ม่านหรงและพ่อแม่ของนางต่างทำหน้ามิถูก ที่จะต้องแต่งบุตรสาวออกไปให้ท่านแม่ทัพ แต่ทว่าในเมื่อบุตรสาวมีวาสนามากมายเช่นนี้แล้ว จะมิยินยอมได้อย่างไรกัน เช่นนั้นในสามวันถัดมานั้น จวนของท่านแม่ทัพโจวก็ให้เสี่ยวผิงนั้นไปอยู่ในบ้านของคหบดีผู้หนึ่ง แล้วกองทัพสกุลโจวก็แบกเกี้ยวเจ้าสาวสิบคนหามไปรอคอยที่หน้าจวน เจ้าสาวแสนงามแต่งกายเช่นชาวเย่วหลาน นางสวมใส่ชุดแดงเขียวที่แสดงถึงเกียรติยศของสตรี แล้วมีท่านพ่อและท่านแม่ของนางจับจูงมาด้วยกัน ท่านแม่ทัพโจวหัวเราะนางเบาๆ ที่ในวันนี้นางทั้งงดงามและน่ารักอ่อนเยาว์นัก ท่านแม่ทัพแทบจะทานทนรอคอยการเข้าหอมิได้ จึงเร่งไปเปิดเกี้ยวให้นางขึ้นไปและโค้งคำนับท่านพ่อตาแม่ยายไปหนึ่งครา ตามธรรมเนียมของสกุลโจว
ท่านแม่ทัพขึ้นม้าและนำทางเกี้ยวเจ้าสาว วนออกไปโอ้อวดผู้คนในเมืองหลวง แล้วก็วนกลับเข้ามาที่หน้าจวนของสกุลโจว ที่ในวันนี้นั้นมีแขกเหรื่อมามากมาย เกี้ยวหยุดลงไปที่หน้าจวน ท่านแม่ทัพลงมาประคองนางออกไปแล้วส่งวรยุทธออกไปทำลายมันทิ้งลงไปเสีย เจ้าสาวตกใจผวากอดคนไปทั้งกายและประทัดก็ถูกจุดขึ้นข่มขวัญนางไปอีกครั้ง
“ว๊าย อร้า ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าข่มขวัญเจ้าสาวแล้ว นางตกใจไปหมดแล้ว ”
ทุกคนหัวเราะลั่น แม่ทัพโจวอุ้มนางข้ามกองไฟร้อนๆและพานางก้าวเข้าไปในประตูเรือนอย่างมั่นคง จนถึงภายในโถงเกียรติยศที่สลักป้ายบรรพบุรุษนักรบสกุลโจว และมีหุ่นปั้นสวมชุดนักรบและอาวุธต่างๆแตกต่างกัน ด้านในนั้นมีบุรุษนักรบเคราขาวและท่านพ่อท่านแม่ของม่านหรงนั่งอยู่เพียงเท่านั้น ผู้คนต่างมองเข้าไปอย่างใจจดจ่อ เสียงของบุรุษดังทะลุฟ้าเอ่ยวาจาอย่างขึงขังขึ้นมา
”คำนับฟ้าดิน “
“คำนับบรรพบุรุษสกุลโจว และสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อราชสำนัก และบรรพบุรุษสกุลโจว”
“ข้าน้อยโจวอิ่นเซิงทายาทรุ่นที่สิบเก้าขอสาบานว่าข้าและสตรีที่ข้าเลือกนั้นจะจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อราชสำนักและบรรพบุตรสกุลโจว “
”ข้าน้อยผิงม่านหรง ผู้ที่จะแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพโจวอิ่นเซิง ขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อราชสำนัก และบรรพบุรุษสกุลโจว อีกทั้งจะรักและเคารพเชื่อฟังสามีของข้าตลอดไป มิแปรเปลี่ยน “
“คำนับบิดามารดา ”
”คำนับกันและกัน “
เสียงของบุรุษตัวโตกล่าวออกมาเสียงดังลั่น สองร่างค้อมกายลงคำนับกันและกัน แล้วเจ้าบ่าวก็ประคองนางออกมาที่ภายนอก บุรุษส่งเสียงโห่ร้องดังจนสั่นสะเทือนฟ้าดินไปหมด ม่านหรงตัวสั่นน้อยๆแม่ทัพโจวหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ยกถ้วยสุราขึ้นสูงแล้วโห่ร้องดังขึ้นมา
“ข้านั้นมีภรรยาแล้ว ”
“เฮ เฮ เฮ ”
บุรุษยกไหสุราขึ้นมาดื่มกัน สุดท้ายท่านแม่ทัพโจวจึงอุ้มเจ้าสาวแบกขึ้นไปบนหลัง และพานางเดินไปตามทางในสกุลโจวด้วยกัน โดยมีสาวใช้ที่คอยโปรยดอกไม้ใส่คนทั้งคู่ไปตลอดทาง
“ม่านหรงเหตุใดเจ้าจึงตัวเบานัก ท่ีผ่านมาเจ้านั้นมิได้กินข้าวเลยหรอกหรือ ”
ท่านแม่ทัพโจวหยอกนางเล่น ม่านหรงหัวเราะขึ้นมาแล้วกอดรัดคนแน่นขึ้นไป
“หากท่านแม่ทัพว่าข้านั้นตัวเบานัก ต่อไปข้าจะจะกินข้าวของท่านให้ลงไปให้หมดจวน ”
“อรืม สกุลโจวนั้นปลูกข้าวเอง เจ้ามิต้องเกรงว่าจะอดตาย ต่อไปเจ้าจะกินข้าวมากมายเท่าใดนั้น ก็จงกินเข้าไปเถิด ”
สองคนคุยกันอย่างหวานชื่น โจวอิ่นเซิงแบกนางมาจนถึงในห้องหอ ที่ภายในมีแต่นักรบ พวกนางต้องเดินลอดซุ้มกระบี่ไปอีกครา ยามที่ถึงที่เตียงนอนไปจนได้ ทุกผู้คนก็อวยพรให้พวกนางมีบุตรหลานกันมากมาย และออกไปจนหมดสิ้น พิธีการนี้ช่างแปลกประหลาด นางงุนงงอยู่น้อยๆก่อนที่จะถูกเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกไป บุรุษแย้มรอยยิ้มบาน จับแก้มของนางดึงเบาๆ
“งดงามนัก ข้ามิคิดว่าการโป้ปดในครานั้น จะทำให้ข้านั้นได้ภรรยาสาวมาจริงๆ”
“ข้านั้นคิดอยู่ตลอด ว่าหากได้พบเจอท่านผู้ที่ช่วยเหลือท่านพ่อท่านแม่นั้น ในชีวิตนี้ ข้าสาบานว่าจะทำทุกสิ่งตอบแทนท่าน ”
“อร่า สวรรค์ช่างเล่นตลกแล้ว ข้าอยู่ในสนามรบมายาวนาน คิดว่าชีวิตนี้อาจจะได้ตายก่อนที่จะได้มีภรรยา มิคิดว่าในยามนี้ ตรงหน้าของข้านั้น จะมีภรรยางดงามเยาว์วัยเฉกเช่นนี้ ช่างเป็นวาสนาของข้าแล้วจริงๆ ”
โจวอิ่นเซิงชื่นชมนาง ช่วยนางปลดมงกุฎเจ้าสาวออกไปเสีย ยามที่เส้นผมของนางตกลงมายาวสยาย โจวอิ่นเซิงก้มลงชนหน้าผากกับนางเบาๆ ดึงเส้นผมของนางมาดอมดมลงไปในคราหนึ่ง แล้วทำสายตาระยิบระยับขึ้นมา นำผมของทั้งคู่มาผูกรัดกันไว้ก่อนที่จะตัดเส้นผมคู่นั้นลงไปวางไว้ในฝ่ามือของนางเสีย
”ต่อไปนี้ข้าจะแก่เฒ่าไปพร้อมกันกับเจ้า ข้าคงต้องรบกวนภรรยาแสนหวานให้ช่วยดูแลสามีชราของเจ้าต่อไปด้วย “
ม่านหรงหน้าแดงขึ้นมามาก นางหัวใจเต้นตึ่กตั่ก ก่อนที่ท่านแม่ทัพนั้นจะถอดผ้าออกไปจนเหลือแต่กางเกงตัวในเพียงตัวหนึ่ง ใบหน้าหวานหันหน้าหนีออกไป ท่านแม่ทัพโจวหัวเราะขึ้นมาและขยับขึ้นมาใกล้ๆนาง
“ทำไม เมื่อหลายวันก่อนก็ได้เห็นร่างกายของข้าแล้ว ยังมิชินอีกเช่นนั้นหรือ ”
ม่านหรงดันคนออกไปและขยับกายจะถอยหนี แต่ทว่าบุรุษนั้นกอดรัดนางจนแน่นและหอมแก้มของนางลงไปอย่างหนักหน่วง
”อร่า แก้มหอมนัก ผู้ใดว่าจะทำทุกสิ่งเพื่อข้าเล่า ช่างกล่าวออกมาได้โป้ปดมากเสียจริง “
ท่านแม่ทัพเอ่ยเย้าหยอกนางขึ้นมา ม่านหรงกายสั่นไหวระริก นางยังจดจำได้ดีที่ท่านแม่ทัพรุกรานนาง ทั้งเจ็บทั้งเสียวอยู่ภายในกาย กายทั้งกายบีบรัดจนสั่นสะท้านไปหมด ในสามวันนั้นท่านแม่ให้นางศึกษาตำราของเจ้าสาว ท่านแม่สอนนางให้บุรุษนำทางไป แต่ทว่ากายของท่านแม่ทัพนั้นทั้งร้อนและแข็งแรงนัก สัมผัสเพียงแค่ผิวเนื้อ นางก็สั่นไหวไปทั้งกายแล้ว คิดล่องลอยไปมินาน สายรัดเอวของนางก็หลุดออกไปแล้ว บุรุษกอดรัดนางและล้วงฝ่ามือร้อนๆขึ้นมาจากชายเสื้อ มินานปลายนิ้วหยาบระคายก็ป่ายปัดยอดอกของนางจนยอดอกของนางแข็งชูชันขึ้นมา นางตื่นตระหนกเสียวสะท้าน พยายามดิ้นรนขึ้นมาอีกครั้ง
”อร้า อย่าเจ้าค่ะ อร้า อร้า “
”อืม มิต้องกลัว สตรีสาวที่มิผ่านมือของบุรุษมาก่อนนั้น ย่อมตื่นตระหนกกันทั้งนั้น ขอเพียงเจ้าเชื่อฟังข้าในคราแรก เพียงเจ็บปวดแค่เพียงนิด ต่อไปนั้นก็จะหฤหรรษ์แล้ว อร่า ยอดอกนุ่มนิ่มกลมกลึงนัก อยากกัดลงไปในปากเสียจริงๆ อร่า “
บุรุษผู้หิวโหยหน้ามืดตาลายชื่นชมนางไปเสียในทุกสิ่ง ในสมองเคยฉลาดเท่าใดก็ลืมเลือนไปจนสิ้นแล้ว คิดในใจว่าราตรีนี้ต่อให้แต่งงานกับสายลับก็ช่างเถิด สายลับอ่อนเยาว์เช่นนี้จะทำอันใดได้มากเล่า แม่ทัพโจวดีใจที่สุดที่ยามแรกนั้นมิตอบรับหนังสือกลอนนกคู่รักของท่านหญิงสกุลลั่ว คิดในใจเพียงนิดก็แลบลิ้นเลียใบหูขาวลงไป ยามที่นางสั่นสะท้านไหว ช่างสุขใจสั่นไปทั้งกาย มังกรแข็งตั้งชูชันขึ้นมาแล้ว
”อร่า มังกรของข้ายังใช้ได้อยู่หรือนี่ รบราหนักหน่วงมาก็นานปี มิได้รู้สึกผ่อนคลายคึกคักมากมายเฉกเช่นนี้ “
แม่ทัพโจวคิดในใจตน ยกนางขึ้นไปบนตัก แล้วดึงรั้งกางเกงตัวในของนางโยนทิ้งไปเสีย ยามที่นางรู้สึกกายอีกครา นิ้วร้ายกาจนั้นก็บดขยี้ลงไปที่ตุ่มไตน้อยๆบนร่างของนางแล้ว”
“อร้า ซี้ด อร้า “
”มิต้องกลัวแค่จะเสียวซ่านทรมานนัก ปลดปล่อยมันออกมา มิต้องกลัว อร่า “