‘หม่อมฉันเป็นแค่ลูกอนุ ไม่ถูกเรียกว่าเป็น ‘ท่านหญิง’ ด้วยซ้ำ’ หญิงสาวได้แต่พูดในใจ นางไม่มีตำแหน่งที่นั่งในงานเลี้ยงใด แค่ได้ติดตามลูกสาวคนโตของบิดาเข้าวัง นับว่าเป็นเรื่องที่ยากจะเกิดขึ้นกับนางแล้ว
“เจ้านี่ก็ยังไงนะ อยู่กับข้ามาตั้งสองปี มิรู้อีกรึว่าข้าไม่ชอบคนขัดใจ” ฮองไทเฮาหัวเราะน้อยๆ “เด็กๆ มาช่วยหนิงเหมยหน่อย”
ว่านหนิงเหมยสะดุ้งเฮือกแต่ไม่กล้าขัดพระทัย สองปีมานี้นางเห็นความเมตตาของฮองไทเฮาพอๆ กับความเด็ดขาดในการจัดการเรื่องในวังหลัง นางจึงยอมเดินตามนางกำนัลไปที่ห้องพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นางกำนัลนำมาให้
ถูกแล้ว เพราะฮองไทเฮาโปรดดอกไม้ต้นไม้และเปลี่ยนพระทัยอยู่บ่อยๆ แต่มิได้หมายความว่าจะทอดทิ้งต้นใดต้นหนึ่ง ดอกไม้บางชนิดที่ให้กลิ่นหอมยามค่ำคืน บางชนิดรุ่งสาง และบางชนิดก็เพียงปีละครั้ง บางครั้งบางคราวที่ฮองไทเฮานอนไม่หลับ ก็ทรงมาเดินเล่นในสวนสี่ฤดูนี้ เพราะไม่มีใครกล้าขัดพระทัย แม้กลางดึกนางก็ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฮองไทเฮา คอยกระซิบบอกให้เหล่าดอกไม้ส่งกลิ่นรวยรินให้ฮองไทเฮาอารมณ์ดี นางจึงมีห้องพักส่วนตัวในตำหนักของฮองไทเฮาเผื่อบางเวลาที่นางไม่ได้กลับบ้าน
ชุดใหม่ที่ถูกเตรียมให้นางเป็นอาภรณ์สีเขียวอ่อนดุจใบไม้แรกผลิ นางไม่ใช่ดอกไม้งดงามในสายตาฮองไทเฮา แต่เป็นใบไม้ที่แตกใบอ่อน เหล่านางกำนัลช่วยแต่งตัว จัดแต่งทรงผมประดับปิ่นมุกให้นาง แต่นางห้ามเรื่องผัดแป้ง
“ไม่เป็นไรหรอก แผลเป็นก็คือแผลเป็น”
ปกปิดไปก็เท่านั้น เช็ดแป้งออกก็ย่อมมองเห็น นางไม่รังเกียจแผลตัวเอง ผู้อื่นจะรังเกียจก็ช่างเถอะ นางใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์และไม่ได้เป็นท่านหญิง นางจึงหลบเลี่ยงอยู่ด้านหลัง ใจจดจ่อกับการปรากฏกายของชายที่ทุกคนหวาดกลัว
เจอกันครั้งแรกตอนนางอายุสิบสอง เขาคงจำนางไม่ได้แล้ว สำหรับนาง เขาคือผู้มีพระคุณ หากเขาไม่แบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อาจเป็นนางที่ถูกมองว่าเป็นมารปีศาจ เพราะรอยแผลนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกจับแต่งงานมาตลอด
เสียงหัวเราะพูดคุยหายไปทันที ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เพียงการปรากฏกายของบุรุษรูปร่างสูงสง่าผู้นั้น
องค์ชายเฟยเทียนหรืออดีตองค์รัชทายาท ก้าวเข้ามาในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ยิ่งดูน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำองอาจสมกับเป็นยอดนักรบ แม้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นตรงๆ จังหวะก้าวเดินอย่างมั่นคงทำให้ปลายผมสีแดงดุจปลายพู่กันจุ่มหมึกนั้นพลิ้วไหวน้อยๆ ทหารองครักษ์สองนายที่เดินตามมานั้น มีหน้ากากเหล็กสีดำปิดครึ่งหน้า กรุ่นไออำมหิตแผ่กระจายปกป้องผู้เป็นนายเหนือชีวิต นางกำนัลขวัญอ่อนบางคนถึงกับแข้งขาไร้เรี่ยวแรงเป็นลมล้มพับไป มีเพียงกุนซือผู้มีใบหน้างดงามผู้นั้นที่ช่วยลดทอนความน่ากลัวขององครักษ์ทั้งสองได้
