บทนำ (3)

1976 Words
ปรานปราลินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วความจำเป็นก็บีบบังคับให้เธอต้องย่อตัวลงพนมมือขึ้น กราบแทบเท้าของพิมพิลาอย่างคนหมดหนทาง แอบสัญญากับตัวเองไว้ว่าถ้าเรียนจบมัธยมปลายเมื่อไหร่เธอจะหนีไปใช้ชีวิตแต่เพียงลำพัง ไม่หันมาจุนเจือสองแม่ลูกนี้อย่างแน่นอน “ให้มันได้อย่างสิ ลูกรัก” พิมพิลายกยิ้มอย่างพึงพอใจ จ้องมองร่างเล็กตรงปลายเท้าด้วยสายตาเหยียดหยามแต่ก็ยังดีที่หล่อนยอมเซ็นเอกสารให้โดยไม่ได้เอ่ยความยาวสาวความยืดอะไรต่อ ปรานปราลินจึงรีบหยิบมันออกไปจากห้องเพื่อจะเดินทางไปยื่นหยังสือที่โรงเรียนวัดใกล้ ๆ กันหลังจากที่ลงทุนตื่นแต่เช้าเดินหาจนทั่ว การเรียนในช่วงสุดท้ายดูเหมือนจะไปได้สวย แม้ในตอนแรกจะค่อนข้างลำบากเพราะเธอย้ายมากลางคันเลยอาจจะตามไม่ทันเพื่อน สิ่งเดียวที่ตอนนี้ปรานปราลินรู้สึกเป็นกังวลมากที่สุดคือเรื่องเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย เธออยากเรียนให้สูง ๆ จะได้ทำงานมีเงินเยอะ ๆ เพราะเหตุการณ์ในอดีตมันบอกให้เธอรู้ว่าเงินมันมีค่ากับชีวิตมากแค่ไหน “แค่ก ๆ ๆ ” เสียงมารดานั่งไออยู่บนรถเข็นด้วยท่าทางอ่อนแรง มือไม้ที่ผ่ายผอมจนเหลือแต่กระดูกยกขึ้นมาจับหน้าอกตัวเองไว้ราวกับจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดภายในได้ “คุณแม่...แม่เจ็บมากไหมคะ” ปรานปราลินในวัยห้าขวบเอ่ยถามมารดาอันเป็นที่รัก เธอทำได้แค่สวมกอดร่างนั้นเอาไว้ด้วยความไร้เดียงสาคิดว่ามันจะช่วยให้ความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่บรรเทาลง แต่เปล่าเลย อาการป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายของรุ่งระวีดูเหมือนจะหนักลงเรื่อย ๆ หมอแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อร้ายออก แต่ด้วยสถานะการเงินในตอนนั้นมันทำให้ประวีร์ทำได้แค่รักษาด้วยการทานยาและทำคีโมเรื่อยมา จนเมื่อเงินก้อนสุดท้ายหมดลงรุ่งระวีจึงขอกลับมารักษาตัวต่อตามอาการที่บ้าน “สัญญากับแม่ได้ไหม ว่าถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว...แป้งจะเป็นเด็กดี” หญิงสาวสวมกอดร่างเล็กของลูกสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจด้วยความรัก เธอรับรู้ได้ว่าร่างกายของเธอในตอนนี้มันเริ่มจะไม่ไหวลงทุกที “แม่จะไปไหนคะ แม่ไปไหนไม่ได้นะ เดี๋ยวพ่อก็กลับมาแล้ว” “แม่ไม่ไปไหนหรอก แม่แค่ย้ายไปอยู่ในหัวใจของหนูไง” นิ้วเรียวจรดลง บนอกข้างซ้ายของปรานปราลินแผ่วเบา พยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด เหลือบมองนาฬิกาบนผนังไม้เก่า ๆ ที่กำลังบอกเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว อาหารบนโต๊ะยังวางเตรียมไว้เพื่อรอประวีร์ที่ออกไปขับแท็กซี่กลับมาทานด้วยกัน “คุณแม่ตัวโตจะตาย แม่จะเข้าไปอยู่ในหัวใจหนูได้ไง หัวใจหนูดวงเล็กนิดเดียว” คำพูดไร้เดียงสากับท่าทางประกอบทำให้รุ่งระวีอดที่จะอมยิ้มออกมาในความน่ารักนั้นเสียไม่ได้ “ไหน ขอแม่ดูหน่อยได้ไหมคะ ว่าหัวใจของหนูดวงแค่...” พูดยังไม่ทันจบอาการเหนื่อยหอบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็พุ่งขึ้นมาเล่นงานอย่างไม่ปราณี ปรานปราลินเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของมารดาจึงรีบเข้าไปสวมกอดไว้อีกครั้ง “แม่...แม่เป็นอะไรคะ” “แค่ก ๆ ๆ ” มีแต่เสียงไอดังออกมาเป็นคำตอบพร้อมกับเลือดมากมายไหลทะลักออกมาจนริมฝีปากสีซีดเปลี่ยนเป็นสีแดงสด “แม่ คุณแม่เลือดออก” “แป้ง...แม่รักหนูนะลูก ฝากบอกพ่อด้วยว่าแม่รักพ่อ...” มือที่วางลงบนศีรษะเล็กตกลงทันทีเช่นเดียวกับลมหายใจของมารดาที่ขาดสะบั้นลงแต่เพียงเท่านั้น แม้มันจะผ่านมาหลายสิบปีแต่มันก็ยังเป็นภาพติดตามาตลอดไม่นึกไม่ฝันว่าบิดาจะมาตายไปต่อหน้าต่อตาเธออีกคน ปรานปราลินตื่นขึ้นจากห้วงความคิดเมื่อรถเมล์แล่นมาจอดเทียบป้าย ความฝันอันยิ่งใหญ่ของเธอในตอนนี้คือการหาเงินมาให้ได้มากที่สุดถึงแม้จะรู้ดีว่าต่อให้มีเงินมากมายมันก็ซื้ออดีตที่แสนจะมีความสุขนั้นกลับมาไม่ได้ “เห้ย! มันอยู่นั่น” เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากอีกฟากของถนนใหญ่ หญิงสาวมองตามออกไปก่อนจะพบว่าเป็นลูกน้องของเสี่ยอำนาจที่ออกตามหาตัวเธอและครอบครัวมาถึงกรุงเทพ “ชิบ...” “มันจะหนีแล้ว รีบตามมันไป!” ปรานปราลินไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นไปบนรถเมล์ที่กำลังจะออกพอดิบพอดี สังเกตเห็นพวกมันรีบขับรถตามหลังมาติด ๆ เมื่อรถเมล์จอดลงที่หน้าปากซอยทางเข้าอพาร์ตเมนต์ หญิงสาวไม่รอช้ารีบลงจากรถแล้วมุ่งหน้าขึ้นไปที่ห้องของตัวเองทันทีด้วยอาการเหนื่อยหอบ “กลับมาแล้วเหรอ ไหนล่ะเงิน เห็นว่าออกไปทำงานพิเศษมาด้วยนี่” พิมพิลาเอ่ยทักทายด้วยประโยคเดิม ๆ เหมือนเช่นทุกวันในขณะที่กำลังนั่งนวดแป้งเพื่อทำขนมเตรียมไปขายที่ร้านมินิมาร์ทชั้นล่าง หากไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนหาเงินเพื่อซื้อกับข้าวกลับมาที่ห้องแม่เลี้ยงอย่างหล่อนคงจะไล่เธอออกไปนานแล้วกระมัง “ยังไม่ได้ไปเลย” ปรานปราลินตอบไปตามความจริง เพราะปกติหลังเลิกงานเธอก็มักจะไปช่วยล้างจานที่ร้านขายข้าวแกงหน้าปากซอยก่อนกลับมาห้องทุกวันเพื่อแลกกับเงินค่าจ้างและข้าวแกงก้นหม้อที่ขายไม่หมด “ไม่ได้ไป แล้ววันนี้จะกินอะไรกันล่ะ” ปลายฟ้าเสริมขึ้นในขณะที่กำลังตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่แต่งองค์ทรงเครื่องเสียชุดใหญ่จนมารดาอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาเสียไม่ได้ “นั่นแกจะออกไปไหน” “ไปเดินเล่นหน้าห้องนี่แหละแม่” “เดินเล่นหน้าห้องนี่อ่านะ วัน ๆ ไม่คิดจะช่วยฉันหาเงินด้วยการออกไปหางานทำเหมือนยัยแป้งมันบ้างเลยรึไง” พิมพิลาบ่นชุดใหญ่ “เมื่อก่อนฉันอาจจะเลี้ยงแกมาอย่างสุขสบาย ตามใจทุกอย่าง แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว แทนที่จะหายใจทิ้งไปวัน ๆ ช่วยทำตัวให้มันเป็นประโยชน์หน่อยได้ไหม” “ก็กำลังทำอยู่นี่ไงแม่” “ทำอะไร ออกไปเดินเล่นนี่อ่านะเรียกว่าทำประโยชน์” “แม่จะไปรู้อะไร ผู้ชายห้องข้าง ๆ อ่ะหล่อมากเลยนะแม่ หนูเพิ่งเจอเขาเมื่อวานนี้เอง ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะรวย ถ้าหนูจับเขามาเป็นผัวได้ แม่ก็จะ....” “แกหุบปากแล้วมาช่วยฉันทำขนมนี่ไปขายเดี๋ยวนี้” พิมพิลาตัดบทเมื่อเห็นว่าปลายฟ้ากำลังฝันหวานถึงเรื่องไร้สาระ ปรานปราลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อเธอกลายเป็นอากาศธาตุ ไม่มีใครสนใจจึงรีบเดินหายไปในมุมของตัวเองโดยที่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องพวกเสี่ยอำนาจอีก หญิงสาวมุดตัวเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ของตัวเองผ่านผนังผ้าม่านบาง ๆ หยิบหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยขึ้นมาเปิดอ่าน ไหน ๆ ก็ไม่ได้ไปทำงานแล้วใช้โอกาศนี้ติวหนังสือเสียเลยละกัน ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องลั่นขอพิมพิลาและปลายฟ้า “สะ...เสี่ย” ปรานปราลินตัวชาวูบ ไม่นึกไม่ฝันว่าเสี่ยอำนาจจะลงทุนตามหาครอบครัวของเธอมาไกลถึงที่นี่ด้วยตัวเอง “ตามหามาตั้งนาน มาอยู่เสียไกลเลยนะ” น้ำเสียงแข็งกระด้างดังขึ้นตามมาท่ามกลางเสียงร้องไห้ของปลายฟ้า “แหม ก็ที่นั่นมันหางานทำลำบากนี่ ฉันเลยต้องหอบลูกมาหางานทำที่นี่ไงล่ะจ๊ะ” “ได้ทำงานมาหลายเดือนแล้วใช่ไหม ไหนล่ะเงิน” “เอ่อ...ฉันจ่ายค่าห้องไปหมดแล้วล่ะค่ะ อีกอย่างงานที่ฉันว่าก็แค่ขายขนมพอได้ค่ากับข้าวไปวัน ๆ เอง” พิมพิลาพยายามหาช่องทางเพื่อเอาตัวรอดในขณะที่ใช้ตัวเองบังร่างลูกสาวเอาไว้ “ฉันได้ข่าวว่าลูกสาวสวยดี ก็เลยอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง ถ้าเงินมันหายากนักก็ส่งตัวลูกสาวมาให้ฉันแทนก็ได้” เสี่ยอำนาจพูดพร้อมกับเลื่อนมือหยาบกร้านไปคว้าตัวร่างเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังมารดาเอาไว้ “ไม่ได้นะจ๊ะ เอ่อ...