จิ่วซวนผู่ยังคงมิเลิกรา ด้วยเคยจดจำได้ว่าเห็นสิ่งของมีค่าอยู่ไกลๆ แต่ลงท้ายก็คิดว่าคงตาฝาดไปเพราะหินแม่น้ำนั้นก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่มิน้อย แต่ในใจนั้นก็ชื่นชอบนังม้าพยศผิงม่านหรงเป็นอย่างยิ่ง นางมีหน้าตางดงามแปลกตากว่าสตรีในหมู่บ้านนี้ แม้ว่าหน้าตามารดาของนางจะแสนธรรมดามากก็ตามเถิด คิ้วปากตานั้นดูดื้อรั้นน่าจะนำมาควบขี่อยู่มิน้อย ม้าพยศนั้นต้องคอยฝึกฝน นังสตรีผู้นี้หากว่าได้ลิ้มรสชาติของบุรุษไปซักครา คงมีนิสัยดีขึ้นมาอย่างแน่นอน
จิ่วซวนผู่คิดหาทางจัดการนังม้าพยศลงไปเสีย ในใจคิดแผนการร้ายขึ้นมาต่างๆ นานา แต่ทว่าติดที่นังตัวร้ายนั้นจะมิคอยห่างบิดาและมารดาไป จิ่วซวนผู่จึงหาหนทางร้าย โดยให้คนในหมู่บ้านไปชักชวนมารดาของนางนั้นไปตีฝ้าย และให้สตรีเหล่านั้นลืมนำกระบอกน้ำติดกายไป อย่างไรนังโง่นั่นย่อมต้องมาตักน้ำ พอถึงยามนั้นจิ่วซวนผู่จะเล่นรักกับนางเสียให้พอ จิ่วซวนผู่คิดอย่างร้ายกาจพลางไล้เลียริมฝีปากตนเองลงไปอย่างพอใจ
พอถึงยามที่ทุกคนไปตีฝ้าย บิดาของผิงม่านหรงก็ติดตามไปด้วย ข้างกายของครอบครัวสกุลผิงมีลาบรรทุกของไปด้วยอย่างพอเพียง จิ่วซวนผู่ทำดวงตาขึงขึ้นมา ดวงตาแดงทำท่าอย่างแค้นเคือง บิดาของผิงม่านหรงหรี่ดวงตามองไปแล้วครุ่นคิดขึ้นมา
“เจ้าหมูตอนนี้ช่างสารเลวนัก หากข้านั้นตกหลุมพรางของมันไปซักครา ต่อไปเสี่ยวผิงของข้าคงอยู่มิสู้ตาย หากว่าที่นี่นั้นมิปลอดภัยสำหรับบุตรสาวแสนงามแล้ว ข้าคงต้องย้ายถิ่นอีกคราเสียแล้วซินะ สาวน้อยที่น่ารักของข้าจะตกเป็นของบุรุษหยาบช้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ผิงอันเหอถอนหายใจแรงขึ้นมาและเร่งเดินไปในจุดเก็บฝ้ายเสีย ในใจคิดว่าจะนำฝ้ายเหล่านี้ออกไปขายทั้งหมดสิ้น ทั้งที่ปกติแล้วจะต้องเตรียมปั่นฝ้ายเพื่อทำเครื่องนอนใหม่และเสื้อผ้าของบุตรสาวเสียบ้างแล้ว เช่นนั้นครอบครัวของสกุลผิงจึงเร่งเก็บฝ้ายกันอย่างคร่ำเคร่ง ยามถึงยามค่ำก็นำใส่กระสอบป่านใช้ลาขนออกไป เมื่อนำมากองไว้ก็พากันขึ้นไปพักที่ในเรือน ก่อนที่จะสนทนากันเบาๆ ขึ้นมา
“เสี่ยวผิง เมียข้า พวกเจ้าสองคนนั้นมิต้องปั่นฝ้ายในครานี้ พ่อจะนำฝ้ายเหล่านี้ไปขายให้หมดสิ้น และพวกเจ้าจงนำของมีค่าใส่ลงไปในกระสอบฝ้ายเสียทั้งหมด ยามที่นำเกวียนออกไปขายฝ้ายแล้ว พวกเราจะมิกลับมาที่นี่อีก พ่อจะราดน้ำมันเอาไว้เสีย หากมีผู้ใดถือคบเพลิงมาใกล้ๆ เรือนหลังนี้ย่อมติดไฟและลุกลามไปเป็นเชื้อฟืนได้ดีแน่ พวกมันจะต้องได้รับบทเรียนบ้าง มิเช่นนั้นพ่อของเจ้านั้น คงต้องมองเสี่ยวผิงของพวกเรา ถูกลูกสุนัขแซ่จิ่วนั้นรังแกอยู่เรื่อยไป พ่อมิอาจทานทนได้เช่นนั้นแน่”
ทั้งหมดมองตากันและพยักหน้ากันเบาๆ ก่อนที่จะทำทีมิมีอันใดแล้ว จึงออกไปช่วยกันเก็บฝ้ายในทุกวัน ทุกครอบครัวต่างคิดว่าสกุลผิงนั้นร้อนเงิน เพราะอับอายในความจน เช่นนั้นจึงใจดีช่วยเก็บฝ้ายให้บ้างคนล่ะน้อย ผ่านไปเพียงเจ็ดวัน เกวียนของสกุลผิงก็เริ่มต้นออกเดินทาง รถม้าแล่นออกไปจากหมู่บ้านในยามที่ท้องฟ้านั้นยังดำมืด เพื่อที่จะกลับมาให้ทันในยามราตรี นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิดเช่นนั้น แต่ทว่าสกุลผิงนั้นขับเกวียนออกไปไกลจากจุดที่ขายฝ้ายแล้วนำมันไปแลกสิ่งของใช้ในหมู่บ้านถัดๆ ไป ก่อนที่จะซื้อรถม้าและขนสิ่งของขึ้นไป มุ่งหน้าไปที่ทางใต้ในทันที
“ท่านพ่อ ท่านมิเสียดายบ้านหลังนั้นหรือเจ้าคะ ที่ดินผืนนั้นพวกเราเองก็มาบุกเบิกไว้”
“หึ หึ ฉโนดที่ดินนั้นข้าขายออกไปให้คนในหมู่บ้านหยางฮุ่ยไปเสียแล้ว หากมิมีผู้คนถือคบเพลิงเข้าไปจนไฟติด อย่างไรคนที่ได้ซื้อที่ดินของพวกเราไปนั้น ก็ย่อมลำบากแล้ว ต้องเปลี่ยนแผ่นผนังและทั้งสิ่งของที่ต้องมุงหลังคาแล้ว”
“เฮ่อ ท่านพ่อนะท่านพ่อ ความจริงข้านั้นก็ยังพออดทนได้ ท่านนั้นใจร้อนนัก”
“หึ หึ เจ้านั้นเป็นสาวแล้ว จะให้เกิดเหตุร้ายก่อนแต่งงานพบบุรุษที่ดีได้อย่างไร อย่างน้อยบุรุษยากจนก็ต้องมีใจที่ดีงามคุ้มครองเจ้าได้”
“อรื้อ ข้านั้นรักท่านพ่อมากที่สุด”
ผิงม่านหรงกอดบิดาของนางแล้วหัวเราะไปตลอดทาง จวบจนรถม้าขึ้นเขาสูงก็พบว่ามีควันล่องลอยมาจากทิศทางที่พวกนางนั้นได้จากมา บิดาของนางหัวเราะชอบใจขึ้นมา
“ฮร่า สุดท้ายพวกมันนั้นก็พังพินาศแล้ว ต้องเร่งฝีเท้าม้าแล้ว มินานพวกเราต้องไปเปลี่ยนม้า ต้องเดินทางไปให้ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด เช่นนั้นจึงวางใจได้ในอีกครา”
“ท่านพี่ ทางการจะมิตามล่าพวกเราหรือเจ้าคะ”
