EP 5

1237 Words
“คุณท่านไม่เป็นอะไร แค่เจ็บหน้าอกกับรู้สึกหน้ามืดเท่านั้น” “คุณท่านนอนนิ่งๆ ก่อนนะคะ” อาภัสสราพยักหน้ารับน้อยๆ สองตาก็จ้องมองเจ้าของหน้าหวานๆ ที่ดูเหมือนจะตกอกตกใจและแบบไม่แสร้งสรรค์สร้างขึ้น “ขอยาดมกับยาหอมให้ฉันหน่อยก็แล้วกันบัว” “ค่ะ” บัวบานรีบออกไปหาของทันที “คุณท่านดื่มชาร้อนๆ ก่อนมั้ยคะ จะได้ดีขึ้น” รินน้ำชาจากกาเบญจรงค์แล้วเอาพัดบนโต๊ะใกล้ๆ มาพัดไปมาไล่ความร้อน ก่อนจะส่งให้คุณท่าน “ขอบใจนะ คุณท่านไม่น่าทำให้คุณปั่นหัวเสียเลย” “น้องรักผิดเองล่ะค่ะ ที่ไปบอกคุณปั่นว่าคุณท่านป่วย” “ถ้าไม่บอกแบบนั้น คุณปั่นคงไม่มาดูคุณท่านหรอก อย่าโทษตัวเองเลย คุณปั่นก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว” รักศิกาญจน์ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา ทั้งที่ในใจมีหลายร้อยคำที่จะพูดเกี่ยวกับเขา “สรุปวันนี้ได้เตรียมเรื่องจะสมัครงานที่ไหนหรือเปล่าจ๊ะ” อาภัสสราเห็นคนหน้าหวานไม่พูดอะไร ก็เดาได้ เลยชวนคุยเรื่องอื่น “ยังค่ะ” “ตกลงจะไม่เปลี่ยนใจมาช่วยงานคุณท่านแน่ใช่มั้ย” “เอ่อ...” รักศิกาญจน์รู้สึกว่าคำปฏิเสธที่จะส่งออกไปหนนี้ ยากกว่าเมื่อตอนสายๆ ที่เคยมีให้คนตรงหน้ามาแล้วมาก ก่อนจะถูกใช้ให้ไปตามอาชาที่ออฟฟิศ “ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไรหรอก ไว้คุณท่านจะบอกแรมให้ประกาศรับสมัครเอง หาๆ ไปก็คงจะได้คนถูกใจ ได้คนรู้ใจสักวันนั่นล่ะ ถ้าคุณท่านไม่เป็นอะไรไปก่อนนะ” “คุณท่าน” รักศิกาญจน์เกิดอาการสะเทือนใจจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมาแล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ และไม่เข้าใจว่าทำไมคุณท่านไม่บอกความจริงเรื่องอาการเจ็บป่วยกับลูกไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเคืองกันอย่างนี้ “ถ้าคุณท่านเป็นอะไรไปตอนนี้ อย่างน้อยก็มีน้องรักกับแรมแหละ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คุณท่านคงพอจะตายตาหลับไปบ้าง ถึงจะห่วงเรื่องอื่นๆ อยู่ แต่ก็คงจะต้องปล่อยวางแล้วล่ะ” “คุณท่านต้องไม่เป็นอะไรค่ะ คุณท่านยังแข็งแรงอยู่เลย” คราวนี้ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่ได้จริงๆ เพราะความสงสารในตัวผู้มีพระคุณกับเธอและแม่ เอ่อล้นท่วมใจขึ้นมาทันควันหาได้เสแสร้งแกล้งบีบน้ำตาไม่ “เฮ้อ ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าหรอกน้องรัก ถึงเวลาก็ต้องไปกันหมด เพียงแต่คุณท่านยังไม่พร้อมที่จะไปตอนนี้ มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย ให้ไปได้อย่างหมดห่วง” 2 เจ้าของส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบ กำลังยืนสำรวจตัวเองในกระจกอย่างตั้งอกตั้งใจ เดรสสีมาฮอกกานีคอวีแขนสั้น กระชับรูปร่างพอดี ระดับความยาวก็อยู่ตรงหัวเข่า สวมเข็มขัดหนังสีดำเข้าไปแล้ว สร้างความหรูและดูแพงขึ้นมากกว่าเดิม “เสร็จแล้วเหรอจ๊ะ” รัตติกาลกำลังง่วนกับการหาของในกระเป๋าสะพายเงยหน้าไปมองลูกสาว แววตาแห่งความพึงพอใจกับภาพที่เห็นนั้น เปล่งประกายออกมาอย่างไม่ปิดบัง “คุณแม่ช่วยดูให้น้องรักหน่อยค่ะ ว่าโอเคมั้ย” ลูกหมุนรอบตัวต่อหน้าแม่ แม้จะเห็นว่าทุกอย่างลงตัวแล้ว แต่ก็อยากรีเช็กอีกรอบ “สวยหรูและดูแพงแล้วล่ะจ้ะ” “ขนาดนั้นเลยเหรอคะ นี่ชุดละพันกว่าๆ เองนะคะ” “อยู่ที่ไม้แขวนจ้ะ ลองคนอื่นมาใส่ จ้างให้ก็ไม่ได้เหมือนลูกของคุณแม่หรอก” “เอ๊...คุณแม่ปากหวานมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะคะ ใครสอนมาหรือเปล่าคะ” “คุณแม่พูดความจริงต่างหากล่ะจ๊ะ ผู้หญิงเราจะดูดี ดูแพงได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ของแพงหูดับกับแต่งหน้าจัดจ้านหรอกนะจ๊ะ มันมาจากอินเนอร์ต่างหากล่ะ” และอินเนอร์เหล่านี้รัตติกาลกับผู้มีพระคุณล้นหัวอย่างอาภัสสรา ก็ค่อยๆ ใส่เข้าไปในตัวลูกสาวทีละเล็กทีละน้อยมาตลอดยี่สิบห้าปีแล้ว “ไปกันได้หรือยังจ๊ะ?” “ค่ะ” รักศิกาญจน์มองชุดทำงานของแม่ ที่เรียบหรูและดูแพงไม่ต่างกันก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะออกบ้านสองชั้นหลังกะทัดรัด บนเนื้อที่เจ็ดสิบเก้าตารางวา ไปหารถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ จอดอยู่เพียงคันเดียว “คุณแม่จะขับหรือให้น้องรักขับคะ” “คุณแม่ดีกว่าจ้ะ เพราะยังไงก็ต้องขับต่ออยู่แล้ว” รัตติกาลต้องส่งลูกที่ทำงานก่อน เพราะเป็นทางผ่านอยู่แล้ว เสร็จถึงจะไปออฟฟิศ “เฮ้อ ว่าจะพักสักอาทิตย์ให้หายเหนื่อยซักหน่อย” รักศิกาญจน์พ่นลมออกแรงๆ เมื่อนั่งคู่กับแม่แล้ว จากที่ตั้งใจว่าจะหนีไปเที่ยวพักผ่อนที่ไหนสักแห่งก่อน ถึงจะเริ่มทำงาน สุดท้ายก็ตกม้าตายเพราะความสงสารแท้ๆ “โทษอะไรดีล่ะจ๊ะ ความใจอ่อนมั้ย” รัตติกาลส่งเสียงนุ่มๆ ขณะกำลังควบพวงมาลัยออกไปยังซุ้มหน้าหมู่บ้านจัดสรร ที่ระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม “มั้งคะ น้องรักสงสารคุณท่านด้วยล่ะค่ะ แล้วก็หมั่นไส้นายนั่นมากๆ ด้วย เถียงแม่ฉอดๆ ใครสั่งใครสอนกันก็ไม่รู้ ชิ!” “แล้วใครสั่งใครสอนลูกของคุณแม่ ให้ไปเรียกคุณปั่นแบบนั่นล่ะคะ ไม่น่ารักเลย” “คุณแม่ต้องไปเห็นตอนนายนั่น...” “อ๊ะๆๆ คุณแม่เตือนแล้วนะคะ อย่าว่าคุณปั่นแบบนั้น เรียกใหม่สิคะ” “อืม อิคุณปั่น” “อ๊ะๆๆ ...ให้โอกาสอีกรอบ” “คุณปั่น ก็ได้ค่ะ ถูกใจคุณแม่หรือยังคะ” “ถูกใจมากค่ะ ยังไงๆ คุณปั่นก็อายุเยอะกว่าน้องรักตั้งหลายปี สิบหรือเปล่าคะ” “ค่ะ” “แถมยังเป็นลูกของผู้มีพระคุณกับเราสองคน จนไม่รู้ว่าชาตินี้จะตอบแทนได้หมดหรือเปล่า เฉพาะฉะนั้น คุณแม่ห้ามไม่ให้น้องรัก เรียกคุณปั่นแบบเสียๆ หายๆ อีกนะคะ” “ก็เค๊าเรียกน้องรักว่ายัยแคระก่อนนะคะคุณแม่” “เรียกยังไงก็ช่างค่ะ แต่เราต้องไม่ตอบโต้ในแบบเดียวกัน เข้าใจมั้ยคะ” “เข้าใจก็ได้ค่ะ” “แล้วจะเรียกอีกมั้ยคะ” “ไม่ก็ได้ค่ะขุ่นแม่คนสวย แถมดุอีกต่างหาก” “ไม่ดุได้ยังไงคะ น้องรักโตแล้วนะคะ จบโทแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ต้องรู้จักควบคุมสติ ความคุมจิตใจ และควบคุมสมาธิให้ดีสิคะ” “ค่ะ” “ดีมาก” คนเป็นแม่เข้าใจความรู้สึกลูก ที่มีต่อนายนั่นของลูกดีว่าเป็นยังไง เพราะตัวเองก็ไม่ต่างหรืออาจจะมากกว่าลูก เวลาถูกประชดใส่ซึ่งๆ หน้าหลายครั้งหลายครา ตอนประชุมมูลนิธิ ซึ่งเขาเป็นคณะกรรมการอยู่ในนั้นด้วย แค่เลือกที่จะไม่พูดเท่านั้น หรือถ้าพูดก็แค่กับลูก จะไม่มีการเอาไปขยายต่อกับคนอื่นเด็ดขาด “ฝากบอกคุณท่านด้วยนะ ว่าคุณแม่คิดถึง ถ้าไม่รีบประชุมแต่เช้า คงได้ไปไหว้ท่านแล้วล่ะ” “น้องรักว่าคุณท่านคงยังไม่ตื่นมาให้คุณแม่ไหว้หรอกค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD