“กรี๊ดดดด”
เด็กหญิงหวีดร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกว่ามีบางสิ่งมาสัมผัสไหล่ของเธอ
“เฮ้!”
ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจไม่แพ้กัน แต่เมื่อเด็กหญิงดิ้นรนต่อสู้เขาก็จำเป็นต้องรวบร่างเล็กจิ๋วกอดไว้แน่นๆ กำปั้นเล็กๆ รัวทุบเขาแทบไม่ยั้งจนทำให้หมวกสานที่สวมอยู่หล่นลง
“หยุดได้แล้ว นี่คนเค้าอุตส่าห์มาช่วยนะ”
“ช่วย?”
เด็กหญิงหยุดดิ้นรนแล้วมองหน้าอีกฝ่าย เขาตัวสูงใหญ่ราวกับยักษ์ทำให้เธอกลายเป็นหนูตัวเล็กๆ ไปทันที เขาใช้มือเพียงสองข้างจับเอวเธอยกตัวเธอขึ้นเหมือนตัวเธอเบาหวิวเป็นนุ่น เท้าเล็กๆ ลอยเหนือพื้นดินผิวคลำแดดเหมือนพวกคนงานในไร่แม้ว่าจะอยู่ในแสงสลัวแต่เธอรู้สึกได้ว่าเขามีแววตาที่ดุดัน
“ลูกสาวของคุณภาคภูมิหรือเปล่า?”
เด็กหญิงพยักหน้าแทนคำตอบ
“ทำไมซนแบบนี้ มาเล่นอะไรไกลจริงๆ เดือดร้อนคนอื่นให้ตามหาเสียทั่ว” ชายหนุ่มต่อว่านึกอยากตบก้นสักทีสองทีเป็นการสั่งสอน น้องๆ ของเขาทุกคนผ่านมือเขาตีมาหมดแล้ว
“นี่! ก็ไร่นี่มันเฮงซวย ทำให้คนหลงทางนะซิ!” เด็กหญิงต่อว่าอย่างเอาชนะ นิสัยลูกคนเดียวเอาแต่ใจกำเริบขึ้นทันทีแม้จะอยู่ในสถานการณ์ไว้น่าไว้ใจ
“ไร่เฮงซวย! งั้นก็หาทางกลับเองละกัน!”
ชายหนุ่มหงุดหงิดและโมโห เด็กอะไรปากร้ายเป็นบ้า! เขาปล่อยเด็กหญิงลงและก้มลงหยิบหมวกที่ตกมาสวม ตั้งหน้าตั้งตาก้าวยาวๆ เดินกลับไปที่รถกระบะที่จอดไม่ไกลนัก
เด็กหญิงมองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ความมืดและน่ากลัวเมื่อครู่ยังคงเกาะแน่นในหัวใจ เธอไม่มีทางเลือกนอกจากวิ่งตามชายหนุ่ม แต่ขายาวๆ ก้าวเร็วกว่าเท้าเล็กของเธอ เด็กหญิงกลัวจะก้าวไม่ทันเขาจึงเอื้อมมือคว้าชายเสื้อของเขาไว้ และมันทำให้อีกฝ่ายหยุดเดินแล้วหันกลับมามอง
สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วโลกของเธอก็ดับวูบลงไป
ไอริณสะดุ้งบนเตียงนอนของตนเอง เธอลืมตามองเพดานที่มีโมบายเปลือกหอยแขวนอยู่นิ่งนานหลายนาที หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ แม้จะรู้สึกว่าหัวใจยังเต้นแรงอยู่แล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอน
“ทำไมจู่ๆ ฝันถึงเรื่องวันนั้นได้นะ” ไอริณพึมพำพลางเสยผมยาวยุ่งของตนเอง “เรื่องมันตั้งสิบกว่าปีแล้ว ทำไมยังฝันถึงมันอีก”
หญิงสาวลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินงัวเงียไปเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน เธอมักจะต้มน้ำเพื่อชงกาแฟเป็นสิ่งแรกที่เธอทำในทุกเช้า ไอริณความฝันที่ผ่านมา ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เธอเคยหลงทางในไร่สตอเบอรี่ครั้งนั้น มันกลายเป็นฝันร้ายอยู่บ่อยๆ แต่เธอไม่ได้ฝันถึงเรื่องราววันนั้นมานานหลายปีแล้ว แม้จะผ่านนานแต่เธอก็ยังความรู้สึกในครั้งนั้นได้อย่างดี เธอตื่นมาอีกครั้งในอ้อมอกของผู้เป็นพ่อ เธอร้องไห้อย่างหนักจนพ่อสัญญาว่าจะพาไปดิสนีแลนด์ถึงได้หยุดร้องไห้ ตอนนั้นพ่อพาเธอไปเยี่ยมเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่และเธอก็ตื่นเต้นกับไร่สตอเบอรี่ เธอวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจนลืมเวลาและหลงทาง เธอไม่ได้ถามพ่อว่าใครเป็นพาเธอกลับมาหาพ่อได้ แต่คิดว่าคงเป็นคนงานในไร่และพ่อคงจัดการให้รางวัลเขาไปแล้ว
ไอริณรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที รู้สึกเหมือนเด็กแก่แดดแก่ลมยังไงไม่รู้ เพราะตอนนั้นเธอก็แค่เด็กผู้หญิงสิบขวบเท่านั้น แม้กระทั้งใบหน้าของคนๆนั้นเธอยังจำไม่ได้ แต่เธอกลับจำเสี้ยวหน้าและรอยยิ้มที่เขาหันกลับมายิ้มให้เธอได้
ในชีวิตที่ผ่านมาก่อนที่จะกลายเป็นคนล้มละลายแบบนี้ เธอมีผู้ชายมาจีบเธอจนนับไม่ถ้วนแต่ส่วนใหญ่ก็พวกเหยาะแหยะทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หรือไม่ก็พวกสำอางโดนแดดโดนลมหน่อยไม่ได้ และบ่อยครั้งที่เธอมักเผลอคิดถึงผู้ชายผิวคล้ำแดดคนนั้นทุกที
“ทำไมต้องคิดถึงคนที่ไม่เคยรู้จักด้วยนะ” ไอริณตบแก้มตัวเบาๆ เผื่อเรียกสติ “วันนี้ต้องแก้ชุดของคุณลูกค้าให้เสร็จแล้วเอาไปส่งด้วย จำไว้! นี่เป็นค่าข้าวของเราเชียวนะ อย่าลืม!”
หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวรวมทั้งที่ยังอยู่บนหุ่นโชว์ เธอดูไม่ต่างจากแม่บ้านที่รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าเลยสักนิด แม้เธอจะบอกกับใครต่อใครว่าเธอเป็นดีไซด์เนอร์เป็นช่างออกแบบเสื้อผ้าก็เถอะ
ไอริณส่ายหน้าไปมาแล้วจัดการชงกาแฟร้อนให้ตัวเองแก้วใหญ่ ไม่มีเวลามาหวนนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาอีกแล้ว ไม่มีวันเวลาแสนเลิศหรูแบบนั้นมีแต่ความจริงที่ว่าวันนี้จะมีเงินซื้อข้าวกินไหม? นี่ต่างหากละเรื่องจริง!
มานพยกกาแฟดำขึ้นดื่มขณะที่ในมือยังพลิกแฟ้ม” เอกสารอ่านอย่างใจเย็น ผิดกับเลขาสาวแม่ลูกสองที่ยืนลุ้นผลรายงานที่เธอนำเสนอต่อสายตาท่านประธานหนุ่ม
“โอเค. เรียบร้อยทุกอย่าง” มานพเซ็นชื่อลงในเอกสารแล้วส่งคืนให้เลขาสาวที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ทำงานกันมากี่ปีแล้วยังไม่ชินอีกรึ”
“ดิฉันทำงานกับคุณมาตั้งแต่ยังไม่แต่งงานจนตอนนี้ลูกคนเล็กห้าขวบเข้าไปแล้ว แต่คุณมานพก็ยังเจ้าระเบียบให้ดิฉันต้องลุ้นว่าตัวเองจะทำอะไรผิดพลาดหรือเปล่า”
“เจ้าตัวเล็กห้าขวบแล้วเหรอ?” เขาถามยิ้มๆ
“อีกสิบวันก็ห้าขวบแล้วค่ะ” เลขายิ้มอย่างภูมิใจ
มานพเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบซองสีขาวส่งให้เลขาที่ทำงานกันมานาน อีกฝ่ายยื่นมือไปรับอย่างงงๆ “ของขวัญให้เด็กๆ”
“ของขวัญ?” เลขาเปิดซองออกดูแล้วก็ทำตาโตตกใจ “ตั๋วเครื่องบิน!”
“ดูให้ดีซิ” มานพส่ายหน้าไปมา “ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ผมเห็นเด็กๆอยากไปเที่ยวดิสนีแลนด์ แต่ผมให้ไปได้แค่ที่ฮ่องกงนะ ที่พักพร้อมเงินติดกระเป๋า คิดว่าน่าจะพอพาครอบครัวของคุณพักผ่อนสบายๆ หลายวันอยู่”
“ขอบคุณคุณมานพมากๆ เลยค่ะ”
เลขาสาวยกมือไหว้ เธอเป็นคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวถึงสองคน สามีแยกไปอยู่กับภรรยาคนใหม่นานแล้ว เธอเองก็ทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาพาลูกๆ ไปเที่ยวไหนเลยด้วยซ้ำมีบางครั้งเธอต้องพาลูกสองคนมาทำงานด้วยแต่คุณมานพก็ไม่เคยบ่นอะไรสักคำ เมื่อคราวที่ลูกไม่สบายคุณมานพก็ออกเงินค่ารักษาให้โดยไม่รับเงินคืนสักบาท ถ้าเป็นที่ทำงานที่อื่น เธอก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเจ้านายดีๆ แบบนี้หรือเปล่า
“เมื่อไหร่บอสจะแต่งงานมีครอบครัวละคะ”
“ทำไมมาถามผมแบบนี้ละ” มานพหัวเราะในลำคอพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มันชักจะกลายเป็นคำถามยอดฮิตเวลาเจอหน้าเขาแล้วนะเนี้ย
“ก็ดิฉันอยากเห็นหน้าตาผู้หญิงที่โชคดีคนนั้นไงละค่ะ” เลขายิ้มให้อย่างจริงใจ
“โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ซินะ” มานพโคลงศีรษะไปมา “คุณไปเตรียมตัวไปเที่ยวเถอะ ผมให้ลาหยุดยาวได้สองอาทิตย์ แต่กลับมาแล้วคุณเตรียมตัวรับงานหนักกับโปรเจคใหม่ได้เลย”
“ไม่มีปัญหาเลยค่ะบอส”
“ผมมีนัดจะออกไปข้างนอก แล้วจะไม่กลับเข้ามาอีก ถ้ามีเรื่องด่วนค่อยโทรเข้ามือถือผมนะ”
“รับทราบค่ะเจ้านาย” เลขายกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้งแล้ว