“อ้อ! คณะละครจากอิตาลี่ที่จะมาเมืองไทยอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าใช่ไหมคะ”
มาริสารีบพูดแทรกขึ้นมา เธอรู้ดีว่าพี่ชายเธอไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เธอรู้ดีว่าต้องทำอะไรบ้างอย่างช่วยพี่ชายบ้าง แม้ว่าพี่ชายจะดุน้องๆ แค่ไหน และกับคนที่ทำงานร่วมกันแล้วจะรู้ว่าคุณมานพเป็นคนเอาจริงเอาจังไม่พูดเล่นหัวกับใคร แต่ถ้าเป็นลูกๆ ของเพื่อนคุณแม่หรือแม้แต่เพื่อนของเธอ มานพจะเป็นคนปฏิเสธใครไม่เป็นเลยทีเดียว
“ใช่ค่ะ คุณมาริสาก็รู้ข่าวหรือคะ สมกับเป็นไฮโซจริงๆค่ะ”
มาริสากระตุกยิ้ม เธอไม่ค่อยชอบใจเวลาถูกเรียกว่า ‘ไฮโซ’ เอาเสียเลย “ก็พอรู้บ้าง สามีก็ซื้อบัตรการกุศลไว้ให้ค่ะ แต่คงต้องไปดูคนเดียวเพราะสามีติดงานอยู่ต่างประเทศและพี่หม่อนเองก็ไม่ว่างไปดูละครด้วยเลยค่ะ”
“อ้าว…คุณมาริสามาชวนก่อนแล้วเหรอเนี้ย เสียดายจัง” ลูกเกดถอนหายใจอย่างเสียดาย
“เอ่อ ใช่ครับ” มานพหันไปสบตากับน้องสาวที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ “ช่วงนี้พี่งานยุ่งมากครับ”
“ใช่ค่ะ พี่หม่อนต้องเป็นที่ปรึกษางานระดมทุนช่วยเหลือสัตว์จรจัดค่ะ” มาริสายิ้มกว้างแต่คราวนี้มานพยิ้มไม่ออกเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน และคาดว่าจะโดนน้องสาวมัดมือชกแน่ๆ
“งานการกุศลหรือคะให้ลูกเกดช่วยนะคะ ลูกเกดชอบค่ะ”
“ยินดีเลยค่ะ แต่คุณลูกเกดต้องไปคุยกับพี่หมอกค่ะ เพราะว่าพี่หมอกกับหมอเนยเป็นเจ้าของโครงการนี้”
“ได้ค่ะ เรื่องได้หน้า อุ้ย!ไม่ใช่ๆ เรื่องงานบุญงานกุศลลูกเกดชอบค่ะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “งั้นลูกเกดขอตัวก่อนนะคะ”
มานพถอนหายใจทันทีเมื่อลูกเกดลุกจากวงสนทนาไปแล้ว เขาหันไปมองน้องสาวที่ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างรอคำอธิบาย มาริสาหยิบมะยมส่งเข้าปากทำท่าอร่อยก่อนจะอธิบาย
“พอดีพี่หมอกกับหมอเนยมาปรึกษา จะจัดกิจกรรมระดมทุนกันประจวบเหมาะกับมีเด็กๆ กลุ่มที่ชอบแต่งคอสเพลย์อะไรนี่แหล่ะจะทำกิจกรรมกันแล้วนำรายได้ที่จัดงานมาบริจาคให้ค่ะ”
“เจ้าหมอกกับหมอเนยที่เหมาะสมกันจริงๆ” มานพส่ายหน้าไปมา หมอกเป็นคนรักสัตว์มาตั้งแต่เด็ก แต่ไหนแต่ไรก็เห็นเก็บหมาหรือแมวมาเลี้ยงบ่อยๆ แม้ว่าตัวเองจะเป็นสถาปนิก แต่พอมีแฟนก็ได้แฟนเป็นสัตวแพทย์อีกต่างหาก ทั้งคู่มักทำกิจกรรมระดมทุนช่วยเหลือสัตว์จรจัดอยู่เรื่อยๆ
“แล้วจะให้พี่ทำอะไร เหมาบัตรเข้าชมคอสเพลย์หรือไง”
“ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ แค่ไปดูๆ แล้วหย่อนเงินใส่กล่องบริจาคหน่อยก็พอแล้ว”
“งานเด็กๆ แบบนั้นจะให้พี่ไปยังไหว” มานพโคลงศีรษะไปมา “พี่จะสี่สิบแล้วจะไปดูเด็กๆ แต่งคอสเพลย์ คนอื่นเห็นเข้าจะคิดว่าพี่เป็นคนยังไง”
“ก็คิดว่าเป็นพวกเ*******ูหรือไม่ก็โรคคลั่งโลลิต้าไงค่ะ” มาริสาหัวเราะจนลืมตัว มะยมที่กลืนลงไปเกือบติดคอจนต้องทุบอกเบาๆ สองสามครั้ง
“เสียภาพพจน์ตระกูลศตินันท์หมด” มานพอดเขกศีรษะน้องสาวไม่ได้
“หรือจะให้คนอื่นเข้าใจว่าพี่มานพเป็นเกย์ละคะ”
“นี่พี่ดูเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ” มานพทำหน้ายุ่ง
“ก็หาแฟนสักคนซิค่ะ อะไรๆ ก็คงดีขึ้น อ้อ! ของผู้หญิงด้วยนะคะไม่แย่กว่าเดิมแน่ๆ”
“พูดง่ายแต่ทำยากนะซิ”
“ก็ไม่ยากนี่ค่ะ คนที่อยากเป็นแฟนพี่มานพก็มี” มาริสาพยักหน้าไปด้านหลัง มานพมองตามสายตาของน้องสาวก็เห็นลูกเกดกำลังส่งยิ้มมาให้เขา
“พี่อยู่คนเดียวมีความสุขดีแล้ว จะมาวุ่นวายกันทำไมนะ” มานพถอนหายใจหนักๆ
“แน่ใจแล้วเหรอว่ามีความสุข?”