“ตามล่าอันใดกัน จนถึงยามนั้น ก็เอ่ยว่าผู้มิรู้ความนั้นคงเตะไหน้ำมันของข้าหก กระท่อมจึงติดไฟได้เท่านั้นเอง ข้าขายบ้านได้แล้วจะจุดไฟไปเพื่อสิ่งใดกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ผู้เป็นบิดาหัวเราะงอหาย เร่งเดินทางไปตามเส้นทางชนบทแล้วเข้าสู่ทางออกไปนอกเมืองผานชิงให้ได้ เมื่อขายม้าตัวเมียที่สวยงามสองตัวไปได้ ก็แลกม้าตัวผู้ที่ขนมิสวยงามแต่มีร่างกำยำมาได้ถึงสามตัว รถม้าวิ่งเร็วดั่งจะติดปีกบิน สตรีหวีดร้องไปตลอดทาง จนถึงหน้าประตูเมืองถัดไปแล้ว ทั้งหมดก็พักนอนที่หน้าด่านเพื่อประหยัดค่าเดินทางและยังมีทหารมาช่วยตรวจตราโจรผู้ร้ายไปให้ด้วย ยามที่พักจนพอใจแล้วก็ขอผ่านทางและเร่งเดินทางกันต่อไป
ยามถึงที่ด่านแห่งหนึ่ง มีผู้คุมหน้าตาดุดันมารื้อค้น เด็กสาวคิดสิ่งใดมิได้ จึงแสร้งดึงหยกสีแดงชาดนั้นออกมา ดวงตาของคนนั้นสว่างวาบและก้มลงกระซิบกระซาบลงมาในทันที
“ที่แท้พวกท่านก็มางานราชการลับ ก่อนไปท่านไปที่ทางนั้น ยกหยกขึ้นมาแค่เพียงนิด แล้วรอเติมเสบียงและเปลี่ยนม้าแล้วเดินทางต่อได้เลย ม้าพวกนี้มิต่างกับม้าของค่ายเรานัก อย่างไรก็ผลัดเปลี่ยนได้”
ท่านพ่อของนางทำตาโตและอ้าปากค้าง จะเอ่ยอันใดก็มิได้ มิคิดว่าบุตรสาวของตนนั้น มีหยกราคาแพงอยู่ในกาย นางซ่อนหยกมีค่าไว้ในอกของนาง หยกนั้นมันคือหยกคำสั่งของทหาร มิคิดว่าบุตรสาวนั้นทำเรื่องขึ้นมาแล้ว หากถูกทางการนั้นจับได้ จะเหลือขาหรือปลายเล็บเท้าได้อยู่อีกหรือ อย่าว่าแต่หัวจะหลุด แต่คงถูกทรมานถอดเล็บตายไปเสียก่อน ยิ่งคิดตาก็ยิ่งโต สุดท้ายจึงทำท่ากระแอมไอขึ้นมาแล้วรอคอยคนเติมเสบียงไปอย่างสงบ สามคนมิคุยกันไปตลอดทาง จนมาถึงกลางป่าเขา ท่านพ่อของนางจึงดุด่านางขึ้นมา
“เจ้าลูกมิรักดี หยกคำสั่งนั่นคือของบุรุษในกรมทหาร เจ้ากล้าหาญขโมยมันเอาไว้ได้อย่างไรกัน เจ้ามันน่าตีให้ตายนัก เจ้าอยากให้พ่อของเจ้าตายลงไปหรืออย่างไรกัน เสี่ยวม่านหรง”
ท่านพ่อเรียกชื่อเต็มๆ ของนาง แทนชื่อสกุลของพวกนางในคราแรก ท่านแม่ของนางเอนกายซบลงไปที่ผนังในด้านหนึ่งร้องไห้ขึ้นมาในทันที
“ฮรือ ข้าผิดเองท่านพี่ ข้าควรจะอบรมบุตรสาวของเราให้เป็นสตรีที่ดีงามนะเจ้าคะ นี่มิเพียงขโมยหยกของทางการ สิ่งนี้ยังเป็นสิ่งของสำคัญของบุรุษเพศอีกด้วย หากว่าชายคนนี้นั้นมีภรรยาแล้ว ภรรยาเอกของนางนั้นคงมิพ้นต้องรับอนุ เด็กคนนี้จะมีโอกาสมีคนรักที่ดีได้อย่างไรกัน ฮรือ ฮรือ ฮรือ”