“คุณชาย ท่านจะเป็นสุขเชื่อข้าเถิด เจ้าสาวของท่านอยู่ตรงหน้านี้ จะไม่ชิมน้องน้อยของนางหรือ” นางเอ่ย และขยับตัวเล็กน้อย จากนั้นจึงเปลื้องผ้าออกทั้งตัว เรือนกายหอมและนุ่มนิ่ม ทำให้อู๋หยางจียากข่มใจไม่ร่วมมือกับนาง แต่ตอนนี้เขายังต้องเล่นละครเป็นชายที่ถูกกำยานถวิลหาเล่นงาน จึงได้แต่เคลื่อนไหวตามความต้องการหญิงสาว
“ใหญ่โตยิ่งนัก เช่นนี้ข้าคงไม่อาจปล่อยให้สตรีนางใดครอบครองมะเส็งของคุณชายได้” นางว่าจบจึงมอบพื้นที่หวานของต้นให้แก่อู๋หยางจีลิ้มรส
ไรหนวดของเขาทำให้นางจั๊กจี้ จึงหัวเราะคิกคักอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เสียดายที่ท่านต้องหลับใหลเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น เราคงได้ร่วมรักกัน ดวงตาสานสบ พร้อมป้อนคำหวานไม่ขาดปาก”
ถ้อยคำจากนางไม่ได้สัปดน แต่แจ้งใจความต้องการที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ จากนั้นสองมือนางจึงซุกซนอยู่กับแก่นกายเขา และแอ่งเนื้อที่แฉะชื้นถูไถบดเบียดกับริมฝีปากอู่หยางจี และนางไม่ปล่อยให้เขาพัก ริมฝีปากอวบอิ่มดูดปลายหัวหยักสีแดงเข้ม ยิ่งดูดดุนแรงเท่าใด อู๋หยางจีก็ส่งเสียงครางแหบพร่าในลำคอหนักขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเขาได้ตอบรับนางพอไม่ให้หญิงสาวต้องเหนื่อยอยู่คนเดียว ริมฝีปากบางจูบเนินเนื้อสาว จูบและสูดกลิ่นหอมส่วนที่พร่างพรมด้วยหยาดน้ำ
“อี๊ๆ ๆ น้องสาวของข้า ท่านพึงใจหรือไม่ อ๊ะ อ๋า… คุณชาย ท่านช่างเป็นบุรุษที่ทำให้ข้าชื่นชอบ”
เสียงของนางดังกว่าเดิม เขารับรู้ว่าสตรีผู้นี้นิยมเรื่องบนเตียงไม่เหมือนใคร ซึ่งมันทำให้เขาชอบที่ได้ถูกล่วงเกินโดยมีนางเป็นผู้ควบคุม กระทั่งอู๋หยางจีเกิดความคันที่ปลายหัวหยัก กายแกร่งจึงกระตุกไหว ซึ่งเขายามข่มกลั้นไม่ให้เสียงตนเล็ดลอด และเป็นนางที่แสดงความดีใจ ราวกับรับรู้ว่าช่วงเวลาแห่งความซาบซ่านกำลังจะบรรลุผล
“ให้ข้าได้รับมัน คุณชายหลั่งเถิด หลั่งออกมาให้ข้ากลืนกิน” นางว่าแล้วโยกศีรษะขึ้นลงรัวเร็ว โพรงปากของนางดูด และเม้มปลายหัวหยักเขา ส่วนมือบีบสลับการลูบไล้ต้นขาแกร่ง
อู๋หยางจีอยากแทรกลิ้นเข้าไปในแอ่งเนื้อของนางบ้าง แต่เขากลัวว่าหญิงสาวจับพิรุธได้ว่าไม่ได้หลับจริง จึงได้แต่กำหมัดแน่น และบิดร่างกายเพื่อคลายความสยิว
“คุณชายเจ้าขา...หากยังไม่ปล่อยมันออกมา ข้า...คงต้องให้มะเส็งของท่าน เข้าไปอยู่ในกลีบน้องสาวของข้าแล้ว”
เมื่อนางเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง พร้อมเม้มปลายหัวหยักของเขา อู๋หยางจีก็ไม่อาจเก็บความอุ่นข้นที่อยู่ข้างในได้อีก
สิ่งที่เกิดต่อจากนั้น ส่งผลให้เขาสะดุ้งเฮือกสุดแรง
“คุณชาย ท่านเป็นของรั่วจื่อแล้ว...จำไว้ ท่านเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว” เสียงนางเอ่ยต่อเขาราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ และอู๋หยางจีมั่นใจว่าผู้ที่เย้าหยอกบนเตียงกับเขา หาใช่วิญญาณผีสาว แต่เป็นสตรีแสนซุกซนคนหนึ่ง และนางมีนามว่า รั่วจื่อ เป็นชื่อเดียวกันที่ปักอยู่บนรองเท้าเจ้าสาวข้างนั้น
เช้าวันใหม่ ชายหนุ่มค่อนข้างปวดศีรษะ ตลอดคืนเขานอนไม่หลับ นอกจากนั้น อาการปวดเมื่อยร่างกายมีอยู่มาก เขาออกมากินเต้าหู้ที่ร้านหัวมุมถนน รสชาติไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ราคาถูก ขากลับเข้าเรือนเพื่อไปท่องหนังสือเขาเลือกซื้อขนมถั่วตัดและหมั่นโถวไว้กินช่วงกลางวัน เป็นตอนนั้นที่เขาเดินผ่านป้ายประกาศที่ติดเอาไว้ ส่วนมากเป็นหนังสือราชการ หรือไม่ก็ขายของ แจ้งเรื่องภาษี หากที่เขาสนใจเป็นพิเศษคือรูปวาดสตรีผู้หนึ่ง พร้อมชื่อของนาง สตรีนางนั้นไม่ได้อัปลักษณ์ก็จริง แต่ใบหน้านางออกจะกลม ดวงตาโตผิดสัดส่วน จมูกงุ้ม ปากเล็ก
อู๋หยางจีมองอยู่นาน กระทั่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งเล่าเสียงดังว่า
“นี่แหละ คือรั่วจื่อ หญิงสาวจากเมืองหลวง นางเป็นบุตรีของตระกูลม่าน แต่โชคร้ายถูกโจรป่าดักชิงตัวระหว่างเดินทางจะไปถือศีลให้บิดา จากนั้นก็ถูกนำมาขายที่ตลาดค้ามนุษย์ และคนตระกูลหลี่ซื้อเอาไว้ เพื่อให้เป็นเจ้าสาวบำเรอกามที่หอแดง
แต่สุดท้ายไม่รู้เกิดอะไรขึ้น นางกลับมาตายในชุดเจ้าสาว” ชายคนดังกล่าวอาศัยอยู่ในเมืองนี้ และขายเครื่องประดับสตรี จึงรู้เรื่องมิน้อย
“คนตายไปแล้ว เจ้าหน้าที่ติดประกาศเพื่อการใด” เสียงหนึ่งถามขึ้น
“เจ้ามันโง่ ประกาศนี้ติดอยู่ทุกเดือน ทางการเขาต้องการตามหาญาติของนางอย่างไรเล่า ให้พาดวงวิญญาณแม่นางรั่ว
จื่อกลับบ้านเกิด คนหนุ่มจะได้ไม่ต้องสังเวยชีวิตให้แก่วิญญาณผีตนนี้อีก เจ้าลืมไปแล้วหรือ วันมะรืนเป็นเทศกาลขนมกระดูกขาว”
“วิญญาณ!”อู๋หยางจีได้ยินเช่นนั้นก็ฉงน ‘รั่วจื่อ’ ที่ชาวบ้านเอ่ยถึงนั้น ใช่เจ้าของรองเท้าสีแดงที่เขาเก็บได้หรือไม่
“พี่ชาย พวกท่านกล่าวถึงสตรีในรูปภาพนี้ นางเป็นผู้ใดกัน” บัณฑิตหนุ่มเอ่ยถาม และคนที่คุยกันอยู่ก็หันมามองเขา มองอย่างพินิจ
เจ้าของร้านขายเครื่องประดับสตรีมองอู๋หยางจีอย่างประเมิน
“ท่าทางเจ้าคงเป็นคนเมืองอื่น”
“ถูกต้อง ข้ามาที่ฝูหานเพื่อสอบเข้ารับราชการที่หอตรวจการ”
“อ๋อ... เป็นเจ้านั่นเอง ที่คนพูดกันว่า ไปพักข้างหอแดงนั่น!” เสียงหญิงวัยชราเอ่ยขึ้น จากนั้นก็มีการซุบซิบอย่างไม่เกรงใจอู๋หยางจี
“หอแดง...” ชายหนุ่มเอ่ยจบก็รู้สึกตงิดใจว่าคงทำเรื่องไม่เหมาะสมเข้าแล้ว
“เจ้าหนุ่มเอ๋ย หลงกลตาแก่เกาจนได้ ใครพักที่นั่น ล้วนแต่ต้องชะตาขาด รีบย้ายออกมาก่อนตะวันตกดินเสีย มะรืนก็เป็นเทศกาลขนมกระดูกขาว เจ้ารู้หรือไม่ตอนนี้ เงาหัวเจ้าแทบไม่เหลือแล้ว” ชายร่างอ้วนเอ่ย ใบหน้าเขาซีดจัด พลางบุ้ยใบ้ให้สตรีร่างผอมมองอู๋หยางจี และนางรีบยกมือแห้งๆ ทาบหน้าอกตน ก่อนถอยกรูดห่างจากเขาราวกับพบเห็นสิ่งน่ากลัว
“พะ พ่อหนุ่ม เมื่อครู่นั้น ข้าเห็นเงาดำๆ เคลื่อนผ่านใบหน้าเจ้า รีบย้ายออกจากเรือนไม้ข้างหอแดงเสีย และไปไหว้พระขอพร มิเช่นนั้นเจ้าอาจไม่รอดถึงพรุ่งนี้เป็นแน่!” หญิงชราคนเดิมเอ่ยท้วงอู๋หยางจี ท่าทางนางแสดงความเป็นห่วงเขามิน้อย
“พวกท่านคงกำลังล้อข้าเล่นแล้ว”
“หามิได้ ข้าเห็นด้วยสองตา” หญิงร่างผอมเอ่ยจบ นางจึงรีบก้าวไปอีกทาง เพราะกลัวไอปีศาจจะติดตัว
“ชะตาเจ้ากำลังขาด เชื่อข้า รีบย้ายออกมาจากเรือนไม้ข้างหอแดง มิเช่นนั้น เจ้าคงได้กลายเป็นสามีของวิญญาณรั่วจื่อแน่นอน” พี่ชายคนขายเครื่องประดับสตรีเอ่ยย้ำ
“พี่ชายหมายความว่า ข้าเป็นสามีของผีเยี่ยงนั้นรึ”
เมื่ออู๋หยางจีเอ่ยออกมา คนที่ยังยืนอยู่หน้าป้ายประกาศก็ต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว
“เอ หรือว่าเจ้าได้เสียน้ำวิสุทธิ์ให้แก่นางแล้ว” คำถามดังกล่าวทำให้อู๋หยางจีรู้สึกเหมือนสายตาทุกคู่จ้องจับผิด
“ปละ เปล่า ข้ารึ จะถูกผู้อื่นล่อลวงเช่นนั้น และยิ่งเป็นวิญญาณไร้ตัวตน ย่อมทำสิ่งใดกับข้าไม่ได้” อู๋หยางจีแก้ตัว
“ฮ่าๆ ๆ เห็นเจ้ามั่นใจเช่นนี้ก็ดี พวกข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงช่วยทำศพ”
ชายคนร่างอวบพูดแล้วจึงหันไปทางด้านหลัง เป็นตอนนั้นที่ขบวนศพเล็กๆ ผ่านทางมาพอดี
“อย่าดู อย่าหันไปดูพ่อหนุ่ม” สตรีชราเอ่ยเตือนอู๋หยางจีเสียงเข้ม และอู๋หยางจีต้องประหลาดใจ ขบวนดังกล่าว มีคนต่างชาติสวมชุดดำคลุมตลอดทั้งร่าง และเดินนำขบวน พวกเขาล้วนมีไม้กางเขนเล็กๆ ห้อยคอ หน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเครา ดวงตาสีอ่อนดูมุ่งมั่น