอล่ะ”
“เราอยากไปดูหนัง ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“แก้วไม่ไปนะ แก้วไม่อยากไป ไม่มีเงินด้วยล่ะ เหลืออยู่ห้าร้อยนี่ก็ว่าจะเอาไว้เป็นค่ารถกลับบ้าน”
แก้วตาไม่ได้มีเงินเหลือใช้มากมายเหมือนเพื่อนคนอื่นๆที่พอเครียดก็ไปซื้อของ ดูหนัง หรือเที่ยวเตร่ และทุกทีที่ถูกชวน เธอก็จะบอกไปตามตรงว่าไม่มีเงิน และไม่อยากไปนั่นก็เป็นอีกเหตุผล เธอชอบนอนอ่านหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดของทางมหาวิทยาลัยมากกว่า สนุก ประหยัดด้วย
“เดี๋ยวเอเลี้ยงเอง” จิตตาบอกอย่างใจป้ำ
“ไม่เอาหรอกเอ เราไม่อยากดูด้วยแหละ อยากกลับหอแล้ว นอนสักตื่นค่อยแพ็คกระเป๋ากลับ”
“หูย...เดี๋ยวเราก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว น่านะ นะแก้วนะ ไปเหอะ”
กำลังจะอ้าปากพูด เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในคณะที่นั่งอยู่บริเวณนั้น ก็วี้ดว้ายขึ้นสายตามองไปยังเบื้องหน้า พร้อมจีบปากจีบคอคุยกัน
“แฟนใครยะ บอกมาซะดีดี ดิบเถื่อน ดุดัน แบบเนี้ยฉันชอบ”
ชายหนุ่มสวมแว่นดำลงจากรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด เปิดประตูรถลงมา จิตตามองตามแล้วพึมพำบอกเสียงตื่นเต้น
“หล่อ ล่ำ รวย สเปคฉันเลย แก้วดูสิ”
แก้วตาเลยต้องมองตามไปกับคนอื่นๆด้วยแล้วก็ต้องหันขวับกลับโดยไว
เธอลืมไปเลยว่าราชสีห์บอกว่าจะมารับหลังสอบเสร็จ ก็เพราะว่ามัวแต่กังวลกับการสอบ เรื่องอื่นๆเลยไม่ได้อยู่ในหัวของเธอเลยสักเรื่องเดียว ว่าแล้วทำท่าจะหลบไปห้องน้ำ แต่จิตตาดึงมือของเธอเอาไว้ทัน
“จะไปไหนแก้ว”
“เดี๋ยวมา แก้วขอเข้าห้องน้ำแป้บนึง”
แล้วดึงมือออกจนหลุดตรงเข้าห้องน้ำอย่างไว
บอกตัวเองว่าเธอไม่ได้หนี แค่ขอมาตั้งหลักก่อน เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับราชสีห์ตอนนี้
แก้วตารออยู่เกือบสิบนาที จึงตัดสินใจออกมา แอบหวังอยู่ลึกๆว่าเขาจะไปแล้ว แต่แล้วสิ่งที่เธอหวังก็เป็นหมันเพราะราชสีห์ยืนกอดอกรอที่หน้าห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“เวรเอ๊ย! นึกว่ามุดโถชักโครกหนีไปแล้ว”
แก้วตาหน้าเจื่อนลงทันที อึกๆอักๆบอกเขา “แก้ว…เอ่อ”
ราชสีห์ถามเสียงดังก้อง “พร้อมจะกลับแล้วหรือยัง”
“...คือ...แก้วยังไม่ได้เก็บ…”
“เก็บแล้วใส่รถขนไปเมื่อตอนเที่ยง มีอะไรอีกไหมที่ทำให้เธอยังไปไม่ได้”
“มะ...ไม่มีค่ะ” แก้วตาตอบเสียงอ่อย
“ไปขึ้นรถ” เขาบอกเสียงเหี้ยมราวกับผู้คุมบอกกับผู้ต้องหา
“คุณโตขับรถไปจอดตรงแถวตึกคณะวิทย์ เอ่อ ตึกสีเทาๆตรงนู้นได้ไหมคะ" แก้วตาชี้มือบอกทิศทางเขา
ทันทีที่เธอพูดจบก็ราวกับมีรัศมีสีแดงๆแผ่ออกมาจากตัวของราชสีห์ ร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ตวัดเสียงถามอย่างไม่พอใจนัก
“อะไรนะ!”
“คือ…” จะบอกยังไงดีล่ะ ว่าตรงนี้คนเยอะ และเธอก็ไม่อยากเป็นเป้าสายตาใครที่ต้องเดินตามเขาไปขึ้นรถสปอร์ตหรูคันนั้น “คือ…”
“ฉันไม่ใช่คนขับรถของเธอนะแก้วตา จะได้ให้ไปรอตรงนู้น ตรงนี้ ไปได้แล้ว!”
แก้วตาถอนหายใจเฮือกแล้วก้มหน้าเดินตามเขาไปจนถึงรถในที่สุด ราชสีห์เปิดประตูขึ้นไปนั่งที่ฝั่งของเขาโดยไม่ได้สนใจเธอสักนิดเดียว
พอเธอขึ้นและปิดประตูลงเท่านั้นรถสมรรถสูงคันหรูก็ออกตัวพุ่งทะยานไปข้างในทันที แล้วมุ่งหน้าสู่ไร่ราชสีห์ในเวลาต่อมา
แก้วตาลอบมองเสี้ยวหน้าของราชสีห์ด้วยความรู้สึกประหม่า กลิ่นอายดุดันดื้อดึงแผ่รังสีออกมา จนแก้วตาใจสั่นเมื่อต้องนั่งรถร่วมทางไปกับเขา แต่พยายามรักษาท่าทีของตนเองให้สงบนิ่งเอาไว้
ชายหนุ่มเจ้าของไร่เป็นคนหนุ่มหน้าตาดีทีเดียว เสียแต่ชอบทำหน้าดุ เพราะขนาดว่ามีหนวดเคราขึ้นรอบปากและคางก็ยังปกปิดความหล่อเหลาของเขาไม่มิด ซ้ำยังทำให้ดูเข้มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ต่างจากเธอลิบลับ
แก้วตาไม่ใช่คนหน้าตาสวยจัดจ้าน เธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาๆคนหนึ่ง มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ดูจะเป็นผู้หญิงอยู่บ้าง นั่นก็คือทรวงอกอวบที่พุ่งดันเสื้อผ้าออกมามากกว่าใครๆที่หุ่นใกล้เคียงกัน จนต้องเลือกเอาเสื้อคลุมแขนยาวมาสวมทับปกปิดทุกทีไป
แม้กระทั่งชุดนักศึกษาที่สวมใส่อยู่ในตอนนี้ก็เช่นกัน
แล้วลอบมองภายในรถคันหรูหราด้วยความรู้สึกทึ่งๆ มันต่างจากรถแท็กซี่ที่เคยขึ้นไม่กี่ครั้งราวฟ้ากับดิน ด้านนอกรถดูราวกับจะจุคนได้เพียงคนเดียว แต่ภายในกลับดูโอ่อ่าโอ่โถง แถมเบาะนั่งก็ยังนุ่มลื่นจนน่าไถลเล่นอีกด้วย
แก้วตากลับไปนึกถึงเจ้าของไร่ราชสีห์อีกครั้ง จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าราชสีห์อายุมากกว่าเธอเกือบยี่สิบปี หย่อนไปเพียงสองหรือสามปีเท่านั้น ตอนเด็กๆนั่นเธอเห็นเขาไม่บ่อยนัก เพราะราชสีห์ถูกส่งตัวไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาที่ไร่ ส่วนบุพการีของเขานั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังอยู่เมืองไทย ราชสีห์เติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูจากผู้เป็นย่า ที่ชื่อ ชมนาด
ส่วนเธอนั้นเป็นเด็กกำพร้าที่นายปุยและนางมะลิรับมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ ไม่เคยรับรู้เลยว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอนั้นเป็นใคร
