ตอนที่5

1400 Words
“เหงี่ยมไปไหว้ท่านเทวดาก่อนหนาขอรับคุณพ่อคุณแม่” เจ้าเอื้อแสร้งพูดเสียงใสน่าเอ็นดู ก่อนจะเดินไปทางทิศกระท่อมปลายนาที่ตนเองถูกฆ่ากับนายก้อนทองบ่าวคนสนิท “พี่ก้อนทองรู้จักโรงชำเราบุรุษแถวคลองหัวตะเข้ไหมจ๊ะ” เจ้าเอื้อถามเป็นสำเนียงตนเองแค่ตอนที่อยู่ลำพังกับนายก้อนทองเท่านั้น “มีที่แบบนั้นด้วยหรือขอรับ กระผมคิดว่าเป็นข้อต้องห้าม” อ้ายก้อนทองผู้ไม่เคยไปไหนบอกไม่รู้ “พี่ไม่เคยได้ยินพวกบ่าวไพร่พูดกันบ้างหรือ?” “ไม่เคยขอรับ” “นั่นล่ะ เช่นนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง” เจ้าเอื้อชวนคุยระหว่างเดินทาง “คุณหลวง ฉันหมายถึง คุณพ่อน่ะ ท่านมีกิจการลับๆ อย่างหนึ่งคือเปิดโรงชำเราบุรุษ ที่ฉาบหน้าด้วยโรงน้ำชาในชื่อของคนจีน” อ้ายก้อนทองฟังเงียบๆ แบกห่อของเซ่นไหว้เดินตามไม่แสดงความเห็น “มีช็อกกะรีชายหญิงมากมายที่นั่น บ้างเป็นลูกทาส เป็นชาวต่างด้าวต่างเมืองที่มาแสวงโชค กระทั่งเด็กอายุ12…” เจ้าเอื้อนึกถึงสิ่งเหล่านั้นแล้วเศร้า “พี่ว่า…คุณพ่อทำผิดไหม?” “หากพูดในความเป็นไพร่ทาส นายทำสิ่งใดก็ถูกเสมอ หากพูดในความเป็นคน ผิดขอรับ” อ้ายก้อนทองพูดอย่างใจคิด โดยหาสนใจความผิดที่พูดถึงเจ้านายเยี่ยงนั้นไม่ เพราะหากให้โทษ อ้ายก้อนทองก็เต็มใจรับหวายแต่โดยดี “แล้วพี่ในตอนนี้เล่าจักเลือกสิ่งใด หากฝ่ายหนึ่งเป็นนายตน อีกฝ่ายเป็นช็อกกะรีกำลังถูกทำร้ายปางตายเพียงเพราะต้องการอิสระ” “อ้ายก้อนทองเลือกความถูกต้องขอรับ จักเข้าช่วยเหลือผู้ที่กำลังตกทุกข์ แม้นคนผู้นั้นจะเป็นโจรภัย” นั่นซี สิ่งที่ฝั่งลึกจนเป็นเนื้อแท้หรือจะมาเปลี่ยนได้ในขวบปีเดียว เจ้าเอื้อหันมายิ้มให้ “เช่นนี้แล พี่จึงเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดของฉัน” ชายทั้งสองหายลับตาไป เพราะที่ดินที่นาของเรือนคุณหลวงมีมากโขกินพื้นที่หลายร้อยไร่ “จักไปไหว้ที่ใดกัน ทุ่งนายิ่งงูเงี้ยวเขี้ยวขอในนายิ่งเยอะอยู่” คุณหญิงบ่นด้วยความเป็นห่วง พลางหยิบเครื่องเพชรเครื่องทองมากมายในหีบออกมาเช็ดขัด “ไม่เป็นกระไรดอกน่า มีอ้ายก้อนทองไปด้วย ฝีมือการรบมันก็ดีนัก นี่พี่ก็กะว่าจะเอามันไปใช้งานคุมคนในโรงชำเราอยู่เชียว” คุณหลวงบอก นั่งจิบชากินขนมชั้นสบายอารมณ์ “แล้วช็อกกะรีผู้นั้น… ฆ่าทิ้งจริงหรือเจ้าคะ” คุณหญิงลดเสียงถาม เรื่องโรงชำเราบุรุษเป็นกิจการที่เปิดแต่ลับๆ บ่าวไพร่ในเรือนไม่ได้ให้ล่วงรู้ เพราะบางครั้งบางที พวกลูกบ่าวลูกทาสที่หน้าตาเข้าเค้า ก็ถูกเอาไปใช้งานเป็นช็อกกะรีที่โรงชำเรา หากได้ลูกขึ้นมา เด็กทารกนั้นก็จะถูกส่งมาให้บ่าวไพร่ในเรือนเลี้ยงไว้ บ่อยเข้าก็มีข่าวลือว่าเรือนคุณหลวงช่างมีน้ำจิตน้ำใจดี รับเด็กไม่มีหัวนอนมาชุบเลี้ยงเอาบุญ ใครต่อใครจึงได้นำลูกหลานมาฝากฝัง ให้ได้มีอยู่มีกินแถมตนเองก็ได้อัฐกลับไปใช้สอยอีกด้วย “เออ เสียดายมันเหมือนกันช็อกกะรีที่เป็นชายมิใช่หาได้ง่ายๆ อันเรือนร่างบุรุษที่เป็นที่ถูกใจบุรุษด้วยกันก็เห็นจะมีแค่เพียงหยิบมือในพระนคร กว่าจักปลุกปั้นให้เก่งกาจเอาใจแขกอีก แต่ปากมันเก่งนัก ตายไปก็ได้สิ้นรำคาญ” “น่าจักเก็บไว้เอาไปให้ลงแขกก็ยังพอได้อัฐจากมันอยู่” ผู้เป็นเมียว่า “พี่ก็กะจะทำเยี่ยงนั้นในตอนแรก หากก็พลั้งมือตีจนเบ้าตามันแตก คาดว่าไม่รอด จึงฆ่าทิ้งเสีย” “เอาเถอะ วันนี้มีคนเอาลูกมาขายอีก รูปร่างหน้าตามันงามใช้ได้ เสี้ยมสอนอีกสักหน่อยคงเป็นช็อกกะรีฝีมือดีได้ไม่ยาก” “แล้วไอ้พวกบ่าวมันยังพูดถึงลูกๆ หลานๆ มันกันอีกไหม” “พวกมันคิดตามที่เราว่า มีพ่อค้ามาซื้อตัวไปเป็นเมียได้อยู่สุขสบาย พวกมันก็วางใจไม่คิดระแวดระแวงกระไรแล้วล่ะเจ้าค่ะ หากแต่พูดเพ้อถึงด้วยความคิดถึงเท่านั้น” “แม่ช่างบริหารการเรือนได้ดี ไม่มีสิ่งใดให้พี่ต้องกังวลเลย” “ทางนี้น้องจัดการเองเจ้าค่ะ ห่วงก็แต่ข่าวลือเรื่องโรงชำเราที่หลุดรอดออกไป เกรงจักถึงหูเจ้าพระยาหลวง” “หึ เรื่องเกิดจากอ้ายขุนนครบาลที่อยากเพิ่มอัฐค่าส่วยน่ะซี” “แล้วคุณพี่จักตัดสินใจเช่นไรเจ้าคะ ให้ตามที่ท่านขุนขอหรือไม่” “มันได้ขู่เข็ญทำเอาเรื่อยน่ะซี พี่ไม่ให้ดอก” “แต่แล้ว เรื่องท่านพี่แอบเปิดโรงชำเรา จักไม่แดงขึ้นมาหรือเจ้าคะ” “แถวนั้นถิ่นเรา พวกโปลิสที่เลี้ยงไว้ก็พวกเดียวกันทั้งนั้น ชาวบ้านหรือจักกล้าแส่ หากเรื่องแดงไปไกลถึงหูพระยา ก็ยังมีอ้ายหวังไฮ่เป็นผู้รับหน้าว่าเป็นเจ้าของ หรือหากหนักหนาจนโยงมาให้พี่ถูกสอบ แน่นอนว่าภัยย่อมถึงตัวอ้ายขุนด้วย มันไม่โง่กระทำการเช่นฆ่าตัวตายดอก แม่อย่าห่วงเลย” “เธออยากได้อัฐเพิ่ง คงจะดีหากรักษาน้ำใจกันไว้สักหน่อย” “อือ พี่ส่งคนไปเจรจาพร้อมของเล็กน้อยแล้ว หากมันยังมีหัวคิดย่อมมองทางเราออกว่าเป็นไม่ยอมอันขาด เช่นนั้นมันคงอ่อนข้อให้แบบไม่เสียศักดิ์” “ค่อยโล่งใจเจ้าค่ะ” คุณหญิงปิ่นยิ้มร่า “เอ้ย…พักนี้มีแต่เรื่องดีๆ หนาเจ้าคะ” หลุมฝังร่างเก่าของเจ้าเอื้อมองเห็นได้ไม่ยาก เนื่องจากดินทรุดลงเป็นแอ่งให้เห็น เจ้าเอื้อมองที่หลุมนั้นอยู่นานพลางน้ำตาไหล สงสารตนเองจับหัวใจ ใยโชคชะตาจึงโหดร้ายกับมันนัก แต่เอาเถอะ เช่นไรมันก็ได้โอกาสที่ไม่มีผู้ใดเคยได้มาก่อนนี้แล้ว ใช่แล้ว ความจริงข้าไม่ได้มาไหว้ศาลที่ไหนดอก เพียงเป็นอุบายมาดูที่เกิดเหตุให้เห็นกับตาเท่านั้น เจ้าเอื้อหันมองไปรอบๆ ไม่ห่างไปจากจุดนี้เป็นกระท่อมหลังเล็กแต่แน่นหนาแลปิดทึบ ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางทุ่งข้าวสีเขียวขจี ข้างๆ กันนั้นเป็นป่าที่ยังไม่ถูกถาง ส่วนตรงหน้ามันนี้เป็นต้นไทรสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาเย็น แม้นไม่ได้มีผ้าสามสีผูกอยู่ เจ้าเอื้อก็รับรู้ได้ว่ามีเทวดาอารักษ์สิงสู่อยู่ภายในเป็นแม่นมั่น เป็นท่านสิหนา ข้าเชื่ออยู่แล้วว่าต้องมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์บางอย่างช่วยข้าเอาไว้ ดีจริงที่นำเครื่องเซ่นสักการะมาด้วย แลบัดนี้ก็ได้เห็นแล้วว่ามีท่านเทพเทวา เห็นใจได้ยินเสียงของข้าจริงๆ “ตรงนี้แหละพี่ก้อนทอง” เจ้าเอื้อบอกพร้อมชี้ไปที่โค่นต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ หลุมศพเดียวดายของตนเองที่ไม่มีใครรู้ ร่างสูงกำยำจัดแจงปูผ้าขาวตั้งโต๊ะเตี้ยๆ ยกสูงจากพื้น วางของเครื่องไหว้ทั้งผลไม้นานาแลหมูเห็ดเป็ดไก่ต้มสุก พวงดอกไม้มาลัยจัดสวยงาม ธูปกำใหญ่ถูกจุดควันพวยพุ่ง เจ้าเอื้อในร่างคุณหนูเหงี่ยมนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเครื่องเซ่น ปิดตาลงตั้งจิตแน่วแน่ ข้าแต่ท่านเทพเทวดาอารักษ์ ลูกช้างซาบซึ้งพระคุณที่ท่านได้มอบชีวิตใหม่แก่ข้า จักขอจำจดจนตราบสิ้นชีวิตนี้ไปจนชั่วชีวิตหน้า ขอบูชาท่านเทพอารักษ์ด้วยหัวใจ ลูกช้างไม่มีสิ่งใดจะทดแทน มีเพียงเครื่องเซ่นต้อยต่ำเล็กน้อย ขอท่านเทพเทวาจงรับด้วยเถิด เจ้าเอื้อกล่าวคำถวายในใจจบ ก็จรดประนมมือท่วมหัว ก่อนจะปักกำธูปเป็นอันเสร็จพิธี ร่างเล็กหันมองอาวอนต่อร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ผืนดิน รอก่อนหนาตัวข้า จักเอาคืนมันให้สาสมใจเชียว “ไปกันเถอะพี่ก้อนทอง” “ขอรับกระผม”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD