บทที่ 5/2
แค่กๆ
เสียงไอบ่อยครั้งของคนบนรถเข็นทำให้หวังเหม่ยหลินขมวดคิ้วเล็ก ตวัดสายตามองซ่งรุ่ยหยางที่นางพึ่งรู้ว่าเมื่อวานเขาอาบน้ำเย็นด้วยสายตาขุ่นเคือง
“หมอบอกข้าเพียงเป็นไข้หวัดเท่านั้น”
“จื่อรั่ว บอกข้าว่าเมื่อวานท่านอาบน้ำเย็น”
ซ่งรุ่ยหยางตวัดสายตาดุไปยังบ่าวปากมากที่ยามนี้หลบอยู่ด้านหลังเฉินจื่อรั่ว หวังเหม่ยหลินเห็นคนป่วยส่งสายตาตำหนิคนฟ้องก็ตวัดสายตาตำหนิกลับไปให้เขาอีกคำรบ ซ่งรุ่ยหยางพลันดึงสายตาของตนกลับ แล้วแสร้งไออีกชุดใหญ่
“ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วเหตุใดคุณชายยังอาบน้ำเย็นกันเจ้าคะ”
“อาบน้ำร้อนวุ่นวาย ข้าไม่อยากให้บ่าวลำบาก”
ไม่ใช่เสียหน่อย ความจริงแล้วคุณชาย ท่านกลัวถูกคุณหนูสามจะรังเกียจที่เนื้อตัวท่านสกปรกจนไม่ยอมเข้าใกล้ เมื่อวานจึงเร่งอาบน้ำก่อนที่นางจะมาต่างหาก
“ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ”
หวังเหม่ยหลินเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ซ่งรุ่ยหยางพลันรู้สึกว่าฝ่ามือของตนอยู่ดีๆ ก็เปียกชื้น ยามเหลือบมองเห็นดวงตาที่อ่อนโยนเป็นนิจจดจ้องตนไม่วางตาก็รู้สึกวางตัวไม่ถูกขึ้นมา
“ข้ารู้แล้ว”
เมื่อเห็นคนดื้อดึงยอมเชื่อฟังหวังเหม่ยหลินก็คลายความกังวลลงส่วนหนึ่ง ทว่ายามเห็นเขาสอดเท้าเข้าในแท่นวางเท้าขาถีบก็เบิกตากว้างเดินไปนั่งบนเตียงดึงเท้าเขาออกแล้วยกเครื่องออกกำลังกายทุกชิ้นส่งให้หูฉีเอ๋อร์
“จื่อรั่ว ยามที่คุณชายไม่สบายให้งดการทำกายภาพบำบัดไปก่อน”
“ขอรับ”
“แต่เจ้าบอกว่าข้าต้องทำกายภาพบำบัดทุกวันจึงจะเดินได้ไม่ใช่หรือ”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยน้ำเสียงร้อนรน หวังเหม่ยหลินหันมาสบตาคนป่วย ดูเหมือนสาเหตุที่อาการของเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็วนี้คงเพราะความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมของเขา
“ยามนี้คุณชายไม่สบายต้องพักผ่อนให้มากเจ้าค่ะ”
“แต่...”
“หากหายดีแล้วข้าจะพาหัดเดิน”
หัดเดิน... ในที่สุดนางก็ยอมให้เขาฝึกเดินแล้ว ซ่งรุ่ยหยางฉีกยิ้มกว้าง หวังเหม่ยหลินมองรอยยิ้ม และดวงตาที่เปล่งประกายของเขาแล้วในใจพลันอิ่มเอมเปี่ยมสุข ในอดีตทุกครั้งที่นางออกหน่วยเยี่ยมบ้านผู้ป่วย หลังจากให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยจนพวกเขาอาการดีขึ้น นางก็มักจะได้รับรอยยิ้มและแววตาเช่นนี้เสมอ เพียงแต่ครั้งนี้นางกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างงดงาม และใจของนางมีความสุขมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“ข้าจะเดินได้จริงๆ ใช่ไหม”
“ท่านไม่เชื่อข้าหรือ”
หวังเหม่ยหลินเอ่ยถามโดยไม่ทันคิดไตร่ตรอง ทว่ายามเอ่ยออกไปแล้วในใจของนางกลับรู้สึกแปลกประหลาด หัวใจเต้นเร็วจนนางหวาดกลัวว่าเขาจะรับรู้ ยิ่งเห็นซ่งรุ่ยหยางนิ่งเงียบไปในใจของนางก็หวาดหวั่นจนไม่อาจสบตาคม
“ข้าจะไปต้มยาให้ท่าน”
หวังเหม่ยหลินเอ่ยเสียงไม่มั่นคงนัก เหตุใดหัวใจของนางจึงสั่นระรัวเช่นนี้หรื อร่างกายของหวังเหม่ยหลินนี้จะมีโรคเดิมเป็นโรคหัวใจด้วย
ซ่งรุ่ยหยางเบิกตากว้างยามที่เห็นว่าหูหลินเอ๋อร์เร่งลุกลงจากเตียง เขารีบเอื้อมมือไปจับมือบางเอาไว้พร้อมกับเอ่ยเสียงมั่นคง
“ข้าเชื่อเจ้า”
เท้าของหวังเหม่ยหลินพลันหยุดชะงัก ก่อนที่นางจะหมุนตัวมาสบตาคมที่หนักแน่นจริงจังของคนป่วย มือหนากระชับมือของนางแน่นขึ้นส่งผ่านความมั่นคงย้ำเตือนในถ้อยคำ
“ข้าเชื่อใจเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีวันหลอกลวงข้า”
หลอกลวง คำๆ นี้ของเขาทำให้หวังเหม่ยหลินรู้สึกคล้ายถูกหินก้อนใหญ่ทุ่มเข้ามากลางอก ความรู้สึกผิดแล่นไปทั่วร่าง ดวงตาหวานพลันแสบร้อน ความจริงแล้วยามนี้อาการของซ่งรุ่ยหยางดีขึ้นมาก อารมณ์ของเขาก็ไม่แปรปรวนขี้โมโหเหมือนเมื่อก่อนอีก เช่นนั้นเวลานี้นับว่าเหมาะสมที่นางจะบอกสถานะที่แท้จริงของตน
“คุณชาย…จริงๆ แล้วข้าคือ...”
“คุณชาย คุณชายอวี้มาเยี่ยมขอรับ”
คุณชายอวี้ อวี้ซีเหวินรองเจ้ากรมพิธีการ บุตรชายเพียงคนเดียวของอดีตเจ้ากรมการคลัง ซ่งรุ่ยหยางขมวดคิ้วเข้มนึกถึงช่วงเวลาในตอนที่เขายังเยาว์วัย องค์ฮ่องเต้เรียกเขากลับมาจากชายแดนและให้เขาเป็นสหายร่วมเรียนกับองค์รัชทายาท อวี้ซีเหวินผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในสหายร่วมเรียนเช่นกัน เพียงแต่แม้จะกล่าวว่าเป็นสหายร่วมเรียนเช่นกันแต่เขากับอวี้ซีเหวินก็มิได้สนิทกันมากนัก ยามที่ข่าวว่าเขาบาดเจ็บกระจายออกไปอีกฝ่ายแสดงน้ำใจส่งรถเข็นมาให้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว วันนี้จะมาอีกทำไมกัน
ยามที่ได้ยินว่าซ่งรุ่ยหยางมีแขกมาขอพบ หวังเหม่ยหลินก็ดึงมือตนเองออกจากมือหนา ดวงตาคมพลันตวัดมองมือของตนแล้วขมวดคิ้วเข้มแน่นกว่าเดิม ก่อนกำมือที่ว่างเปล่าแล้วดึงกลับมาไว้ที่ข้างกายเช่นเดิม
“รั่วหยาง!”