แก้วตาได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนใกล้ไร่จนจบมัธยมศึกษาตอนปลายและสอบติดในมหาวิทยาลัยรัฐบาลในกรุงเทพ เธอได้รับอนุญาตจากลุงและป้าให้มาเรียนได้
และจะได้กลับบ้านเฉพาะช่วงที่ได้หยุดติดกันหลายวันหรือปิดเทอมเพียงเท่านั้น ตั้งแต่ขึ้นชั้นปีสุดท้ายมานี่เธอก็ไม่ค่อยได้กลับเลย เพราะต้องไปฝึกงานก่อนจบสลับกันอยู่สามที่ ทั้งยังต้องทำรีเสิร์ชโปรเจ็คก่อนจบจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับลุงและป้า จนมารู้ข่าวของพวกท่านอีกที ก็กลายเป็นเรื่องไม่ดีไปเสียแล้ว
ราชสีห์ขับรถค่อนข้างเร็วแต่ก็ระมัดระวัง พอรถจอดติดไฟแดงก่อนออกสู่ชานเมืองเขาถามขึ้นโดยไม่หันมามอง
“จะเข้าห้องน้ำไหม”
“ไม่ค่ะ”
เท่านั้นเองราชสีห์ก็ขับรถตรงสู่จุดหมายต่อทันที
แก้วตาเบนจุดโฟกัสกลับมาที่ถนนเบื้องหน้า แล้วตะแคงตัวหันข้างมาที่ฝั่งของตนเองไม่กี่นาทีจากนั้นความง่วงงุนก็เริ่มจู่โจมเธอ จนหลับไปในที่สุด
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดสนิทแล้ว ภาพบ้านตรงด้านหน้ากระจกรถคือบ้านของนายใหญ่ที่เป็นเจ้าของไร่ราชสีห์ สิ่งก่อสร้างสีเปลือกไข่สร้างบนพื้นที่เกือบสามไร่ ดูโอ่อ่าสมฐานะเจ้าของสวนผลไม้มีชื่อแห่งภาคตะวันออก
จู่ๆประตูรถฝั่งของเธอก็ถูกเปิดออกโดยไว แก้วตาเหลียวมองตามทันทีเห็นว่าเป็นราชสีห์เองที่ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น
“ลงมาเก็บข้าวของของเธอ”
“แต่ว่าบ้านของลุง…”
“ฉันยังไม่ได้บอกใช่ไหม ว่าต้องนอนที่บ้านนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าหนีไป แล้วหนี้ล่ะ ใครจะรับผิดชอบ”
“แก้วไม่หนีหรอกค่ะ”
“คนเป็นหนี้ก็พูดแบบนี้ทุกคน”
“แก้วขอไปนอนที่บ้านเถอะนะคะ”
“เอาของไปเก็บ!”
แก้วตานิ่งเป็นการรับคำตามที่เขากล่าวมาทั้งหมด แล้วแบกกระเป๋าเข้าห้องเล็กๆภายในบ้านหลังใหญ่ของราชสีห์ที่เขาจัดแจงเตรียมไว้แล้ว ดีที่เธอไม่มีสมบัติอะไรมากมายนัก มีเสื้อผ้าไม่เยอะแบบเพื่อนๆ ที่หนักหน่อยก็เห็นจะเป็นหนังสือนิยายนั่นละ
จัดการเก็บของเท่าที่จำเป็นจนเรียบร้อยแล้วจึงตรงไปที่ห้องครัว ตั้งใจจะไปสวัสดีป้าหนอม ค่าที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน พอเดินลัดเลาะมาถึงยื่นมือแตะลูกบิดประตูห้องครัว เสียงคุยไม่เบานักด้านในก็ดังขึ้นมามันมีผลให้มือน้อยๆนั่นหยุดเคลื่อนไหวในทันที
