“น้องรักขึ้นไปนั่งบนนั้นสิจ๊ะ จะได้กินถนัดๆ ของกินอย่าวางต่ำ มันไม่ดี”
รักศิกาญจน์มองเมี่ยงคำกลีบบัว เสิร์ฟมาในช้อนเบญจรงค์ห้าคัน พร้อมชาร้อนในกา ไว้ให้รินใส่แก้วเอง
“ชาผู่เอ๋อ ที่คุณท่านบอก ตอนเรารับทานมื้อเที่ยงด้วยกันไงจ๊ะ มานั่งข้างบนสิจ๊ะ จะได้รับทานถนัดๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอก น้องรักเป็นแขกคุณท่าน ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และไม่ต้องกลัวใครจะว่าอะไรด้วย”
“ค่ะ”
อาชาหมั่นไส้แขกของแม่ไม่น้อย จะนั่งบนชุดรับแขกก็ไม่นั่งสักที ทำไมต้องให้เรียกซ้ำๆ อยู่ได้ หรือจะไม่อยากนั่งใกล้เขากันนะ คิดได้ดังนั้นก็เลยขยับให้ แต่ยัยแคระดันไปนั่งอาร์มแชร์ห่างจากเขาไปหลายศอก
หึ ฝากไว้ก่อนเหอะ วันหลังจะจับมานั่งตักแล้วหวดก้นจนลายให้ดู
ยัยแคระประจบเอ๊ย
“คุณแม่เพิ่งลองสั่งมาดื่ม เห็นว่าอร่อยดี เลยจัดไว้เป็นของว่างให้คุณปั่นบ่ายนี้ด้วยไงจ๊ะ”
“เหมือนคุณแม่จะรู้ว่าผมต้องมา” ลูกมองแม่หน้านิ่งๆ เหมือนไร้ความรู้สึก ว่าถูกเดาทางได้
“ก็คุณปั่นไม่ได้มาหาคุณแม่นานแล้วนี่คะ คุณแม่ก็ต้องพอเดาได้อยู่บ้างล่ะค่ะ”
“เข้ากับเมี่ยงจังนะครับ ว่าแต่นี่รับทานได้เหรอครับ”
อาชาไม่คุ้นกับกลีบสีชมพูนัก ทั้งที่เห็นแม่จัดต้อนรับแขกออกบ่อยเมื่อสมัยเขายังเด็ก แต่ไม่เคยลองด้วยตัวเองสักครั้ง
“ได้สิคะ บัวในบึงของเราเอง รับรองปลอดภัยจ้ะ”
เมื่อแม่อยากให้กินนัก เลยจำต้องส่งเมี่ยงเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ และเขาก็กินไปได้ถึงสองคำถ้วน ก็มองแม่ ที่กำลังส่งของว่างเข้าปากเช่นกัน มันทำให้เคืองไม่น้อย ว่าคนป่วยอะไรจะกินของพวกนี้ได้
เคี้ยวไหวรึ ถ้าป่วย
“สรุปว่าคุณแม่ให้ยัยแคระไปตามผมทำไมครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ คิดถึงเฉยๆ คุณปั่นไม่มาหาคุณแม่จะเป็นเดือนแล้วนะ นัดแล้วก็ไม่เป็นนัด”
“เลยให้ยัยแคระไปโกหกผมว่าป่วยหนัก เหรอครับ”
“สรุปคือ น้องรักบอกคุณปั่นแบบนั้นเหรอจ๊ะ” อาภัสสราหันไปหายัยแคระของลูก
“เปล่าค่ะ”
“อย่ามาโกหกนะยัยแคระ ฉันได้ยินกับหู” เจ้าของฉายาที่อีคุณปั่นตั้งให้ตั้งแต่เด็ก ถึงกับมองค้อนทันที เพราะไม่ชอบเอามากๆ
แคระที่ไหน ฉันสูงร้อยเจ็ดสิบ ไม่ได้เตี้ยๆ แคระๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะยะ
“ไปว่าน้องแบบนั้นได้ยังไงล่ะคุณปั่น”
“หรือไม่จริงล่ะครับคุณแม่ เมื่อก่อนตัวสูงเท่าหน้าแข้งผมแค่นั้น”
“เกินไปหรือเปล่าฮะไอ้คุณปั่น คนนะ ไม่ใช่หมา จะได้สูงแค่หน้าแข้งนาย ให้มันน้อยๆ หน่อย”
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้น้องรักตัวสูงเชียว”
“เท่าหัวไหล่ผมเองนะครับ คุณแม่เรียกว่าสูงเหรอครับ”
“ก็คุณปั่นสูงตั้งร้อยเก้าสิบห้านี่ เลยเห็นคนอื่นเตี้ยไปหมดล่ะ”
“แค่ยัยแคระเท่านั้นครับที่ผมเห็นว่าเตี้ยยังไงก็ยังเตี้ยอย่างนั้นอยู่”
“คุณแม่ไม่เถียงคุณปั่นละ”
“ว่าแต่น้องรักบอกคุณปั่นว่าไงจ๊ะ”
อาภัสสรารีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากให้ลูกว่ายัยแคระไปมากกว่านี้
“เอ่อ ก็บอกว่าคุณท่านไม่สบายค่ะ ไม่ได้ใช้คำว่าป่วยหนักเลยค่ะ”
รักศิกาญจน์หันไปหาคุณท่าน และไม่ชอบใจเอามากๆ เมื่อลูกชายท่านประชดประชันไม่เลิก
“มันก็ความหมายเดียวกัน เพราะถ้าไม่ป่วยหนัก คุณแม่ก็คงไม่ให้เธอไปตาม หรือจะเถียง” คนตัวสูงหันไปปั้นหน้าดุใส่
“เถียงค่ะ เพราะคนละคำและคนละความหมายค่ะ” ยัยแคระเลยเถียงกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เบาๆ
“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ ใครสอนใครสั่ง เอาใหญ่แล้วนะเรา เป็นเด็กเป็นเล็ก”
แต่คนตัวสูงกลับเสียงดังใส่ แล้วยังจ้องเจ้าของหน้าหวาน แต่ปากไม่หวานเหมือนหน้าเอาเสียเลยตาเขม็ง เพราะไม่ชอบให้ใครเถียง
“เปล่าเล่นค่ะ แค่อธิบายว่าคนละคำ คนละความหมายเท่านั้นค่ะ”
“แล้วมันเหมือนกันมั้ยล่ะ”
“ไม่เหมือนค่ะ”
“จะไม่เหมือนได้ยังไง อย่ามา...”
“พอได้แล้วล่ะคุณปั่น ไปดุเด็กได้ยังไง คุณปั่นนั่นล่ะตีความผิดเอง คุณแม่ไม่ได้ป่วยหนักสักหน่อย” เห็นลูกมีท่าทีจะเอาเรื่องไม่เลิก อาภัสสราเลยต้องขัดขึ้นเสียงนุ่มเนิบตามแบบฉบับ
“คุณแม่ว่าผมผิดเหรอครับ?”
“เปล่าจ้ะ คุณแม่แค่คิดว่าคุณปั่นกำลังตีความคำของน้องรักผิด”
“ขอโทษนะครับที่ผมเข้าใจผิด คิดว่าการที่คุณแม่ให้ยัยแคระไปตามถึงออฟฟิศ แปลว่าคุณแม่ป่วยหนัก ไม่ใช่แค่เป็นหวัด หรืออาจจะไม่ได้ป่วยด้วยซ้ำ ไม่งั้นก็คงไม่คุยจ้อได้ขนาดนี้หรอกครับ ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ”
“คุณปั่นว่าคุณแม่โกหกเหรอ?”
“แล้วจริงมั้ยล่ะครับ? เพราะถ้าคุณแม่ป่วย ก็น่าจะไม่มีแรงมานั่งคุยกับผมเสียงแข็งหรอกมั้งครับ ผมไม่เข้าใจว่าจะโกหกผมทำไมครับ คุณแม่สนุกกับการปั่นหัวคนอื่นอยู่ตลอดเวลาเหรอครับ”
“ทำไมคุณปั่นว่าคุณแม่แบบนี้ล่ะ?”
คราวนี้คนเป็นแม่มองลูกด้วยใบหน้าเรียบ คล้ายๆ จะเคือง
“ผมไม่ได้ว่าครับ แค่ถาม และไม่เข้าใจ ว่าคุณแม่เห็นงานของผมไม่สำคัญสักนิด ขนาดให้คนไปโกหกผมถึงออฟฟิศ ใช่สิครับ ก็งานผมไม่ได้ทำเงินให้มากเท่าสมบัติของคุณแม่เองนี่ครับ คุณแม่จะแคร์ทำไม”
“คุณปั่นทำคุณแม่เสียใจอยู่นะคะ”
“งั้นผมควรจะดีใจเหรอครับ ที่ถูกคุณแม่ปั่นหัวจนต้องทิ้งงานมา ครั้งหน้า ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ หรือไม่ถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล ก็อย่าให้ใครไปหลอกผมมาอีกนะครับ ขอล่ะครับ ให้ผมได้พักบ้าง อย่าปั่นหัวผมเหมือนที่เคยปั่นหัวคุณพ่อนักเลย”
“อย่ามาว่าคุณแม่นะคุณปั่น เพราะคุณแม่ไม่เคยปั่นหัวใครทั้งนั้นล่ะ”
“เหรอครับ แต่ทำไมผมกับคุณพ่อถึงมึนเพราะคุณแม่ไปตามๆ กันจนถึงทุกวันนี้ล่ะครับ”
“ถ้าคุณปั่นมาแล้วหาเรื่องคุณแม่ ก็อย่ามาซะดีกว่า”
“ผมลาก็แล้วกันครับ”
อาชากระพุ่มมือไหว้แม่ แล้วลุกพรวดพราดไปแบบไม่แคร์ใครสักนิด รักศิกาญจน์เพิ่งฝืนกลืนของว่างลงคอ ได้แค่คำเดียวและด้วยความยากลำบาก มองตามร่างสูง เดินหน้าบึ้งออกจากห้องไป สลับกับหันมามองคุณท่านด้วยความเห็นใจ
“คุณท่าน”
รักศิกาญจน์กับบัวบาน แทบจะถลาเข้าไปหาอาภัสสรา ที่เอามือทาบหน้าอก หน้านิ่วเหมือนเจ็บปวดตรงไหนอยู่