ทางด้านเหมันต์ ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่อยากข้องแวะกับแก้วกานดาแล้ว แต่เมื่อเห็นน้ำตาของอดีตคนรัก เขาก็อดที่จะยอมใจอ่อนไม่ได้ แต่ทว่าที่นั่นอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ ซึ่งในทางกลับกันเหมันต์กำลังคิดว่า แก้วกานดาผ่านร้อนผ่านหนาวอยู่ในเรือนจำมาตั้งหลายปี เธอคงรู้วิธีการเอาตัวรอดได้
“เก็บนามบัตรนี้ไว้ ถ้าหากคุณอยากได้งานทำ แต่ผมไม่รับประกันว่าที่นั่นจะเหมาะกับคุณหรือเปล่า ถ้าคิดว่าทำได้ก็บอกกับเขาว่าผมแนะนำมา ครูซคือเพื่อนของผมเอง ขอตัวนะแก้วกานดา หวังว่าเราคงไม่เจอกันอีก”
ช่างเป็นคำบอกลาที่น่าประทับใจเหลือเกิน แก้วกานดาหยิบนามบัตรขึ้นมาดูด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ก่อนที่แววตาของเธอจะมีความกังวลแทรกเข้ามาแทน ราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังถาโถมโหมซัดสาดเข้ามาสู่ภายในจิตใจของเธอ
เมื่อสถานที่ในนามบัตร มันคือผับซึ่งเธอไม่คุ้นเคย ที่สำคัญชีวิตนี้แก้วกานดาแทบจะไม่ได้ย่างก้าว เข้าไปสัมผัสในบรรยากาศแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ สิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภัยรอบกาย แต่มันคือทางเลือกสุดท้ายสำหรับหญิงสาว ที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกครั้งแล้วครั้งเล่า
“นายครับ คุณครูซโทรมาบอกว่าคุณท่านหายตัวไป” มาลิคกดรับโทรศัพท์ หลังจากที่ครูซต่อสายหาเขา เพราะสองพี่น้องไม่ค่อยลงรอยกัน ก่อนที่ลูกน้องคนสนิทจะรีบรายงานลูคัส เรื่องที่คุณนายเรไรหายไป
“ฮ่ะ! ไอ้ครูซ ไอ้บ้าเอ๊ย!” นายแพทย์หนุ่มถึงกับสบถขบกรามแน่น เมื่อครูซคอยสร้างแต่ปัญหาให้กับเขาได้แทบทุกวี่ทุกวัน ซึ่งชายหนุ่มเป็นลูกพี่ลูกน้องที่นายแพทย์อย่างลูคัส ไม่สามารถพึ่งพาอะไรได้สักอย่าง นอกจากกินกับเที่ยวและก็ใช้เงินเก่ง
ครูซไม่สนใจงานที่โรงแรมและบริษัท ยิ่งโรงพยาบาลเขาไม่ก้าวเท้าเข้าไปเหยียบเลยด้วยซ้ำ นอกจากผับที่เขาชอบเป็นชีวิตจิตใจ จึงทำให้ครูซขยันเข้าไปดูแล ถึงแม้ว่าหุ้นส่วนอย่างเหมันต์จะไม่ค่อยมีเวลาไปช่วยก็ตามที เขาก็สามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี
รถยนต์คันหรูขับพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง โดยมีมาลิคเป็นคนขับ ก่อนที่เขาจะลดความเร็วลง เพราะการจราจรไม่อำนวย ลูคัสไม่คิดว่าครูซจะพาคุณยายออกมาข้างนอก ทั้งที่รู้ว่าหญิงสูงวัยอย่างคุณนายเรไรเริ่มเลอะเลือน เพราะอายุที่มากขึ้นเข้าสู่วัยชราอัลไซเมอร์จึงมาเยือน ทำให้นางนั้นหลงๆ ลืมๆ
จนบางครั้งนางเคยคิดว่าเขาเป็นไลอ้อนลูกชายคนโต ซึ่งเป็นบิดาของครูซ มีศักดิ์เป็นลุงของเขา แต่ทว่าไลอ้อนกับภรรยาได้เสียชีวิตตั้งแต่ครูซยังเล็กอยู่เลย
“ไอ้ครูซมันพาคุณยายไปทำอะไรที่ตลาดสด” นายแพทย์หนุ่มสบถออกมาอย่างหัวเสีย เพราะครูซมักจะทำอะไรอย่างที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อนเสมอ โดยเฉพาะการสร้างปัญหาให้เขาต้องตามแก้ไข
“ผมว่าเราน่าจะหาพยาบาลมาดูแลคุณท่านอย่างใกล้ชิด เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากคุณท่านเกิดจำอะไรขึ้นมาไม่ได้อีก” มาลิคเสนอไอเดียขึ้นมา เพราะเขาเองก็เป็นห่วงคุณนายเรไรประหนึ่งญาติผู้ใหญ่ พอๆ กับลูคัส
“เรื่องนั้นฉันคิดเอาไว้แล้ว พรุ่งนี้ตั้งใจที่จะให้คุณชลิตา พยาบาลพิเศษที่จ้างเอาไว้ มาดูแลคุณยายอย่างใกล้ชิดสักที” มาลิครับฟังถ้อยคำที่เจ้านายเอ่ยมา ขณะที่ภายในใจของเขาฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ซึ่งนายแพทย์ลูคัสต้องชอบใจอย่างแน่นอน
“นายอยากแก้แค้นคุณแก้วกานดาไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมไม่จ้างเธอมาดูแลคุณท่าน”
“จะบ้ารึไง! หล่อนคงดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้งานทำ ที่สำคัญฉันไม่อยากอยู่ร่วมชายคากับผู้หญิงร้ายกาจอย่างเธอ” ลูคัสยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะเห็นแก้วกานดาได้รับทุกข์ทั้งกายและใจไปตลอดชีวิตของเธอ
//ตลาด//
ทางด้านกนก วันนี้นางได้ออกมาขายขนมไทยเฉกเช่นทุกวัน ก่อนจะเก็บร้านเตรียมตัวกลับบ้าน เพราะเหลือขนมแค่ไม่กี่อย่าง เธอจะเก็บเอาไว้ให้ลูกสาวทั้งสองรับประทานในตอนเย็น ซึ่งบ้านก็ไม่ได้ไกลจากตลาดมากนัก เดินไปกลับได้สบาย
เมื่อเดินออกมาจากตลาด นางถึงกับแปลกใจที่เห็นหญิงสูงวัยเดินตามหลังมา ซึ่งกนกแอบสงสัยว่าคุณยายจะไปไหน เพราะเห็นเดินตามมาตั้งแต่ปากซอยแล้ว ราวกับว่านางกำลังหลงทาง จวบจนกระทั่งกนกจะเข้าบ้าน
“คุณยายมาทำอะไรแถวนี้คะ บ้านอยู่ไหน นี่ก็ใกล้มืดค่ำแล้วลูกหลานเป็นห่วงแย่เลย ให้ดิฉันเดินไปส่งไหมคะ”
“ฉันเหนื่อยขอเข้าไปพักข้างในได้ไหม ฉันเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว” คุณนายเรไรยืนหายใจหอบถี่ บ่งบอกถึงสภาพร่างกายของคนสูงวัย เพราะเหงื่อที่ผุดพรายอยู่บนใบหน้า ทำให้กนกรู้ว่าคุณยายคงเดินมาเกือบชั่วโมงแล้ว
“อ้อ... ได้สิจ๊ะ เชิญค่ะคุณยาย พักให้หายเหนื่อยก่อน เดี๋ยวดิฉันจะให้ลูกสาวไปส่งที่บ้าน ท่าทางคุณยายเหนื่อยๆ” กนกเดินเข้ามาประคองคุณนายเรไรเข้าไปในบ้านหลังเล็กของเธอ ซึ่งมีอาณาเขตรั้วรอบขอบชิด ตามสภาพของฐานะทางการเงิน แต่ความอบอุ่นนั้นมีมากว่าสิ่งอื่นใด เพราะทุกคนต่างก็รักและเข้าอกเข้าใจกัน
สนามเล็กๆ หน้าบ้าน เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ซึ่งพอทำให้บ้านน่าอยู่มากขึ้น เพราะบรรยากาศสดชื่นจากการดูแลของทุกคนในบ้าน “แม่พาใครเข้าบ้านน่ะ ยายที่ไหนเหรอคะ”
กิ่งฉัตรลุกเดินออกมาจากโซฟาตัวยาว ก่อนที่เธอจะเข้ามาช่วยมารดาประคองคุณนายเรไรให้นั่งลงแทนที่ของตัวเอง
“ฉันหลงทาง ยังหาทางกลับบ้านไม่เจอ”
“ฮ่ะ! แบบนี้เราไปแจ้งความกันดีไหมคะแม่”
“ไม่นะ! จะแจ้งความทำไม ฉันไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย” หญิงสูงวัยรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที ถึงนางจะความจำไม่ค่อยดี แต่ก็พอจะนึกถึงที่ตั้งของคฤหาสน์หรูหลังใหญ่ได้อยู่บ้าง
“อย่าเพิ่งถามอะไรคุณยายได้ไหม ไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้คุณยายดื่มก่อน” กนกเอ็ดลูกสาวออกไป เมื่อเห็นว่ากิ่งฉัตรพูดไปเรื่อย ถามโน่นนี่นั่นราวกับหญิงสูงวัยเป็นผู้ต้องหา เพราะดูจากการแต่งตังของแขกที่ไม่ได้รับเชิญแล้วนั้น นางคงไม่ใช่คนแก่ไร้บ้าน
“น้ำเย็นๆ ค่ะคุณยาย”
“ขอบใจนะ บ้านหลังเล็กแต่ดูสะอาดสะอ้าน มีระเบียบเรียบร้อยดีจัง อยู่กันสองคนเหรอ”
คุณนายเรไรเริ่มบทสนทนาขึ้น ซึ่งทำให้กนกและลูกสาวรู้สึกถูกชะตา ไม่ใช่เพราะหญิงสูงวัยดูเป็นผู้ดีมีสกุล แต่เป็นเพราะว่าคำพูดคำจาที่ดูเป็นกันเองมากกว่า
“เราอยู่กันสามคนแม่ลูกค่ะ ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวดิฉันจะให้ลูกสาวไปส่งที่บ้าน” กนกเองก็ทำให้คุณนายเรไรรู้สึกชื่นชอบ ในความมีน้ำใจของเธอ
“ฉันตั้งใจจะออกมาซื้อหมั่นโถวทรงเครื่อง แต่ดันพลัดหลงกับหลานชาย ป่านนี้ครูซคงกลับบ้านไปแล้วมั้ง ฉันสิอดกินหมั่นโถวเลยเสียดายจัง”
หญิงสูงวัยยังคงนึกถึงหมั่นโถวร้านประจำ ที่เคยซื้อรับประทานสมัยสาวๆ นางจึงคะยั้นคะยอให้ครูซพามาตลาด
แต่ช่วงที่เขายืนคุยโทรศัพท์กับเหมันต์ ทำให้เกิดคลาดกันกับคุณย่า (บิดาของครูซเป็นลูกชายคนโตของคุณนายเรไร) เพราะหญิงสูงวัยเดินไปไกล เข้าตรอกนั้นออกซอกซอยนี้ จากนั้นจึงหากันไม่เจอ จวบจนกระทั่งนางเดินออกมาพบกับกนก