บทที่ 5/3
“อีกสองวันจะมีงานเฉลิมฉลองศาลเจ้าแม่หนี่วา แม่นางหูเจ้าอยากไปเดินชมงานหรือไม่”
อวี้ซีเหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลท่วงท่าสุภาพ สายตาอบอุ่น หวังเหม่ยหลินมองบุรุษที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติตรงหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยน ก่อนหยุดเท้าแล้วก้มศีรษะเล็กน้อยให้อีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ
“น้ำใจนี้ของคุณชายหลินเอ๋อร์ขอรับไว้ด้วยใจ เพียงแต่ยามนี้คุณชายของข้าไม่สบายข้าไม่อาจสนใจผู้อื่นได้มากกว่าเขา ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“รุ่ยหยางหมั้นหมายกับคุณหนูสามสกุลหวังมาหลายปีแล้ว หลินเอ๋อร์เรื่องนี้เจ้าทราบหรือไม่”
“เรื่องของคุณชาย บ่าวอย่างข้าไม่สามารถก้าวก่าย”
“เช่นนั้นไย...”
“คุณชายซ่งไม่สบายต้องดื่มยาตรงเวลา ข้าไม่อาจไปส่งคุณชายอวี้ที่หน้าจวนเสียมารยาทแล้ว”
อวี้ซีเหวินมองตามสตรีตัวน้อยที่เดินจากไปแล้วยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินจากไป แน่นอนว่าการถอยครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขายอมแพ้ แต่เรื่องเช่นนี้ไม่อาจรีบร้อน ชั่วชีวิตเกือบสามสิบปีของเขานางเป็นคนแรกที่เขาสนใจ เขาย่อมไม่คิดปล่อยนางไปโดยง่ายอย่างแน่นอน
..........................................................................................
หวังเหม่ยหลินเดินไปยังห้องต้มยา หูฉีเอ๋อร์ที่กำลังยกหม้อยาลงจากเตารินยาใส่ถ้วยแล้วส่งให้ผู้เป็นนายด้วยสายตารู้สึกผิด คุณหนูของนางเป็นถึงบุตรสาวฮูหยินใหญ่ ฐานะของนางเรียกได้ว่าสูงส่งไม่น้อยหน้าคุณชายซ่ง ทว่ายามนี้กลับต้องลดตัวมาเป็นสาวใช้ผู้อื่นทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของบ่วเช่นตน
“คุณหนูให้บ่าวยกไปดีหรือไม่เจ้าคะ”
“คุณชายซ่งอารมณ์ไม่ดีนัก เจ้าเองก็อย่าพึ่งเข้าไป”
ใบหน้าของหูฉีเอ๋อร์พลันซีดเซียว ยามที่คุณชายซ่งอารมณ์ไม่คงที่ ผู้คนล้วนพยายามหลีกหนีด้วยความหวาดกลัว คงมีเพียงคุณหนูของนางที่จิตใจอันสงบ ให้ใบหน้าของคุณชายซ่งอาบไปด้วยโทสะมากเพียงใด คุณหนูของนางก็ยังคงยิ้มหวานได้อย่างมั่นคง
หวังเหม่ยหลินเดินเข้าไปในเรือน สายตาหวานมองไปยังคนเจ็บที่นั่งนิ่งบนเตียง ยามที่เห็นนางเดินเข้ามาก็ตวัดสายตาขุ่นเคืองจดจ้องราวกับจะสังหารคน ดูแล้วคุณชายอวี้ผู้นั้นคงทำบางสิ่งที่ไปกระตุ้นนิสัยขี้โมโหของเขาให้กลับมาอีกครั้ง
“ซีเหวินออกจากจวนไปแล้วสินะ”
“ข้ากับคุณชายอวี้แยกกันที่หน้าเรือน ยามนี้เขาจะออกจากจวนไปแล้วหรือยังข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าคนตรงหน้าไม่ได้เดินไปส่งสหายของตนอย่างที่ตนคิด โทสะในใจของซ่งรุ่ยหยางก็หายไปราวสายลมที่พัดผ่าน มุมปากพลันยกขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามกดลง แล้วเอ่ยเสียงเข้ม
“เสียมารยาท เหตุใดไม่รู้จักส่งแขกให้ถึงหน้าจวน”
“เช่นนั้นหากมีคนมาเยี่ยมคุณชายอีก ข้าจะให้จื่อรั่วไปส่งถึงหน้าจวนเช่นนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ทำไมเจ้าไม่ไปส่งเขาเอง”
“หน้าที่ของข้าคือดูแลท่าน ยามนี้ได้เวลาดื่มยาของท่านแล้วข้าไม่อาจละเลยไปสนใจผู้อื่น”
เมื่อได้ยินว่านางสนใจเขาเหนือผู้อื่น ในใจของซ่งรุ่ยหยางก็พลันสั่นระรัว ความรู้สึกยินดีอย่างไร้เหตุผลแล่นไปทั่วทั้งกายจนไม่อาจบังคับให้มุมปากเหยียดตรงได้อีก
“เช่นนั้นก็ส่งยามา”
เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของคนเจ็บอ่อนลงอีกทั้งมุมปากยังกระตุกคล้ายจะยกขึ้นบ่อยครั้ง หวังเหม่ยหลินก็ลอบอมยิ้มส่ายหน้าไปมา บุรุษผู้นี้แท้จริงอายุใกล้สามสิบหรือใกล้สามขวบกันแน่
..........................................................................................
ซ่งรุ่ยหยางมองไปยังราวไม้ไผ่เบื้องหน้า ดวงตาคมดุดันเปล่งประกายยินดี ก่อนจะหันมายังสตรีที่เกือบสามเดือนนี้มาคอยดูแลเขาไม่ห่างแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ข้าจะเดินได้จริงๆ หรือ”
หวังเหม่ยหลินย่อตัวลงนั่ง ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มกว้าง มือบางนุ่มเอื้อมมากุมมือหนาของเขาใช้สัมผัสทางกายสร้างความเชื่อมั่นให้เขา
“ข้าเชื่อใจท่าน ท่านต้องทำได้แน่นอน”
ซ่งรุ่ยหยางเคลื่อนสายตามองที่ขาทั้งสองข้างของตน เกือบครึ่งปีมาแล้วที่เขาไม่เคยลุกขึ้นยืนได้เลย ดังนั้นเขายอมรับว่ายามนี้เขาหวาดกลัวยิ่งนัก หากวันนี้เขาเดินไม่ได้เล่า นั่นหมายความว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะเดินไม่ได้อีกเลยใช่หรือไม่
หวังเหม่ยหลินสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทาน้อยๆ ของเขา มือบางกระชับมือหนาที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อแน่นมากขึ้น ส่งสายตามุ่งมั่นเปี่ยมพลังไปยังซ่งรุ่ยหยาง
“คุณชาย...”
“หลินเอ๋อร์ข้า... ข้ายังไม่พร้อม เอาไว้พรุ่งนี้เถิด”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยจบก็ดึงมือหนาของตนออกจากมือบางก่อนจะบังคับรถเข็นของตนกลับเข้าเรือน
“คุณชาย...”
หวังเหม่ยหลินเอ่ยได้เพียงคำเดียวก็กลืนถ้อยคำที่เหลือลงท้อง สายตาห่วงใยมองแผ่นหลังกว้างบนรถเข็นที่กำลังเคลื่อนที่จากไป เฉินจื่อรั่วรีบวิ่งตามนายน้อยของตนพร้อมกับช่วยเข็นรถเข็นให้อีกฝ่าย หูฉีเอ๋อร์เดินมาประคองคุณหนูของตนลุกขึ้น มองไปยังคนเอาแต่ใจที่ยามนี้ปิดประตูเรือนไปแล้วด้วยความหงุดหงิดใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยน้ำเสียงขุ่นเคืองออกมา
"คุณชายซ่งเอาแต่ใจตนเองมากไปแล้ว คุณหนูบ่าวว่า..."
"ไม่เป็นไร เรื่องเช่นนี้ต้องใช้เวลา"
หวังเหม่ยหลินวางมือบนหลังมือของหูฉีเอ๋อร์เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมยิ้มกว้าง ความหงุดหงิดที่บ่าวคนสนิทแสดงออกมานี้ล้วนเกิดจากความห่วงใยที่มีให้ตน ดวงตาหวานมองไปที่ประตูเรือนที่เปิดออกหากแต่ผู้ที่เดินออกมากลับเป็นเฉินจื่อรั่วมิใช่ผู้เป็นเจ้าของเรือน
“คุณชายบอกว่าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายอยากพักผ่อนขอรับ คุณหนูท่านกลับจวนไปก่อนเถิด”
หวังเหม่ยหลินพยักหน้ารับคำของเฉินจื่อรัว เมื่อครู่นางเห็นสายตาลังเลและหวาดกลัวของเขา ซ่งรุ่ยหยางเขากำลังหวาดกลัวความผิดพลาด แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ต้องใช้เวลาแต่ก็ไม่ควรนานนักเพราะหากนางไม่สามารถดึงเขาออกจากความหวาดกลัวนี้ ต่อไปแม้แต่สัมผัสพื้นเขาก็คงไม่กล้าวางเท้าลง
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”
ซ่งรุ่ยหยางมองสตรีสองนางเดินออกไปจากเขตเรือน ในใจของเขาพลันสั่นสะท้านหวาดกลัว ใช่! เขากำลังหวาดกลัว เป็นความรู้สึกที่ทั้งชีวิตเขาไม่เคยประสบพบเจอ แม้แต่ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูนับร้อยนับพลันเขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกหวาดกลัวที่รุนแรงถึงเพียงนี้ แต่เพียงนึกถึงสายตาเชื่อมั่นและคำพูดที่บอกว่า "ข้าเชื่อใจท่าน" ของหูหลินเอ๋อร์ ในใจของเขาก็รู้สึกหวาดกลัวความผิดพลาดจนไม่อาจควบคุมตนเอง
หากวันนี้ข้าเดินไม่ได้ หากข้าทำให้ความเชื่อใจที่นางมีให้พังทลายลงไป ความห่วงใยและเชื่อมั่นในแววตาของนางจะหายไปหรือไม่
..........................................................................................