ลูกฉันกำลังไม่สบาย ป่วยออด ๆ แอด ๆ ” พิมพิลาโป้ปดเพื่อให้ปลายฟ้ารอดพ้นจากเงื้อมมือเสี่ยบ้ากาม “ถ้าเสี่ยต้องการ เสี่ยเอาลูกคุณประวีร์ไปแทนดีกว่าค่ะ รายนั้นทั้งสวย ทั้งหน้าตาดี ร่างกายก็แข็งแรง ไม่เป็นภาระของเสี่ยแน่นอน” ปรานปราลินได้แต่ขบกรามแน่นอยู่ด้านหลังผ้าม่าน เธอเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าพิมพิลาต้องเสนอตัวเธอแทนปลายฟ้าอย่างแน่นอน “จริงเหรอ แล้วนังหนูนั่นอยู่ไหนล่ะ” “อยู่ในห้องครัวจ่ะ มันเพิ่งจะกลับมาเมื่อกี้นี่เอง” นิ้วชี้เรียวจรดไปทางห้องครัวซึ่งเป็นที่ที่ปรานปราลินใช้หลับนอน หญิงสาวนิ่งเงียบพยายามใช้ความคิดเพื่อจะหาทางหนีไปให้พ้นจากแม่เลี้ยงใจร้ายกับเสี่ยบ้ากาม เสียงฝีเท้าของคนสามสี่คนเดินไกล้เข้ามา ยิ่งบีบให้เธอต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ มือเรียวเลื่อนประตูกระจกออกไปชะโงกหน้ามองลงไปด้านล่าง ระดับตึกที่สูงสิบสามชั้นแบบนี้ตกลงไปไม่พิการก็ตายอย่างแน่นอน ทางเดียวที่ออกไปจากห้องนี้ได้คือต้องปีนไปห้องข้าง ๆ จากทางระเบียงด้านหลังนี่เท่านั้น คิดแล้วจึงยกขาขึ้นวางพาดลงบนขอบระเบียงพยายามตะเกียกตะกายไปยังห้องข้าง ๆ จนสำเร็จ แคว่ก ! เสียงกระโปรงนักเรียนที่รีดจนเป็นเงาวาววับขาดร่นมาจนถึงน่องเพราะไม่ทันได้ระวังจนทำให้มันไปเกี่ยวกับตะขอแขวนเสื้อที่สูงเสมอกับราวกั้นระเบียง “ทำไมมันซวยอย่างนี้วะ” หญิงสาวบ่นพึมพำแต่เมื่อได้ยินเสียงรื้อข้าวของจากห้องของตัวเองจึงรีบถือวิสาสะเข้าไปในห้องของคนแปลกหน้านี้ทันทีโดยที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องนี้เป็นห้องของใคร ดูจากการจัดระเบียบของห้องก็พอเบาใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยเจ้าของห้องก็น่าจะเป็นผู้หญิง เพล้ง! เสียงแก้วน้ำตกลงบนพื้นจนมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ดังขึ้นจากทางห้องครัวเมื่อหันไปดูก็พบกับร่างสูงโปร่งของเจ้าของห้องกำลังอยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำที่ถูกสวมทับเอาไว้ลวก ๆ เผยให้เห็นแผงอกกว้างที่เปลือยเปล่านั้นอย่างชัดเจน ใบหน้าหวานละมุนคล้ายกับผู้หญิงจ้องหน้าปรานปราลินอยู่นานด้วยความตกใจ ริมฝีปากบางรูปกระจับเผยอขึ้นเล็กน้อย สังเกตได้ว่ามันยังมีคราบนมที่เพิ่งจะหล่นแตกติดอยู่บนนั้นบาง ๆ ผมดำขลับที่เปียกลู่น้ำมันยิ่งทำให้เขาดูเซ็กซี่จนผู้มาเยือนแอบกลืนน้ำลายลงคอเสียอึกใหญ่ “เธอเป็นใคร เข้ามาในห้องของฉันทำไม!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD