ตอนที่5.อีกฟากหนึ่ง

1656 Words
อีกฟากหนึ่ง ณ หอนางโลมหอมหมื่นลี้ หอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ผู้ที่ถูกกล่าวถึงเรียกนางโลมใจกล้าเข้าไปปรนนิบัติพร้อมกันถึงสามนาง ในห้องพิเศษที่ตบแต่งอย่างงดงามและเย้ายวนด้วยกลิ่นหอมรวยริน มีเสียงการเคลื่อนไหวอยู่หลังม่านไม้ไผ่ การเคลื่อนไหวรุนแรงกระแทกกระทั้นเคล้ากับเสียงครางกระเส่าของหญิงคณิกาทั้งสาม ด้านนอกม่านไม้ไผ่มีบุรุษใบหน้าอ่อนหวาน ที่ทำเอาหญิงสาวยังอับอาย คนผู้นั้นกำลังเดินหมากล้อมเพียงลำพัง เสียงเสพสุขนั้นไม่ได้ทำลายสมาธิของเขาแม้แต่น้อย ยังคงเดินหมากเพียงผู้เดียวอย่างใจเย็น ในขณะที่องครักษ์ผู้มีใบหน้าคล้ายกัน จนแทบถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันนั้น นั่งกินขนมของหวานราวกับเด็กน้อย ทั้งที่รูปร่างสูงใหญ่และอายุยี่สิบห้าเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าทั้งสามไม่ได้สนใจเสียงครวญครางหรือเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังอยู่นั่น ราวกับชินชากับสิ่งที่ได้ยินแล้ว  “เมืองหลวงนี่ดีจริง ขนมของกินอร่อยๆ ทั้งนั้น” บุรุษในชุดดำผู้หนึ่งเอ่ย เขาคือ เจิ้งหู่ องครักษ์ขวาขององค์ชายเฟยเทียน  “จริงด้วย คนในเมืองหลวงนี่มีเวลามานั่งประดิดประดอยทำขนมของหวานพวกนี้จริงๆ” เจิ้งไฉ เอ่ยอย่างเห็นด้วยกับพี่ชายฝาแฝดของตนเอง เขาคือองครักษ์ซ้ายขององค์ชายเฟยเทียน เจิ้งหู่และเจิ้งไฉไม่ได้เป็นเพียงองครักษ์เท่านั้น ยังร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่องค์ชายเฟยเทียน สองพี่น้องเป็นเด็กกำพร้าที่องค์ชายเฟยเทียนรับเลี้ยงให้ฝึกฝนวรยุทธ์จนเก่งกาจไม่ด้อยกว่าผู้ใด แม้ลักษณะภายนอกจะดูนิ่งขรึม น่าเกรงขาม แต่นิสัยของทั้งสองเหมือนเด็กเล็กที่ชอบกินขนมของหวานเป็นที่สุด ถ้าให้ต้องเลือกระหว่างสาวงามกับกองขนมหวาน สองพี่น้องนี้ย่อมเลือกขนมหวาน จึงไม่แปลกใจที่ทั้งคู่จะนั่งกินขนมหวานอย่างเอร็ดอร่อย เฝ้าผู้เป็นนายที่เสพสุขกับหญิงคณิกาสามนางหลังม่านบังตานั่น “พูดเหมือนอยู่ตุนหวงพวกเจ้าไม่ได้กินขนมหวาน” ชายหนุ่มรูปร่างบอบบางสวมอาภรณ์สีขาว สายตายังจับจ้องที่หมากบนกระดานแต่ยังสามารถสนทนากับสององครักษ์ได้   “ท่านกุนซือก็...” เจิ้งหู่ทำเสียงครางเหมือนประท้วง หยิบขนมอีกคำเข้าปาก ดูดปลายนิ้วเอาความหวานเข้าไปด้วย “มันไม่เหมือนที่นี่”   “จริงด้วย ท่านกุนซือซิ่นเจี่ยงลองชิมสักคำสิ”   ซิ่นเจี่ยง เพียงมองด้วยหางตาก็ส่ายหน้าไปมา เจิ้งหู่และเจิ้งไฉเป็นทหารองครักษ์ ส่วน ซิ่นเจี่ยง เป็นกุนซือ หนุ่มรูปงาม ทั้งสามร่วมรบกับองค์ชายเฟยเทียนตั้งแต่เหตุการณ์ ‘ทรายย้อมโลหิต’ พวกเขาล้วนเห็นและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น กระนั้นไม่ได้หวาดกลัวผู้เป็นนาย ซ้ำยังเทิดทูนกว่าที่เคยเป็นมา เพราะต้องการให้ทหารทุกคนได้ ‘กลับบ้าน’ จึงยอมให้ปีศาจมังกรเพลิงสิงสู่เป็นที่หลบซ่อนเทพมังกรที่ตามล่าปีศาจ กลายเป็นรอยสักรูปมังกรเพลิงบนท่อนแขนซ้าย   เรื่องราวน่ากลัวล้วนถูกแต่งขึ้น เพิ่มหวาดกลัวเกินความเป็นจริงไปมาก แต่องค์ชายเฟยเทียนไม่ใคร่ใส่ใจ ซ้ำยังดีใจที่ผู้คนหวาดกลัว ทำให้การรบของเขาแต่ละครั้ง ยิ่งสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารของฝ่ายตน สิบปีมานี้ ทั้งสามติดตามองค์ชายเฟยเทียน ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะอย่างไรมีเรื่องจริงอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น   ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน “ไล่พวกนางออกไป” “ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน  “นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่  “เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท   “พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า   ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล  พวกนางได้รับค่าตัวแล้วก็จริง แต่นี่ถือเป็นสินน้ำใจเล็กน้อย “ผู้หญิงนี่ก็แปลกประหลาดนัก ตอนเรียกมาไม่มีใครอยากเข้ามา ต้องประกาศเพิ่มเงินสามเท่าถึงมีคนใจกล้ามาปรนนิบัติองค์ชาย แต่พอเสร็จกิจแล้วกลับเรียกร้องอีก” เจิ้งไฉยักไหล่แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะขนม หยิบขนมเปี๊ยะส่งเข้าปากอีกคำ   “องค์ชายมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว เหตุใดไม่เข้าวังเสียที” ซิ่นเจี่ยงเอ่ยถามบุรุษที่ยกเหล้าขึ้นดื่มราวกับน้ำเปล่า   “เจ้าอยากเข้าวังหลวง ก็เข้าไปแทนข้าดีกว่าไหม?” องค์ชายเฟยเทียนหัวเราะในลำคอ “กระหม่อมก็เพียงแค่ อยากกลับตุนหวงโดยเร็ว หากพระองค์จัดการเรื่องที่นี่เสร็จ พวกเราจะได้กลับบ้านกัน”  ‘บ้าน’    องค์ชายเฟยเทียนเพียงแค่ทำเสียงหงุดหงิดในลำคอ เมืองหลวง ควรเป็นบ้านของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ตุนหวงต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นบ้านที่แท้จริง ทั้งสี่เดินทางอย่างลับๆ มาถึงเมืองหลวงได้นับสัปดาห์แล้ว แต่ยังรั้งรอไม่เข้าวังหลวง ไม่ไปตำหนักของตน อาศัยพักในโรงเตี๊ยมและเสพสุขกับนางคณิกา   ดวงตาคู่คมแฝงรอยเศร้า สนามรบใดไม่น่ากลัวเท่าวังหลวง  หากท่านแม่ยังอยู่ เขาจะรับนางไปอยู่ด้วยกันที่ตุนหวง  “เอาเถอะ ถือว่ามาเล่นสนุกก็แล้วกัน วันสองวันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าวังเสียที”   องค์ชายเฟยเทียนขว้างขวดสุราเปล่าใส่ผนัง ทั้งสามไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเพราะชาชิน ร่างสูงใหญ่ผลุบหายไปในห้องอีกครั้งแล้วสวมเสื้อผ้าของตนเอง พลางครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ฮองไทเฮาเรียกตัวเขากลับมาที่นี่ สถานที่ที่เขาไม่ปรารถนาจะมาเหยียบยืนเลยสักนิดเดียว. .....         เสียงซุบซิบจากบรรดานางกำนัลและเหล่าขันทีในเวลานี้ต่างไม่พ้นเรื่ององค์ชายเฟยเทียน เสด็จจากตุนหวงมาเมืองหลวงเพื่อร่วมงานฉลองวันประสูติของฮองไทเฮาแล้ว ฮ่องเต้ยังประทานตำแหน่งชินอ๋องอันเป็นตำแหน่งอ๋องที่สูงสุดให้ด้วย    ว่านหนิงเหมยที่ง่วนกับการต่อกิ่งกุหลาบสีแดงสดอยู่ นางใช้ผ้ามุ้งหรือผ้าโปร่งพันรอบกิ่งกุหลาบที่ทดลองขยายพันธุ์ให้ แม้ดวงตาจ้องมองกับสิ่งเบื้องหน้า แต่หูของนางตั้งใจฟังเสียงพูดคุยของนางกำนัลที่อยู่ไม่ไกลนัก   ‘อยากรู้อะไรถามพวกข้าสิ’  เป็นเสียงเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดูพูดคุยกับว่านหนิงเหมย นางเผยอริมฝีปากบ่นขมุบขมิบเพียงคนเดียว แน่ละ ถ้าใครรู้เข้าคงถูกกล่าวหาว่าเป็นมารปีศาจนะซี นางรอนางกำนัลและขันทีไปจากบริเวณนั้น จึงเดินไปล้างมือแล้วพูดออกมา   “พวกเจ้าเป็นพยาธิในท้องข้าหรือไร ถึงรู้ว่าข้าสนใจเรื่องใดอยู่”   ‘ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าเฝ้าคิดถึงคนผู้นั้นมากเพียงใด’  ‘ไม่ๆ ไม่มีใครรู้หรอกนอกจากนางผู้เดียว’  เสียงหัวเราะคิกคักทำเอาใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ เพราะไม่มีผู้อื่น นางจึงไม่ได้ใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งใบหน้าของตนเอง    “พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล” นางแสร้งทำเป็นดุแล้วเดินไปที่ต้นอวี้หลาน (แมกโนเลีย) ซึ่งตอนนี้กำลังผลิดอกเต็มต้น ฮองไทเฮาโปรดสีขาวของดอกอวี้หลานนัก ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นดอกไม้ที่โปรดปรานของฮองไทเฮามาก่อน นึกว่ามีแต่บุรุษที่หลายใจ สตรีก็เปลี่ยนใจง่ายเช่นกัน แต่บังเอิญคนผู้นั้นเป็นคนที่ใครก็ตำหนิมิได้ ‘ชอบก็บอกว่าชอบ ทำไมต้องโกหกให้ยุ่งยาก’ ‘เจ้าไม่รักษารอยแผลบนใบหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับผู้อื่นมิใช่รึ’   “คนผู้นั้นใช่คนธรรมดาที่ไหนกัน” ว่านหนิงเหมยยกมือขึ้นทาบลำต้นของต้นอวี้หลาน “ข้าพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่นี้”    “แต่เจ้าทำให้ข้าพอใจมากจริงๆ”    ว่านหนิงเหมยสะดุ้งหันขวับไปเห็นฮองไทเฮาเสด็จมาทางนางตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางแอบคาดโทษเหล่าพฤกษาที่ไม่มีผู้ใดเตือนนางเลยสักนิด หญิงสาวย่อคารวะแต่ฮองไทเฮาโบกมือห้ามไว้   “ฮองไทเฮา”      “อย่ามากพิธีเลย ข้าเองก็ชินแล้วที่มักได้ยินเจ้าพูดผู้เดียว”   “เพคะ” นางก้มหน้าซ่อนความอับอาย     “จะมีงานเลี้ยงตอนบ่าย เจ้ายังไม่เตรียมตัวอีกเรอะ”      “เอ่อ...หม่อมฉันต้องเตรียมตัวอะไรเพคะ” นางเงยหน้าถามอย่างงุนงง     “งานเลี้ยงของข้า เจ้าไปร่วมด้วยสิ”     “แต่ว่า... หม่อมฉัน...”  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD