บทที่ 5/4
หวังเหม่ยหลินมองคนเจ็บที่นอนตะแคงหันหลังให้ตนแล้วก็อดที่จะส่ายหน้าลอบอมยิ้มไม่ได้ เมื่อครู่เฉินจื่อรั่วบอกว่านายน้อยของเขาไม่ค่อยสบายตัว ให้มาแจ้งนางว่าขอเลื่อนการฝึกเดินออกปก่อน แต่สิ้นคำรายงานบ่าวคนสนิทของคนบนเตียงก็แอบกระซิบว่าเมื่อเช้าซ่งรุ่ยหยางแอบลุกขึ้นมาทำกายภาพบำบัดด้วยตนเองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างพึ่งจะเอนตัวลงนอนพักเมื่อครึ่งชั่วยามที่ผ่านมา
“จื่อรั่วบอกว่าท่านไม่สบาย ให้ข้าตามหมอดีหรือไม่”
“ข้าเพียงมีไข้เล็กน้อยเมื่อเช้าจื่อรั่วต้มยามาให้กินแล้ว ตอนนี้อยากนอนพักเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
หวังเหม่ยหลินยิ้มกว้างก่อนเดินไปนั่งที่ข้างเตียงจับไหล่หนาพลิกตัวคนบนเตียงให้หันมาสบตา ซ่งรุ่ยหยางไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกอีกฝ่ายจับพลิกตัว ดวงตาคมจึงส่งสายตาตำหนิไปให้นางในทันทีเพียงแต่ยามสบดวงตาหวานใบหน้าก็ร้อนผ่าวจนต้องเบนสายตาหนี
“เจ้า! ... ช่างไม่รู้จักสำรวม ไร้ยางอาย”
แม้ปากเอ่ยตำหนิ ทว่าสายตาคมกลับไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายโดยตรง มือหนาเร่งยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง เบนหน้าหลบสายตาหวานที่มองมายังเขาราวกับมารดามองบุตรชายที่แสร้งป่วย
หวังเหม่ยหลินถอนหายใจส่ายหน้าไปมาอีกครั้ง ก่อนวางหลังมือบนหน้าผากของเขา ซ่งรุ่ยหยางพลันสะดุ้งตัวเกร็ง รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่างหากแต่กลับคิดถ้อยคำที่จะเอ่ยต่อว่านางไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ เหตุใดเขาจึงโง่งมเช่นนี้
“อุณหภูมิร่างกายของท่านปกติ คุณชายท่านไม่ควรเอาเรื่องเจ็บป่วยมาล้อเล่นนะเจ้าคะ”
อุณหภูมิร่างกาย นางพูดจาไร้ความหมายอะไรอีกแล้ว แต่นั่นหาสำคัญไม่สิ่งสำคัญคือนางเป็นสตรีถูกเนื้อต้องตัวบุรุษเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“ขะ... ข้า...ไม่ได้โกหก!”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยเสียงในลำคอ เบนหน้าเข้าหากำแพงหลบสายตาจับผิดของอีกฝ่าย เหตุใดเขาจึงต้องหวั่นเกรงนางถึงเพียงนี้ เขาเป็นคุณชายสกุลซ่งจะเกรงกลัวสายตาสาวใช้ผู้หนึ่งได้อย่างไรกัน แม้จะบอกตนเองเช่นนั้นทว่าสุดท้ายเขาก็ยังคงไม่กล้าหันหน้าไปสบตานาง
“คุณชายท่านไม่อยากเดินได้แล้วหรือ”
“ข้า...ข้า... ข้าจะเดินได้จริงๆ หรือ”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยบอกเสียงแผ่วเบา หวังเหม่ยหลินยิ้มอ่อนโยนเอื้อมมือไปกุมมือหนา พร้อมกับส่งสายตาจริงใจมุ่งมั่นไปยังเขา
“คุณชายข้าเชื่อว่าท่านจะเดินได้”
หวังเหม่ยหลินเอ่ยบอกเสียงมั่นคง แน่นอนว่าประโยคนี้นางเอ่ยออกมาโดยอิงหลักการและความน่าจะเป็นทางการแพทย์ในยุคที่นางจากมา ก่อนหน้านี้นางยอมรับว่าไม่ค่อยมั่นใจในอาการของซ่งรุ่ยหยางด้วยปัจจัยในหลายๆ ด้าน ทว่าหลังจากเห็นแนวโน้มอาการที่ดีขึ้นของเขาแล้ว ยามนี้นางมั่นใจว่าในภายหน้าเขาจะต้องกลับมาเดินได้อย่างแน่นอน ขอเพียงอีกฝ่ายหมั่นฝึกฝนเท่านั้น
