ปรานปราลินช่วยชาวีเก็บข้าวของตั้งแต่เช้ามืด นึกแปลกใจที่จู่ ๆ เขาก็ย้ายออกกะทันหันแต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามออกไปเพราะเกรงว่าจะถูกไล่ออกจนไม่มีที่จะซุกหัวนอนอีก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ชายหนุ่มจะรีบเดินออกไปเปิดก่อนที่ร่างสูงโปร่งของใครคนนึงจะเดินเข้ามา แขกผู้มาเยือนดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยที่เห็นปรานราลินอยู่ในห้อง ชาวีจึงทำลายความสงสัยนั้นด้วยการแนะนำปรานปราลินให้รู้จัก
“นี่แป้งหอม ญาติห่าง ๆ ฉันน่ะ เธอจะมาขออยู่ด้วยสักระยะหนึ่ง”
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้ตามมารยาท ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่ามีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างนั้นจนรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“ส่วนนี่พัสกร เพื่อนฉัน”
“ญาติเหรอ.. ทางคุณศิหรือทางเกดล่ะ” เจ้าของดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยว เรือนผมสีดำเข้ม หน้าตาค่อนไปทางเอเชียเอ่ยถาม ชาวีนิ่งเงียบไปชั่วครู่เมื่อพัสกรเอ่ยถึงเกศรินทร์พี่สาว และศิวาผู้เป็นพี่เขย
เขารู้สึกไม่ชินเลยสักนิดที่ได้ยินชื่อศิวาขึ้นมาอีกครั้งแม้เวลามันจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม
“เปล่าหรอก เธอมาต่างจังหวัด”
“ไม่รู้มาก่อนว่าวีจะมีญาติอยู่ต่างจังหวัดด้วย” แววตาคมกริบจ้องมองไปที่ปรานปราลินเหมือนจะจับผิด ชาวีจึงรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการขอให้ชายหนุ่มช่วยขนกระเป๋าลงไป ปรานปราลินซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในห้องจึงอาสาช่วยด้วยอีกแรง
“เธอเป็นใคร อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าวีกำลังโกหก เธอไม่ใช่ญาติของเขาจริง ๆ ใช่ไหม” พัสกรเอ่ยถามหลังจากที่นำของไปไว้ด้านล่างแล้วโดยสารลิฟต์ขึ้นมาพร้อมกัน
“ไม่ใช่หรอกค่ะ หนูเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีที่ไป เลยมาขอคุณวีเขาอยู่ด้วยน่ะค่ะ”
“กล้าเนาะ”
“คะ!?” ปรานปราลินอ้าอากเหวอกลางอากาศ ลางสังหรณ์บอกเอาไว้ไม่ผิดเลยจริง ๆ ว่าพัสกรต้องไม่ชอบหน้าเธอ
“เธอน่าจะรู้นะว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน และฉันก็หวังว่าเธอจะไม่ล้ำเส้น”
“เดี๋ยวนะคะ นี่คุณกำลังคิดอะไรอยู่ หนูนับถือคุณชาวีเพราะเขาเป็นผู้มีพระคุณเท่านั้น หนูไม่ได้คิดอะไรกับเขาเสียหน่อย อีกอย่างหนูก็เป็นหนึ่งในสาวกวายนะคุณ” คนตัวเล็กกว่าคลี่ยิ้มพยายามสร้างมิตรภาพที่สวยงามขึ้นมาอีกครั้ง
“ให้มันแน่เถอะ อย่ามาหลงเสน่ห์เขาก็แล้วกัน” พัสกรกล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินนำหญิงสาวเข้าไปในห้องเพื่อช่วยชาวีขนของลงไปอีกสองสามรอบ ซึ่งกว่าจะได้ย้ายไปที่ใหม่ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งค่อนวัน
“ขอบใจมากนะกรที่อุตส่าห์มาช่วย” เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นหลังจากพัสกรช่วยขับรถและขนของมายังคอนโดใหม่ซึ่งก็อยู่ห่างกับที่เก่ามาไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก ปรานปราลินจึงค่อยเบาใจเรื่องโรงเรียนไปด้วย
“ไม่เป็นไร ถ้าไม่ติดงานเราก็อยากจะอยู่ช่วยต่อนะ”
“ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็รบกวนมากพออยู่แล้ว เอาไว้ว่าง ๆ ก็แวะมาได้ตลอดนะ” ชาวีตบไหล่เขาเบา ๆ เพื่อขอบคุณ จนคนตัวเล็กที่แอบดูอยู่ในห้องนึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นฉากร่ำลาประเภทโอบกอดหรือจุ๊บแก้มอะไรเทือกนั้น เมื่อประตูห้องถูกปิดลงหญิงสาวจึงรีบหลุบตาลงทำทีเป็นช่วยเขาจัดของต่อ
“ดูท่าว่าเขาจะหวงคุณน่าดูเลยนะ”
“แก่แดด”
“หนูไม่ได้แก่แดดนะ คุณไม่รู้เหรอว่าเขาดูไม่ค่อยพอใจที่เห็นหนูมาอยู่กับคุณน่ะ” ปรานปราลินเถียง ลืมไปเสียสนิทว่าเธอจะต้องอ่อนน้อมกับเขาให้มากเพื่อแลกกับที่อยู่ที่กิน
“ทำไมกรเขาต้องคิดแบบนั้นด้วย”
“แหม...เขาไม่ใช่แฟนคุณเหรอคะ” นิ้วเรียวจิ้มลงบนอกข้างซ้ายของชาวีแผ่วเบา แต่แทนที่ชายหนุ่มจะคลี่ยิ้มเขินจนตัวเป็นเกลียวเหมือนที่เธอคิดเขากลับส่งสายตาคมกริบกลับมาเป็นคำตอบแทน
“เลิกเพ้อเจ้อแล้วไปจัดห้องตัวเองโน่น” เขาไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ตกลงเช่นกัน ที่ผ่านมาเขายอมรับว่าพัสกรดีกับเขามาตลอดแต่สถานะที่เขามอบให้คือคำว่าเพื่อนเท่านั้น
ถ้าจะให้พูดตามตรงเขาเองก็ยังสับสนกับตัวเองอยู่เหมือนกันว่าที่จริงแล้วเขาต้องการความรักแบบไหนกันแน่ หรืออาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยลืมศิวาได้ลงมันเลยทำให้เขายังคงจมปลักกับความรู้สึกแบบนั้นมาโดยตลอดจนทำให้เขาไม่สามารถเปิดใจให้ใครเข้ามาในชีวิตได้อีก
“ห้องเหรอคะ คุณให้หนูอยู่ในห้องเหรอคะ”
“อืม ก็ห้องมันมีอยู่สองห้องนี่”
“จริงเหรอคะ ขอบคุณค่ะ คุณใจดีที่สุดเลย” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับวงแขนเรียวที่ตวัดโอบกอดชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าหวานซุกอยู่บนอกกว้างรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กอดพ่อกับแม่ในเวลาเดียวกัน “ขอบคุณจริง ๆ นะคะ ถ้าไม่มีคุณ หนูไม่รู้เลยว่าชีวิตหนูหลังจากนี้มันจะเป็นยังไง”
“ถ้าอยากอยู่ต่อก็ปล่อยฉันได้แล้ว”
“ค่ะ” ปรานปราลินโค้งกายให้เขาอีกครั้งแล้วจึงคว้าสัมภาระของตัวเองเข้าไปในห้องเล็กซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องใหญ่ซึ่งเป็นห้องของเขา
ชาวีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่เก็บเด็กข้างถนนมาเลี้ยงไว้แบบนี้เพื่อเป็นการไถ่บาปที่เขาเคยทำไว้ในอดีตกับเกศรินทร์ผู้เป็นพี่สาว
บางที่การเปิดรับใครใหม่ ๆ เข้ามามันอาจจะทำให้ชีวิตที่เหลือไม่น่าเบื่อเหมือนที่ผ่านมาก็ได้
หลังจากใช้เวลาช่วยกันจัดห้องใหม่จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงค่ำ ชาวีลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยว่าจะชวนปรานปราลินลงไปหาอะไรทานง่าย ๆ แถวหน้าปากซอย ยืนเคาะประตูห้องอยู่นานก็ไม่มีแววว่าหญิงสาวจะเปิดให้ เขาจึงถือวิสาสะเป็นฝ่ายเปิดเข้าไปเอง
“โอ๊ะ! คุณ!” ปรานปราลินสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้าในห้องในขณะที่เธอกำลังจะอยู่ในผ้าขนหนูผืนเล็กเพื่อจะอาบน้ำอาบท่าชำระเหงื่อไคลที่ไหลชุ่มออกมาทั้งวัน
“...” ชาวีได้แต่ยืนนิ่ง เขาไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนเลยไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร คนตัวเล็กจึงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยท่าทางใจเย็น สำหรับเธอชายหนุ่มไม่ใช่ผู้ชายอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรที่จะต้องอาย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ว่าจะชวนไปหาอะไรทานน่ะ จะอาบน้ำก็ไปอาบก่อนสิ เดี๋ยวฉันรอ”
“ค่ะ” เจ้าของเนินอวบอิ่มที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าขนหนูคลี่ยิ้ม แล้วเดินสวนเขาออกมาจากในห้องเพื่อเข้าไปในห้องน้ำแทนในขณะที่ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม
เมื่ออาบน้ำเสร็จหญิงสาวจึงเดินตามชาวีลงไปด้านล่าง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยประโยคหนึ่งที่ค้างคาใจอยู่นานไม่กล้าจะพูดออกไป
“เอ่อ...คุณวีคะ”
“มีอะไร”
“หนูขออะไรอย่างได้ไหมคะ”
“อะไร”
“เอ่อ...” ปรานปราลินหลบสายตาคมกริบคู่นั้นด้วยการเสมองไปทางอื่นแทน “คือ...รองเท้านักเรียนหนูมันขาดตอนที่ถูกฉุดน่ะค่ะ พรุ่งนี้วันจันทร์ หนูมีสอบปลายภาควันแรกด้วย จะเป็นอะไรไหมถ้าหนูจะขอให้คุณซื้อรองเท้านักเรียนให้หนูสักคู่”
“หืม”
“หนูนวดให้ก็ได้ หนูเห็นคุณขนย้ายของทั้งวันน่าจะเมื่อย หนูนวดเก่งนะเมื่อก่อนหนูเคยนวดให้พ่อบ่อย” หญิงสาวรีบยื่นข้อเสนอเพราะกลัวว่าเขาจะมองเธอเป็นพวกกอบโกยพลางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อให้ชาวีเห็นกล้ามน้อย ๆ ตรงท้องแขน
“แล้วเธอไม่เมื่อยรึไง”
“ไม่หรอกค่ะ หนูยังเด็ก” คำตอบของปรานปราลินทำเอาอีกคนถึงกับฉุนจัด
“นี่เธอว่าฉันแก่เหรอ”
“โอ๊ะ! เปล่านะคะ หนูแค่บอกว่าหนูยังเด็กเลยไม่เมื่อย ไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณเสียหน่อย” คนตัวเล็กรีบอธิบาย แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม
หญิงสาวแอบเห็นเอกสารของเขาตอนช่วยเก็บของทำให้เห็นวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏอยู่บนนั้นด้วย หากจะนับดูจากปีที่เกิด ปีนี้เขาก็น่าจะสามสิบซึ่งโตกว่าเธอถึงสิบเอ็ดปีเลยทีเดียว แบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าแก่ได้ไง
“ไปเลือกสิ เดี๋ยวฉันรอด้านนอก” เขาว่าพลางส่งธนาบัติสีเทาให้สามใบเมื่อเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อรองเท้าตามที่ปราปราลินขอ
“ตั้งสามพัน คุณจะให้หนูซื้อกี่คู่คะ”
“คู่เดียว ที่เหลือก็ซื้ออุปกรณ์การเรียนอื่นด้วยสิ หนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่ะมีหรือยัง”
“ยังไม่มีค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามความจริง หนังสือที่เธอพกติดตัวก็มีแต่หนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดของโรงเรียนเท่านั้น
“ก็ไปซื้อสิ” เขาผายมือเข้าไปในร้านด้วยความไม่ชอบใจที่คนตัวเล็กยังมัวแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“คุณวีไปช่วยเลือกหน่อยสิคะ”
“อะไรของเธอเนี่ย ฉันออกตังค์ให้แล้วยังช่วยเลือกอีกเหรอ”
“ค่ะ หนูไม่รู้นี่ว่าต้องซื้อแบบไหน ยังไง” ปรานปราลินอธิบาย ชาวีไม่มีทางเลือกจึงยอมเดินตามหญิงสาวเข้าไปในร้านด้วยอีกคน เขาหันไปหยิบรองเท้านักเรียนสีดำคู่หนึ่งบนชั้นแล้วส่งให้คนตัวเล็กลองใส่ดู
“ใส่ได้ไหม”
“ใหญ่ไปอ่ะค่ะ”
“งั้นลองคู่นี้ดู” ชายหนุ่มเลื่อนมือไปหยิบคู่ที่เล็กกว่าคู่ก่อนหน้านี้ส่งให้อีกครั้ง เมื่อได้รองเท้าแล้วเขาจึงลองเอ่ยถามถึงชุดนักเรียนด้วย “แล้วเสื้อล่ะ กระโปรง ถุงเท้า ไม่เอาด้วยเหรอ ฉันเห็นกระโปรงมันขาดไปถึงน่องแล้วนี่”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูเย็บซ่อมมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างหนูกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยคงจะใส่อีกไม่นาน รองเท้าคู่นี้ถ้าคุณไม่ว่า...เสร็จเรื่องแล้วหนูจะขายเอาไปซื้อรองเท้าผ้าใบไว้ใส่กับชุดนักศึกษาค่ะ แบบมือสองราคาถูก ๆ ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มยักไหล่ แอบทึ่งกับความคิดของหญิงสาวอยู่ไม่น้อย หลังจากจัดการเรื่องเสื้อผ้าเสร็จเขาจึงพาเธอไปยังแผนกหนังสือต่อ
“หนังสือเยอะแยะไปหมด เลือกไม่ถูกเลยแฮะ”
“เธออยากเป็นอะไรล่ะ”
“คะ”
“ฉันหมายถึงว่าเธออยากเรียนต่อคณะอะไร ฉันจะได้ช่วยให้คำปรึกษา” ชาวีอธิบายพลางหยิบหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกมาหนึ่งเล่ม
“ตอนแรกหนูว่าอยากเรียนให้สูง ๆ เป็นอะไรก็ได้ที่ทำงานแล้วมีเงินเยอะ ๆ แต่ตอนที่หนูถูกไล่ออกไปให้นอนตากฝนอยู่ข้างนอกคืนนั้น มันทำให้หนูเห็นว่ายังมีเด็กคนอื่น ๆ ที่ยังลำบาก และในประเทศไทยก็น่าจะมีเด็กเหมือนหนูอยู่ไม่น้อย” หญิงสาวเอ่ยเล่าด้วยน้ำตาที่รื้นออกมา “หนูอยากเป็นครูค่ะ หนูอยากสอนให้พวกเขาเรียนเก่ง ๆ เขาจะได้มีงานทำมีเงินเยอะ ๆ แทนที่หนูจะได้รวยอยู่คนเดียว หนูจะทำให้เด็กทุกคนมีความฝันแล้วก็รวยเหมือนหนูด้วย”
“เงินคงสำคัญกับเธอมากเลยสินะ”
“ค่ะ ถ้ามีเงิน...ครอบครัวของหนูคงไม่เป็นแบบนี้” ดวงตากลมโตมีน้ำตาไหลออกมาทั้งที่ริมฝีปากยังมีรอยยิ้มกว้าง “คุณมีพระคุณกับหนูมาก สักวันหนึ่งหนูหวังว่าจะได้ตอบแทนคุณ”
“ถ้าอยากตอบแทนฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วรีบย้ายออกไปสิ”
“ใจร้าย คนกำลังอยู่ในโหมดซึ้งแท้ ๆ ” ปรานปราลินปรับสีหน้าแทบไม่ทัน เมื่อเห็นเขานำหนังสือและเสื้อผ้าไปคิดเงินจึงรีบเดินตามออกไป
“หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“วันนี้หนูยังไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน งั้นหนูขอเป็นข้าวสามจานแบบรวบมื้อได้ไหมคะ”
“อืม” ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มบาง ๆ มันกำลังปรากฏอยู่บนใบหน้าของตัวเอง แค่ปรานปราลินเข้ามาอยู่ในชีวิตได้เพียงไม่นาน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหญิงสาวจะทำให้ชีวิตที่แสนน่าเบื่อของเขาเปลี่ยนไปได้มากมายถึงขนาดนี้