ตอนที่ 1 ชื่อตอน แผ่นดินไหวที่ซานเสวี่ย
“เสี่ยวผิงอ่า เจ้าเที่ยวเล่นซนไปทั่ว เดี๋ยวจะตกลงไปในแม่น้ำ”
“อร้า มาจับข้าซิมาจับข้า หากท่านแม่จับข้าได้ ข้าจะยอมเชื่อฟังท่านไปแต่โดยดี”
ผิงม่านหรงหรือที่มารดาของนางเรียกว่าเจ้าผิงน้อย นางคือบุตรสาวคนแรกของสกุลผิง ท่านแม่ของนางนั้นตามใจนางเป็นอย่างมาก นางและครอบครัวสกุลผิงนั้นอยู่ด้วยกันในซานเสวี่ย ความสุขของครอบครัวของนางนั้นเรียกว่าโอบล้อมอยู่รายรอบกาย นางรักท่านพ่อและท่านแม่ของนางมาก
“เสี่ยวผิงเจ้านี่ดื้อจังเลย เหตุใดจึงมิเชื่อฟังท่านแม่ เจ้าดื้อเช่นนี้ต่อไปพ่อจะมิเคี่ยวน้ำตาลปั้นให้เจ้าแล้วล่ะนะ”
“อร้า ท่านพ่อ ท่านพ่อทำจะเช่นนั้นมิได้ น้ำตาลเคี่ยวของท่านพ่อนั้นอร่อยมากที่สุด เสี่ยวผิงผู้นี้จะเชื่อฟังท่านพ่อแล้วนะเจ้าคะ “
” ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กมีมารยา เจ้าตัวเท่านี้ก็รู้จักล่อลวงผู้คนแล้ว ลับหลังพ่อของเจ้า ต่อไปเจ้าก็ยังคงซุกซนอยู่เช่นเดิมใช่หรือไม่ “
” อรื้อ ท่านพ่อ ท่านเอ่ยว่าบุตรสาวของท่านดื้อ แต่ผู้อื่นในเมืองนี้ตัวเท่าข้า ก็วิ่งเล่นไปทั่วเฉกเช่นกัน “
” ฮ่า ฮ่า เอาเถิดๆ พ่อจะมิดุด่าเจ้า “
ท่านพ่อของนางอุ้มนางไปในเพิงหิน ด้วยภูมิประเทศในแถบนี้มิมีต้นไม้นัก ผู้คนจึงนำหินมาทำบ้านเรือนและใช้เปลือกหอยกับผงแป้งข้าวติดต่อก่อสร้างมันลงไปจนได้เรือนหินสูง ในยามราตรีพวกนางนอนอยู่ในเพิงหินที่ก่อสร้างติดต่อกันไปลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ ในบ้านของนางมีสามคนพ่อแม่ลูก ส่วนท่านย่า ท่านปู่ ท่านอา ท่านลุงของนางนั้นล้วนอยู่ติดกันไปในแนวยาว ในยามที่อากาศร้อนในราตรีหนึ่ง พวกนางตื่นขึ้นมานั่งดื่มน้ำและสนทนากัน ในอาหารของพวกนางมีผลไม้ที่แช่อยู่จากน้ำในแม่น้ำ ความสุขนั้นอบอวลอยู่ในรอบกาย นางที่ยังเยาว์วัยหัวเราะคิกคัก ก่อนที่รอบกายของพวกนางจะสั่นไหวขึ้นมา ม่านหรงตื่นตกใจขึ้นมา ด้วยแผ่นดินรอบกายนางนั้นสั่นไหวแล้วเขย่าจนแผ่นหินนั้นเริ่มจะตกลงมาแล้ว
“กรี้ด ท่านพ่อ ท่านแม่ กรี้ด”
“ท่านพี่แผ่นดินไหว เร่งพาเสี่ยวผิงออกไปเถิดเจ้าค่ะ”
ท่านพ่อและท่านแม่ของพวกนางเร่งรีบดันนางออกไป แต่ทว่าตึกหินที่ลดหลั่นกันลงมาจากยอดเขานั้น เริ่มตกลงมาอย่างรุนแรงและกลิ้งลงมา จนท่านพ่อของนางนั้นต้องดันนางและท่านแม่มุดลงไปใต้โต๊ะไม้ มินานเสียงหินถล่มก็ดังขึ้น ผู้คนร้องโหยหวนกันไปทั่ว
“กรี้ด ท่านพ่อ ท่านแม่ เสี่ยวผิงกลัว”
ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางสลบลงไปแล้ว ภายนอกคล้ายมิมีเสียงใดๆ มีเสียงโคลนถล่มลงมาซ้ำ น้ำไหลลงมาตามช่องโหว่ของบ้านหินที่ผุพังลงมา ม่านหรงกายสั่นไหว นางทั้งหนาวทั้งหิวแต่ทว่านางห่วงท่านพ่อและท่านแม่จนใจจะขาดแล้วในตอนนี้
“ฮรือ สวรรค์ช่วยท่านพ่อ ท่านแม่ด้วยด้วย ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย”
เด็กน้อยร้องไห้ดังขึ้นมาอยู่นาน จนนางนั้นหมดแรงลงไป สุดท้ายแล้วมีเสียงของแผ่นดินสั่นสะเทือน เสียงฝีเท้าม้าดังลั่นขึ้นมา จนร่างบางนั้นเร่งลืมตาขึ้นมาในฝุ่นทราย แล้วหวีดร้องตะโกนออกไป
“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย”
“ท่านแม่ทัพ มีเสียงเด็กร้องขอรับ”
“เร่งใช้ม้าดึงแผ่นหิน แล้วชักลากมันออกไป”
“ขอรับ”
เสียงคนสั่งการเบาๆ แต่ดังก้องไปทั่ว เสียงม้ากระทืบเท้าพ่นลมหายใจฟืดฟาดออกมาและเริ่มชักลากหินออกไป เสียงก้อนหินถัดๆ ไปเริ่มสั่นไหวขึ้นมา เด็กน้อยกายสั่นไหว เร่งขยับกายไปกอดรัดร่างกายของท่านพ่อและท่านแม่ ที่ยังมิฟื้นคืนสติขึ้นมาเลย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอดทนนะ อดทนอีกนิด ก็จะรอดตายออกไปแล้ว “
ร่างเล็กๆ ปลุกปลอบท่านพ่อท่านแม่ของนางอยู่ซักพัก ก่อนที่นางนั้นจะสลบลงไปและเริ่มรู้สึกกายอีกครา เมื่อร่างอุ่นร้อนกายใหญ่โตนั้นโอบอุ้มนางขึ้นมาจากกองซากกำแพงหิน นางลืมตาเพียงน้อยๆ และคว้าเอาหยกห้อยเอวของคนผู้นั้นเอาไว้แน่น ก่อนที่หยกชิ้นนั้นจะอยู่ในมือของนางในยามตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
” โฮ ม่านเอ๋อร์นะม่านเอ๋อร์ เจ้าทำให้ย่านั้นใจมิดีแล้ว โฮ “
เสียงท่านย่าของนางร้องไห้ดังขึ้นมา ตื่นมาอีกครานางพบว่าท่านพ่อและท่านแม่นั้นนอนเป็นผักอยู่ในเตียงแต่ทว่ารอดพ้นความตายมาได้ กว่าที่นางจะวิ่งได้อีกครั้ง กองทหารทั้งหมดก็จากไปแล้ว นางมิยอมคืนหยกนั้นออกไปและเก็บมันซ่อนเอาไว้อยู่ใต้เตียง จากเหตุการณ์นั้นผู้คนอพยพออกไปจากบนเขาจนหมดสิ้น และไปสร้างบ้านเรือนไม้ไผ่อยู่ที่ริมแม่น้ำแทน
ผิงม่านหรงเริ่มเติบโตเป็นเด็กสาว นางมีบุรุษมาชอบพออยู่มากมาย สุดท้ายนางก็มิใส่ใจผู้ใด ในหมู่บ้านมีบุรุษกลัดมันมากมายจ้องคอยดักลวนลามนาง มิว่าจะจับมือของนาง หรือล้อมนางเอาไว้เพื่อลอบดอมดมกลิ่นหอมของเรือนผมนางก็ตาม นางใช้ไม้กวาดและไม้ที่ข้างทางตีคนไปทุกครั้ง
” โอ๊ย นังสตรีบ้า บังอาจทำร้ายข้า บังอาจนัก “
จิ่วซวนผู่บุรุษนักเลงโตร้องผรุสวาทด่าทอนางแล้ววิ่งตามนางมามิหยุด ผิงม่านหรงเร่งฝีเท้าวิ่งจนสุดแรงและกลับไปที่เรือนของนางในทันที ยามถึงที่ภายในเรือน ท่านพ่อของนางออกมาพบเข้าจึงสาดน้ำใส่คนออกไปและด่าทอคนขึ้นมา
“พวกสุนัขขี้เรื้อนคิดจะทำสิ่งใดกับบุตรสาวข้า”
“ฮึ่ม ตาแก่หนังเหนียว บุตรสาวของพวกเจ้าลักขโมยของ พวกเรามาติดตามสิ่งของ ของพวกเราคืน”
ม่านหรงดวงตาสว่างวาบขึ้นมาและคิดเอาไว้แล้ว นางทำทีว่าสิ่งของที่พวกมันตามหานั้นมีค่าและเก็บซ่อนเอาไว้มิให้พวกมันนั้นได้ชม ลงท้ายแล้วพอผู้คนมากมาย และหัวหน้าหมู่บ้านย่อมมีนามล้วนสกุลจิ่ว หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวหานางว่ามีหยกล้ำค่าของพวกมันอยู่ในเรือน ผู้คนรื้อค้นทุบตีท่านพ่อและท่านแม่จนม่านหรงนั้นหวีดร้องดังขึ้นมา สุดท้ายนางจึงทานทนมิได้ ดึงรื้อที่นอนออกมาแล้วโยนกล่องของมีค่าของตัวนางออกไปเสียที่นอกเรือน กล่องไม้ตกลงไปบนพื้นเสียอย่างแรงแตกออกเป็นสองส่วน ปิ่นปักผมของท่านแม่และของตกทอดจากสกุลผิงร่วงหล่นออกมา ก่อนที่ผู้คนจะพบสร้อยไหมมันวาวที่นางมักจะคล้องห้อยเอาไว้อยู่ที่เอว เจ้าอ้วนจิ่วซวนผู่เร่งไปคว้ามันออกมาและร้องตะโกนออกไปในทันที
“นี่ล่ะของข้า นางขโมยหยกของข้าไป”
ผู้ใหญ่บ้านที่มีนามว่าจิ่วกว่านซีเร่งไปคว้าของมีค่านั้นมาดูชม ก่อนจะพบเพียงว่า เจ้าสิ่งของในมือของหลานชายนั้นก็แค่เพียงหินแม่น้ำที่พบได้ทั่วไปที่ริมน้ำ และเด็กสาวผู้นี้ก็เคยติดกายอยู่แทบทุกครา จิ่วกว่านซีหน้าแดงเรื่อและถีบหลานชายของตัวเองลงไป ก่อนจะตะโกนลั่นขึ้นมา
“เจ้าคนโง่ สิ่งนี้มันคือหินในแม่น้ำ แวววาวมากเท่าใดก็เป็นได้เพียงก้อนหิน เจ้ามันโง่เขลายังมิพอ ยังจะคิดใส่ร้ายสตรีผู้หนึ่งด้วยหินในแม่น้ำ ขอโทษนางไปเสีย แล้วอย่ามาก่อเรื่องอันใดต่อไปอีก”
“โถ่ ท่านลุง ข้าเคยเห็นนางพกสิ่งของที่มีค่าจริงๆ นะ มิเชื่อท่านก็รื้อค้นกระท่อมของนางให้ถ้วนทั่ว”
“ฮึ่ม ค้นอีกครา คุ้นดินรอบเรือนของนางเสีย”
หัวหน้าหมู่บ้านแซ่จิ่วยังคงทำเรื่องน่ามิอายมิเลิกรา ผู้คนจุดคบเพลิงรื้อค้นกระท่อมของนางไปทั่ว ขุดคุ้ยแม้กระทั่งในหลุมดินรอบบ้านนาง สุดท้ายแล้วสิ่งของมีค่าในเรือนของนางก็มิมีอีก มีเงินในตัวของท่านพ่อมิมากนัก ดูยากจนมิน่าคบค้าสมาคมด้วยอีกต่อไป