เขาเป็นเช่นดวงตะวันและนางกลายเป็นดอกเซี่ยงรื่อขุย(ดอกทานตะวัน) ที่หันมองเขาจนสุดสายตา
หากลดอคติในใจ ฮ่องเต้คงมองชายเบื้องหน้าและเรียกว่าบุตรชายได้เต็มปาก ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เป็นวันของฮองไทเฮา พระองค์คงไม่เสด็จมาประทับเบื้องหน้าเช่นนี้
องค์ชายเฟยเทียนเห็นท่าทางหวาดกลัวที่มีต่อตนเองแล้วก็เผลอกระตุกยิ้มที่มุมปาก สิบปีที่ไม่ได้อยู่ในวังหลวง เขาไม่ได้สนใจมารยาทหรือธรรมเนียมใด แต่ใช่ว่าจะหลงลืม เมื่อมาอยู่เบื้องหน้าฮองไทเฮา ฮ่องเต้ ฮองเฮา จึงถวายพระพรไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ
“ดีจริงที่ปีนี้เจ้าอุตส่าห์มาได้” ฮองไทเฮาเอ่ยขึ้น
“ด้วยพระบารมี ชายแดนร่มเย็น กระหม่อมจึงมาเหยียบยืนในวังหลวงนี้ได้”
ถ้อยคำประชดประชันนั้น แม้ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ องค์ชายเฟยเทียนเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ พลันอยากแหงนหน้าหัวเราะ แต่ยังรักษามารยาทที่มีอันน้อยนิดไว้ เกรงว่าอีกฝ่ายจะกระอักโลหิตไปก่อน
“คราวนี้ก็อยู่นานๆ ให้ข้าหายคิดถึงเถิดนะ”
“หากเป็นพระประสงค์ของฮองไทเฮา กระหม่อมยินดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นความเดือดดาลในพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้แล้ว เขายิ่งอยากหัวเราะนัก แต่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วถอยไปนั่งในตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมไว้
ทำไมจะไม่รู้ จากสิ่งที่ทำไว้หรือแม้แต่การรวมแคว้นได้สำเร็จ ล้วนแต่กริ่งเกรงว่าเขาจะเป็นฝ่ายยึดครองอำนาจเสียเอง องค์ชายเฟยเทียนยกจอกสุราขึ้นดื่ม มองการแสดงของนางรำเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่หวังสิ่งใด เพียงแค่ต้องการส่งทหารภายใต้การบังคับบัญชาของเขาได้กลับบ้าน คนเหล่านั้นล้วนมีคนเฝ้ารอการกลับไป ผิดกับเขาที่...ที่ไม่เคยรู้สึกว่ามีที่ใดเป็นบ้านให้กลับ
เพราะชุดที่สวมเป็นเสื้อแขนกว้าง องค์ชายเฟยเทียนแสร้งยกข้อศอกเท้าโต๊ะให้แขนเสื้อร่วงลงมาเห็นหางมังกรสีแดงสดที่พันรอบแขนซ้าย เพียงเท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเขาอีก ผู้คนที่เข้ามาถวายพระพร ฮองไทเฮาต่างตัวสั่นงันงกกันแล้ว
