ใช่!
เขาเข้าใจไม่ผิดและคิดไม่ผิด ยัยแคระและลูกหลานของคนในบ้านเมื่อก่อน ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนเขาทั้งนั้น แต่ละคนจะอายุอานามต่างกัน มียัยแคระนี่ล่ะเด็กสุด ขี้แยสุด ถูกเขาแกล้งบ่อยสุด และขี้ฟ้องสุด แต่จริงๆ ยัยแคระจะถูกคนอื่นแกล้งมากกว่านี้ ถ้าไม่ได้บารมีเขาคุ้มครองไว้อีกทอด
“ถ้าไม่อยากถูกพวกนั้นแกล้ง ก็ให้มาอยู่ใกล้ๆ คุณปั่น แล้วก็ต้องยอมคุณปั่นทุกอย่าง เข้าใจมั้ยยัยแคระ”
ภาพเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ ตัวเล็กๆ ผอมๆ แคระๆ แกร็นๆ ผมเปียสองข้างพยักหน้ารับคำของเขาทั้งน้ำตา เริ่มกระจ่างขึ้นมาในความทรงจำเรื่อยๆ แล้ว
“คุณปั่นต้องสัญญากับน้องรักก่อน ว่าจะไม่แกล้งน้องรักเหมือนพวกนั้น”
ตัวสูงเท่าหน้าแข้ง ยังกล้ามาต่อรองกับยักษ์อย่างเขาอีก
“ไม่สัญญา เพราะนั่นถือเป็นค่าคุ้มครอง เข้าใจมั้ยยัยแคระ”
“ค่าคุ้มครองคืออะไรคะ”
“ก็...ค่าที่คุณปั่นไปจัดการเด็กพวกนั้นไม่ให้มาแกล้งเราไงล่ะยัยแคระ ไม่รู้เหรอว่าคุณปั่นต้องจ่ายอะไรไปบ้าง พวกมันถึงยอมอยู่ห่างๆ เรา”
“ไม่รู้ค่ะ คุณปั่นเอาอะไรจ่ายล่ะคะ”
“ไม่ต้องรู้หรอก เรื่องของผู้ชายเค้า”
ริมฝีปากหยักได้รูปกระตุกยิ้มนิดหนึ่ง เมื่อคิดถึงวีรกรรมที่เขาเรียกให้ยัยแคระจ่ายเป็นค่าคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็น ใช้ให้ทำนั่นนี่จนหัวหมุน จับโยนลงสระน้ำตอนที่บอกว่าจะสอนว่ายน้ำ เอาสีป้ายแก้ม ปาดแขนขา ตอนบอกว่าจะสอนวาดรูป เอาดินเหนียวหุ้มเท้าเล็กๆ ไว้ ตอนบอกว่าจะสอนปั้นเป็นรูปนั้นรูปนี้
มันสนุกเวลาเห็นยัยแคระยิ้มแล้วร้องไห้งอแงด้วย แต่มันก็ไม่ได้สนุกนัก ตอนยัยแคระไปฟ้องน้าแรม แล้วมองเขาแบบเคืองๆ และยิ่งหมดสนุกไปเลย เมื่อถูกเขาแม่ทำโทษ ด้วยการให้ไปยืนคาบไม้บรรทัดอยู่ในห้องอาหาร มองคนอื่นกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย รวมทั้งยัยแคระขี้ฟ้องด้วย
แต่พอแม่เผลอ สมุนคู่กายอย่างไอ้ระ ก็แอบเอาอะไรมายัดใส่ปากให้ได้กินประทังหิวอยู่ดี ส่วนไอ้ชลก็มีน้ำปั่นแสนอร่อยคอยส่งให้เขาดูดปืดๆ ตลอด พอแม่เห็น พวกมันก็เผ่นไปคนละทิศละทาง เขาเห็นว่ายัยแคระขี้ฟ้องมองมาหาแล้วแอบยิ้มด้วย
หึ
ฝากไว้ก่อนเหอะยัยแคระ ฉันจะเอาคืนให้สาสมเลย
ทุกครั้งเขาก็จะคาดโทษไว้ แล้วเล่นงานคืนทีหลังตลอด เสร็จแล้วยัยแคระก็จะไปฟ้องอีก เขาก็ถูกทำโทษอีก วนไปเป็นลูปแบบนี้ตลอด คิดๆ ไปแล้ว ก็ทั้งขำ ทั้งเครียด ว่าแต่ เขาลืมเรื่องพวกนี้ไปได้ยังไงนะ ลืมยัยแคระขี้ฟ้องไปได้ยังไง และตั้งแต่ตอนนี้กันนะ ให้เดาก็น่าจะเป็นตอนเขาหนีไปอเมริกานั่นแหละ
“คุณปั่นคะ คุณปั่น” คนคิดอะไรไปเรื่อยต้องรีบหันมาหาต้นเสียง ก็เห็นแม่กำลังมอง มีคนอื่นมองตามด้วย
“ครับ”
“เหม่ออะไรเหรอคะ นั่งนิ่งเชียว คุณแม่เรียกต้องนานแล้วนะ”
“เปล่าครับ คิดเรื่องงานอยู่ คุณแม่มีอะไรครับ”
“คุณแม่น่ะไม่มีหรอก แต่หนูก้อยน่ะมี” อาภัสสราหันไปหากรกนก
“ครับก้อย”
อาชาหันไปหาสาวสวย ที่แม่เพิ่งอวดอ้างสรรพคุณ ว่าเรียนเก่ง จบดอกเตอร์มาหมาดๆ และกำลังสานต่อกิจการของครอบครัว แทนพ่อแม่ตั้งแต่ตอนมาถึงใหม่ๆ แล้ว นั่นทำให้รู้แล้วว่า คนนี้แม่หมายตาไว้ให้เขา และแม่ก็ไม่เคยเข็ดสักครั้ง เวลาถูกเขาหักหน้าตรงๆ
‘ไม่ใช่สเปค’
ใช่ว่ากรกนกไม่สวย หรือไม่เก่ง แต่บางครั้ง การเลือกคู่ ก็ไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพวกนี้ เข้ามามีบทบาทเสมอไป บทจะรัก จะชอบ มันเกิดขึ้นเอง ไม่มีใครควบคุมได้ และความรู้สึกแบบนั้น ก็ยังไม่ได้เกิดกับเขา
มั้ง?
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คุณป้าบอกว่าคอนโดที่คุณปั่นซื้อไว้ใกล้ๆ ออฟฟิศก้อย เลยอยากไปดูบ้าง เผื่อวันไหนขี้เกียจกลับบ้านก็จะได้นอนที่นั่นเลย” กรกนกส่งเสียงดังชัดถ้อยชัดคำและเป็นไปในแบบห้วนๆ ตามสไตล์ที่เขาคุ้นเคย พูดง่ายๆ คือไม่เฟค เป็นแบบไหนก็แสดงออกมาแบบนั้น
“น่าจะขายหมดตั้งแต่ยังสร้างไม่เสร็จแล้วนะครับ แต่เห็นว่ากำลังขึ้นเฟสสองอยู่ ใกล้ออฟฟิศของก้อยมากกว่าเฟสแรกอีกครับ ถ้าสนใจผมแนะนำเซล์ให้”
อันที่จริงเขาคิดว่าถ้าไปถามภาคินัยจะง่ายกว่าแน่ๆ ก็เป็นคนออกแบบเฟสแรก เฟสสองก็ไม่น่าจะพลาด รับรองว่าเจ้าของโครงการคงจองคิวไว้แล้ว
แต่...ก็นะ
นี่มันแผนจับแพะมาชนแกะของแม่นี่นา ให้ไปถามคนอื่น ก็อดลุ้นว่าเขากับกรกนกจะคลิกกันหรือเปล่าน่ะสิ เพลียใจจริงๆ กับแผนของแม่ เมื่อไหร่จะเลิกหาคู่ให้เขาสักทีนะ บอกกี่ทีแล้ว ว่าไม่ต้องยุ่ง ก็ไม่ยอม
“ได้ค่ะ”
“คุณป้าว่าก้อยไปดูห้องตัวอย่างจากเพนต์เฮ้าส์คุณปั่นก่อนดีกว่าจ้ะ เผื่อไม่ชอบใจ จะได้ไม่ทิ้งเงินนะ”
อุย
คุณแม่เล่นลูกซะแล้ว
อาชายอมใจให้กับความพยายามของแม่จริงๆ กี่ครั้งแล้วนะ ที่แม่หอบใครต่อใครมาประเคนให้เขาเลือก กี่ครั้งแล้วนะที่เขาปฏิเสธแม่ไป ทั้งๆ ที่เขาก็บอกชัดเจนและนานแล้วว่า
“ผมจะไม่แต่งงาน จะไม่มีลูกให้คุณแม่หรอกครับ บอกไว้ตรงนี้เลย คุณแม่ไม่ต้องพยายามหาใครมาให้ผมเลือกหรอกครับ ไม่ว่าจะใครก็ตาม จะสวย จะเก่ง จะดีเลิศ ผมก็ไม่แต่งครับ หรือถ้าแต่ง ผมก็จะไม่มีลูกเด็ดขาด คุณแม่ก็น่าจะรู้ดี ว่าผมเกลียดเด็กแค่ไหน ลำพังผมเห็นยัยแคระขี้ฟ้องที่คุณแม่เลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ กับลูกหลานบริวารคุณแม่ที่เอามาเลี้ยงดูปูเสื่อ ผมก็เบื่อจะแย่แล้วครับ”
นอกจากมียัยแคระขี้ฟ้อง ที่แม่เลี้ยงเป็นล่ำเป็นสัน ประหนึ่งลูกของตัวเองแล้ว ก็ยังมีลูกหลานคนในบ้าน ที่แม่ชอบเอามาเลี้ยงเป็นครั้งคราว เพื่อแก้เหงาอีก ตอนนี้ก็ไม่รู้หายหน้ากันไปไหนหมด เขาเคยแสดงออกให้แม่เห็นว่ารำคาญออกบ่อย แต่แม่ก็ไม่เคยเข็ด เหมือนตอนนี้
"ครับ เดี๋ยวผมออกไปรับครับ”
และเพื่อกันไม่ให้แม่ต้องเหนื่อยไปสรรหาสาวๆ มารอให้เลือก เขาเลยต้องมีทีเด็ดบ้าง และระหว่างที่แม่เชิญทุกคนไปห้องอาหาร เขาก็รับสายเรียกเข้า แล้วขอตัวออกไปข้างนอก ไม่กี่อึดใจก็กลับเข้ามา พร้อมผู้หญิงที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
เขมิกา นางแบบชื่อดังของเมืองไทยไหว้อาภัสสรา
“สวัสดีค่ะ”
เจ้าบ้านรับไหว้พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ขณะนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะ รองรับแขกได้ถึงยี่สิบสี่คน ไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่นั่นย่อมทำให้คนสนิทรู้แล้ว ว่าไม่ได้ปลื้มนางแบบสาวเลย