“คงมานอนแหกแข้งแหกขาให้นายใช้หนี้แทนลุงมันนั่นแหละ”
“แต่นายจะเอามันเหรอ เมียนายก็ออกแยะ”
“อีแก้วนะมึง...ไปอยู่กรุงเทพตั้งนานสองนาน นายยังว่าเลยว่าที่มันไม่ค่อยกลับบ้าน เพราะมันมีผัวแล้วแน่ๆ เด็กใจแตกได้ผัวแล้ว ที่กลับมานี่ก็คงใช้ตรงนั้นมันหาเงิน เพราะมันง่ายดี”
น่าเจ็บใจนักกับวาจาส่อเสียด เธอจำเสียงนั้นได้ดี ว่าเป็นของนุ่น
นุ่นนั้นมีใบหน้าน่ารักมากกว่าเธอนัก ผิวพรรณสีน้ำผึ้งแต่นวลเนียนเพราะบำรุงด้วยครีมตามท้องตลาด ผมเหยียดตรงนั่นทำสีตามยุคสมัยอยู่ตลอด
แก้วตาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เธอนึกอยู่ในใจว่าทำไมถึงต้องเอามาพูดลับหลังกันได้ขนาดนี้ จึงเปิดประตูผลัวะเข้าไปด้านในทันที วงสนทนาที่กำลังคุยกันเมื่อครู่เงียบเสียงลงราวกับมีใครตัดไฟฟ้า
“แล้วยังไงต่อ นอกจากมีผัว มีลูกแล้วยังไงอีก”
แก้วตาเค้นเสียงถาม ใบหน้าจริงจังจนคนที่ยืนคุยกันอยู่เงียบไปตามๆกัน
“…”
“ถ้าใครปากดีนินทาแก้วอีกนะ จะแจ้งตำรวจจับมันให้หมดนั่นเลย ใครไม่เชื่อ ก็ลองดู!”
คนที่เหลือเงียบปากกันไปในทันที มีแต่นุ่นที่มองเธอด้วยสีหน้าเยาะๆ แก้วตาฉุนจัดเธอเดินปลีกตัวออกมาจากตรงนั้นแล้วตามหาอีกคน คนปากมากที่เอาเธอไปพูดเสียๆหายๆ ว่าได้ผัวแล้ว จนเจอเขาในที่สุด
ราชสีห์ยืนคุยสายที่ห้องรับแขก เธอยืนมองเขาตาเขม็ง พอดีที่อีกฝ่ายหันกลับมาเพราะคุยสายเสร็จเลยถามขึ้น
“มีอะไร”
“แก้วอยากรู้ค่ะ ว่าใครหน้าไหนเอาไปพูดเรื่องที่ว่าแก้วมีผัวแล้ว”
ราชสีห์ยักไหล่ตอบอย่างไม่สนใจ “ฉันจะรู้เรื่องไหม”
“แต่แก้วได้ยินคนในครัวบอกว่าคุณเอาไปพูดให้ฟัง”
“แล้วไง ถ้าเป็นฉันแล้วเธอจะทำไม”
ราชสีห์ไม่ใช่คนปากมาก แต่เขาสนุกกับการพูดยั่วยุคน โดยเฉพาะคนตรงหน้านี่ หารู้ไม่ว่าคำพูดยั่วยุของเขาเป็นเหมือนน้ำมันที่ราดรดบนกองไฟ แก้วตาโกรธจนรู้สึกร้อนที่หูทั้งสองข้าง กรุ่นๆว่ามีควันออกมาจากหัวของเธอ เสียงพูดเบาๆของเธอตะแบงออกมาอย่างคนไม่เคยตะคอกใคร
“คุณไม่มีสิทธิเอาเรื่องของแก้วไปพูดเสียๆหายๆแบบนั้นนะคะ”
“ไม่ได้ทำจะร้อนตัวทำไมล่ะ” ราชสีห์ยั่วยุอีกไม่ยอมเลิกรา “หรือว่าที่ร้อนตัวนี่เพราะทำจริง เอาไหมเล่า ฉันจะสงเคราะห์ให้ถือว่าเอาบุญ อย่างเธอถ้าทำให้ฉันติดใจได้สักเดือนเดียว หนี้ก็เป็นอันหายกัน”