ซิ่นเจี่ยงที่นั่งอยู่ด้านหลังเห็นทุกอย่างแล้วลอบถอนหายใจเหลือบมององครักษ์สองคนที่ยืนประจำอยู่ด้านหลัง ภายใต้หน้ากากเหล็กและท่าทางขึงขังเช่นนั้นคงลอบกลืนน้ำลายอยู่เป็นแน่ สองคนนั้นคลั่งขนมหวานขนาดไหน เขาผู้เป็นกุนซือติดตามองค์ชายเฟยเทียนมานานย่อมรู้ดี ตามจริงแล้วองครักษ์ฝาแฝดนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาน้อยกว่าเขาอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้ทั้งสองใส่หน้ากากที่แลดูดุดันเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ศัตรู เจิ้งหู่และเจิ้งไฉก็ทำตามที่สั่งไม่ได้สงสัยอะไร ทั้งสองมีรูปร่างสูงใหญ่ เก่งกาจด้านการต่อสู้ สมเป็นองครักษ์ขององค์ชายเฟยเทียน ทว่านิสัยทั้งสองกลับเหมือนเด็กนัก หากมีหญิงงามกับขนมหวานให้ต้องเลือก ทั้งสองสามารถเลือกขนมหวานได้โดยไม่สนใจปรายตามองหญิงงามแม้แต่น้อย
แต่จะว่าไป คนที่มีนิสัยเหมือนเด็กยิ่งกว่า คงไม่พ้นองค์ชายเฟยเทียน รู้ทั้งรู้ว่าผู้คนหวาดกลัวก็ยังทำให้ผู้อื่นยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก เช่นนี้จะมีหญิงสาวที่ไหนยอมแต่งงานกับคนผู้นี้กันเล่า
อยากรู้จริงๆ ว่าฮองไทเฮาหมายตาหญิงงามตระกูลใดมาเป็นพระชายาให้องค์ชายของเขา.
……….
ว่านหนิงเหมยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บรรดาขันทีและนางกำนัลช่วยกันขนย้ายต้นไม้รูปร่างแปลกตา แต่นางรู้ว่าพืชพรรณเหล่านี้เป็นต้นไม้ทะเลทราย องค์ชายเฟยเทียนหรือบัดนี้รับตำแหน่งชินอ๋องนำมาถวายฮองไทเฮา คราแรกที่ขันทีมาเรียกไว้ยังไม่ให้นางได้กลับบ้าน นางนึกว่าเป็นเพียงต้นไม้ขนาดเล็กน่ารัก แต่ไม่นึกว่าจะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ บางต้นสูงกว่าตัวนางเสียอีก
“นี่ยกมาทั้งทะเลทรายเลยหรือไร” หญิงสาวบ่นอุบอิบกับตนเอง “ต้นไม้พวกนี้ต้องการแดดจัด อย่างไรเอาไว้ด้านนอกก็แล้วกันนะ”
“ขอรับแม่นางว่าน” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยกับนาง
“รบกวนส่งคนไปแจ้งที่บ้านของข้าให้ด้วย คาดว่าข้าคงต้องดูแลเรื่องการขนย้ายให้เสร็จก่อน ต้นไม้เหล่านี้แรมรอนมานานนับเดือน อย่างไรรีบเอาลงจากเกวียนก่อนดีกว่า”
ขันทีผู้เดิมผงกศีรษะรับคำสั่ง หากไม่ใช่คำสั่งของฮองไทเฮาแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำตามที่นางร้องขอ เมื่อเห็นว่านางไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่ม จึงขอตัวไปทำตามที่ว่านหนิงเหมยต้องการ
เมื่อวานในงานเลี้ยง แม้นางอยู่ที่นั่นแต่ได้นั่งในตำแหน่งไกลๆ หากไม่ใช่เหล่าพฤกษาส่งเสียงกระซิบพูดคุย นางคงไม่รู้ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น องค์ชายเฟยเทียนไม่ได้ยินดียินร้ายกับตำแหน่งชินอ๋องที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ ตำแหน่งนี้ควรประทานให้องค์ชายเฟยเทียนนานแล้ว แม้มีความดีความชอบในการรวมแผ่นดิน ทว่าฮ่องเต้ยังทรงหวาดระแวงอดีตรัชทายาทผู้นี้ ควรมอบตำแหน่งผู้ปกครองแคว้นกันซู่ให้ด้วยซ้ำ องค์ชายเฟยเทียนเองกลับพอพระทัยกับการอยู่ตุนหวง ไม่สนใจเรื่องอื่น