เพียงแต่เรื่องนี้จะสำเร็จได้นางต้องทำให้เขาเชื่อมั่นในตนเองเสียก่อน
“คุณชายในเมื่อข้าเชื่อในตัวท่าน ท่านก็ยิ่งควรเชื่อในตัวเอง”
“แล้วหากมันล้มเหลวเล่า หากข้า... ข้าเดินไม่ได้เล่า”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือแววตามีความหวาดหวั่นอย่างชัดเจน หวังเหม่ยหลินยิ้มกว้างกระชับมือหนาให้มากขึ้น ก่อนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น
“หากวันนี้ล้มเหลวพรุ่งนี้เราก็เริ่มใหม่ หากยังล้มเหลวอีกก็เริ่มใหม่อีกในวันต่อๆ ไป”
ซ่งรุ่ยหยางหันมาสบแววตามุ่งมั่นที่จดจ้องมายังตนแล้วในใจพลันสั่นสะท้าน
“คุณชาย... ไม่ว่าท่านจะล้มอีกสักกี่ครั้ง ข้าก็จะคอยดึงท่านให้ลุกขึ้นเอง ท่านเชื่อข้าหรือไม่”
“หากข้าล้มเหลวเจ้าจะไม่ทอดทิ้งข้าใช่หรือไม่”
“ไม่ทอดทิ้ง”
ไม่ทอดทิ้ง ยามได้ยินนางเอ่ยคำนี้ด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ในใจของซ่งรุ่ยหยางก็คล้ายมีพลังมากมายพุ่งเข้ามา ใบหน้าคมพลันพยักหน้ารับคำของนาง ในเมื่อนางเชื่อมั่นในตัวเขา เขาก็ควรพยายามให้มากขึ้น จะมายอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด
..........................................................................................
ซ่งรุ่ยหยางมองราวไม้ไผ่เบื้องหน้าอีกครั้ง แววตาคมพลันมีความลังเลขึ้นมาอีกรอบ หวังเหม่ยหลินสังเกตเห็นแววตาลังเลในดวงตาของเขาก็ไม่รอช้าส่งสัญญาณให้เฉินจื่อรั่วเร่งเข็นรถเข็นมาที่ราวไม้ไผ่ในทันที
“คุณชายท่านวางมือที่ราวไม้ไผ่ทั้งสองข้างนะเจ้าคะ”
ซ่งรุ่ยหยางค่อยๆ วางมือของตนบนราวไม้ไผ่ทั้งสองด้าน หวังเหม่ยหลินย่อตัวลงจับเท้าเปล่าของเขาวางลงบนพื้นหญ้า ความเย็นชื้นของพื้นดินส่งผ่านประสาทสัมผัสที่ฝ่าเท้าทำให้ซ่งรุ่ยหยางยิ้มกว้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดี
“เย็น! ข้ารู้สึกเย็น เท้าของข้ามีความรู้สึก”
“เช่นนั้นท่านเกร็งกำลังที่แขนทั้งสองข้างแล้วค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นยืนนะเจ้าคะ”
ซ่งรุ่ยหยางพยักหน้ารับสองมือกำราวไม้ไผ่แน่นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อที่แขนพยุงตนเองลุกขึ้น ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันแน่น ยามที่เขาเริ่มลุกขึ้นยืน น้ำหนักตัวก็ถ่ายเทลงสู่ฝ่าเท้า ขาทั้งสองก็พลันสั่นเทา
หวังเหม่ยหลินเห็นร่างกายของเขาเริ่มเกร็งไปทุกสัดส่วนก็ลุกขึ้นยืน สอดแขนเล็กเข้าใต้วงแขนแกร่งของเขาหวังช่วยประคอง เพียงแต่ซ่งรุ่ยหยางที่ไม่ทันตั้งตัวกับความใกล้ชิดกะทันหันนี้กลับตกใจจนหลงลืมว่าต้องเกร็งกล้ามเนื้อขาและแขนเอาไว้ เผลอปล่อยมือทิ้งตัวลงบนรถเข็น
“คุณชาย! /คุณหนู!”