หวังเหม่ยหลินขมวดคิ้วเล็กมองคนที่เดินเข้าเรือนมาด้วยความสงสัย บุรุษผู้นี้เหตุใดจึงคุ้นหน้ายิ่งนัก
อวี้ซีเหวินทักทายสหายเพียงคำเดียวดวงตาอบอุ่นก็หันมามองสาวใช้ของสหาย นางอยู่ที่นี่จริงๆ ยามที่เลื่อนสายตาไปยังมุมห้องของสหาย เขายังเห็นขาถีบตั้งอยู่ ที่แท้ของชิ้นนี้นางทำมาให้สหายของเขานั่นเอง ช่างเป็นสาวใช้มากปัญญาและมีใจภักดียิ่งนัก
“แม่นางหู พบกันอีกแล้วบังเอิญยิ่งนัก”
พบกันอีกแล้ว สองคนนี้เคยพบกันมาก่อนอย่างนั้นหรือ พบได้อย่างไร พบที่ไหน ซ่งรุ่ยหยางขมวดคิ้วเข้มมองสหายของตนด้วยสายตาขุ่นเคืองราวกับเห็นแม่ทัพของศัตรู ทว่าอวี้ซีเหวินที่สนใจเพียงสตรีที่ตนต้องใจตั้งแต่แรกพบกลับไม่ได้ใส่ใจสายตาของสหายแม้เพียงนิด
“ซีเหวิน สรุปว่าวันนี้เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด”
อวี้ซีเหวินละสายตาจากสาวใช้ตัวน้อย แล้วหันกลับมาใส่ใจสหายที่นอนบนเตียง
“แน่นอนวาข้าย่อมมาเยี่ยมเจ้า รุ่ยหยาง อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปเยี่ยมราษฎรทางใต้ตามพระราชโองการได้แวะมาเยี่ยมสหายผู้นี้ ในตอนนั้นซ่งรุ่ยหยางสีหน้าหม่นหมองร่างกายซูบเซียวอีกทั้งอารมณ์ยังแปรปรวน ไม่คิดว่าผ่านไปเพียงสองเดือนสหายของเขาก็กลับมาร่างกายกำยำอีกครั้ง
“ก็ดี”
“คงเพราะแม่นางหูใช่หรือไม่”
อวี้ซีเหวินเอ่ยปากกับสหายแต่สายตากลับจดจ้องไปยังหวังเหม่ยหลินด้วยสายตาชื่นชม ซ่งรุ่ยหยางกำมือเข้าหากันแน่น ที่แท้อวี้ซีเหวินใช้เขาเป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้เข้าใกล้หลินเอ๋อร์ของเขาใช่หรือไม่
“ข้าอยากพักผ่อน เจ้ากลับไปได้แล้ว”
ซ่งรุ่ยหยางกล่าวจบก็ค่อยๆ เอนตัวลงนอน อวี้ซีเหวินพลันฉีกยิ้มกว้างหันมามองสาวใช้ข้างกายสหายอีกครั้ง
“อ่อ... ได้ๆ ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่สบายเช่นนั้นก็พักให้มากๆ เถิด แม่นางหูเราก็ออกไปข้างนอกด้วยกันดีหรือไม่จะได้ไม่รบกวนเขา”
ออกไปข้างนอกด้วยกัน อวี้ซีเหวินกล้าดีอย่างไรมาเอ่ยเช่นนี้กับคนของเขา
“เจ้าค่ะ”
เจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์นางจะออกไปกับคนแซ่อวี้นั่นจริงๆ อย่างนั้นหรือ
ซ่งรุ่ยหยางขบกรามแน่นมองสตรีน่าตายเดินเคียงข้างสหายเขาออกไปจากเรือน มือหนากำเข้าหากันแน่นร่างกายเกร็งสั่นไปทั้งตัว ยามที่สายตามองกลับมาที่ขาทั้งสองข้างในใจก็อาบไปด้วยโทสะสูงล้น เป็นบุตรชายคนเดียวของสกุลซ่งแล้วอย่างไร เป็นกุนซือแห่งกองทัพแล้วอย่างไร สุดท้ายเขาก็แค่บุรุษพิการผู้หนึ่งเท่านั้น
..........................................................................................