“พี่แน่ใจ” มานพตอบอย่างหนักแน่นแต่มาริสาส่ายหน้าไปมา มือเรียวเล็กทาบที่หน้าท้องซึ่งหนานูนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ความสุขที่พี่รู้จัก มันอาจไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงก็ได้”
มานพเห็นแววตาอ่อนโยนของน้องสาวแล้วก็ได้แต่ยิ้มบางๆ เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่เขาต้องคอยดูแลและ อีกไม่นานเธอก็จะกลายเป็นแม่คนแล้ว เขาได้แต่ยิ้มให้กับการเติบโตของเด็กสาวตัวน้อยของเขา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าน้องเขยสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาเป็นคนรักของน้องสาว เป็นคนที่มาริสาเลือกเป็นคู่ชีวิต เขาก็ได้แต่เคารพในสิ่งที่น้องเลือก
“หม่อนว่างไหม พ่อมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”
“ได้ครับพ่อ”
มานพยื่นมือไปแตะศีรษะมาริสาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามหลังบิดากลับเข้ามาในห้องหนังสือ พ่อเดินไปหยิบซองสีน้ำตาลในลิ้นชักโต๊ะอ่านหนังสือแล้วส่งให้เขา ชายหนุ่มหยิบแผ่นกระดาษเก่าๆ ออกมา มันเป็นรูปถ่ายเก่าๆ สีซีดจางบ่งบอกอายุที่ล่วงเลยมานาน เขาเพ่งมองรูปถ่ายในมือ วิวทิวทัศน์ที่เห็นด้านหลังเป็นไร่สตอเบอรี่ของครอบครัวเขาแน่นนอน เขาจำได้เป็นอย่างดี แต่เด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงลายสก็อตราวกับตุ๊กตาฝรั่งในรูปทำให้เขายังงุนงง
“ใครครับพ่อ”
“หม่อนจำไม่ได้เหรอ” ผู้เป็นพ่อยิ้มละไม “จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอก มันตั้งสิบห้าปีแล้ว แถมมาบ้านเราแค่ไม่กี่วันเอง”
“แล้ว…”
“ลูกสาวเพื่อนพ่อ… พ่ออยากให้ช่วยอะไรหน่อย แต่หม่อนต้องทำและรับปากว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างพ่อกับหม่อนและคุณดนัย”
“คุณดนัย?”
“คุณดนัยรอลูกอยู่ที่กรุงเทพ” พ่อยื่นมาแตะไหล่ลูกชายคนโต “ช่วงนี้งานที่เชียงใหม่ให้น้องๆ คนอื่นดูแลไปก่อน งานที่นี่ไม่มีอะไรมาก ทุกอย่างอยู่ตัวดีแล้ว ลูกไปดูกิจการที่กรุงเทพฯ สักระยะแล้วช่วยทำธุระให้พ่อจนกว่าจะเสร็จค่อยกลับละกันนะ”
เขาดูรูปในมืออีกครั้ง เพ่งดูสีหน้าและแววตาในรูปสีซีดพยายามค้นเรื่องราวที่ตกหล่นในความทรงจำ แม้จะไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยก็ตามแต่มานพรู้ว่าคำขอนี้ไม่อาจปฏิเสธได้
“ครับพ่อ…ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตามที่พ่อต้องการ”.
เด็กหญิงตัวเล็กในชุดกระโปรงลายสต็อกสีเข้มแต่มอมแมมแถมชายกระโปรงยังขาดรุ่ยเพราะโดนหนามเกี่ยวเด็กหญิงยกมือปาดน้ำตาพลางหันซ้ายหันขวาอย่างสับสน ก่อนหน้านี้เธอวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในไร่สตอเบอรี่ แต่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ฟ้าที่เคยสว่างสดใสกำลังมืดแสงลงที่ละน้อย เด็กหญิงตะโกนเรียกพ่อสุดเสียงแต่ก็ได้ยินเพียงลมพัดตอบกลับ เธอวิ่งมุ่งหน้าไปอย่างเดียวจนไม่รู้ว่าตัวเองสะดุดกับกิ่งไม้หกล้มจนเนื้อตัวมอมแมมและเป็นเหตุให้กระโปรงตัวสวยขาดรุ่ย แต่เธอก็ยังลุกขึ้นแล้วตะโกนเรียกชื่อพ่ออยู่อีกหลายนาที
เด็กหญิงตัวเล็กไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะกลัวจนน้ำตาไหล เธอเดินไปเรื่อยๆ ในทิศทางที่ตนเองเชื่อว่ามันจะพาเธอไปหาพ่อได้ ทว่ามันก็ยิ่งมืดลงเรื่อยๆ ต้นไม้ดูสูงใหญ่และน่ากลัวราวกับจะยื่นมือมาบีบร่างเล็กๆ ของเธอไม่ให้รอดพ้นจากดินแดนแห่งนี้
เสียงพุ่มไม้สั่นไหวจากด้านหลัง เด็กหญิงไม่กล้าหันไปมองเต็มตา เธอลังเลว่าจะวิ่งไปหลบทางไหนแต่ดูไปต้นไม้ก็น่าตาเหมือนกันหมด มันจะเป็นอะไร? เสือหรือสิงโตแบบในหนังฝรั่งที่เธอเคยดูหรือเปล่า? หรือจะเป็นงูตัวใหญ่ยักษ์ หรือจะเป็นหมีตัวมหึมา หรือว่าจะเป็น…