เสียงเฉินจื่อรั่วและหูฉีเอ๋อร์อุทานโดยพร้อมกันยามที่เห็นว่าซ่งรุ่ยหยางทรุดตัวลงนั่งบนรถเข็น อีกทั้งยังมีคุณหนูสามทาบทับตามไปด้วยอีกคน ทว่าซ่งรุ่ยหยางกลับหูตาอื้ออึงร่างกายร้อนผ่าวเมื่อสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดคนตัวเล็กที่ถูกเขาดึงรั้งล้มลงมาพร้อมกัน
“คุณชายท่านเป็นอะไรหรือไม่”
น้ำเสียงตื่นตระหนกและแววตาที่ห่วงใยของนาง ทำให้ใจของซ่งรุ่ยหยางรู้สึกอบอุ่นอิ่มเอิม ยิ่งเห็นสายตานางมองสำรวจร่างกายของเขาเพื่อหาร่องรอยอาการบาดเจ็บในใจของเขาก็ยิ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข มือหนาจับมือบางที่สำรวจร่างกายของเขาเอาไว้ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ข้าไม่เป็นไร ขอโทษด้วย”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าคมมีรอยยิ้มบางๆ อีกทั้งยังเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนตอบกลับมาหวังเหม่ยหลินก็ถอนหายใจยาวคลายความกังวลก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น ทว่ายามตระหนักได้ว่าตนนั่งอยู่บนตักของเขาก็รีบขยับตัวถอยห่าง ใบหน้าเห่อร้อนมือไม้พลันเกะกะอย่างไม่รู้ตัว
“ขออภัยเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นเริ่มใหม่อีกครั้งดีหรือไม่”
หวังเหม่ยหลินพยักหน้ารับ ประคองซ่งรุ่ยหยางลุกขึ้นยืนเริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง มุมปากของคนเจ็บยกขึ้นสูงยามที่หูหลินเอ๋อร์ขยับตัวประชิดโอบกอดประคองเขาเอาไว้ ทว่าดูเหมือนนางจะไม่ได้สนใจความใกล้ชิดนี้เลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากบางยังเอ่ยบอกคำแนะนำให้เขาอย่างไม่ติดขัด จวบจนดวงตะวันคล้อยต่ำนางจึงค่อยๆ ประคองเขานั่งบนรถเข็นอีกครั้ง
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะเจ้าคะ”
“เจ้าบอกว่าจะให้ข้าฝึกเดิน แต่นี่ข้ายังไม่ได้เดินเลยสักก้าวเลย”
“ต้องฝึกยืนให้มั่นคงก่อนเจ้าค่ะ อีกอย่างยามนี้ใกล้เวลาดื่มยาแล้ว”
ซ่งรุ่ยหยางพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ดวงตาคมมองไปที่สตรีเบื้องหน้าแล้วอมยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนยามนี้หัวใจของเขาจะหวั่นไหวกับสาวใช้ตัวน้อยผู้นี้เสียแล้ว
..........................................................................................