ยามตื่นขึ้นมาท่านแม่ทัพโจวได้ยืนถือแส้และออกไปชำระความในยามราตรีเสีย ท่านแม่ทัพโจวตะโกนลั่นขึ้นมา
“มันผู้ใดไปรบกวนข้าเมื่อยามราตรีที่ผ่านมานั้น จงมอบตัวเสีย ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โถ่ ท่านแม่ทัพ ยามราตรีนั้นเป็นธรรมเนียมของบุรุษเช่นเราในการไปรบกวนเจ้าสาว ท่านก็อย่าวู่วามไปเลย ว่าแต่ท่านนั้นมีภรรยาเด็กเช่นนั้น ระวังเรี่ยวแรงจะถดถอยนะขอรับท่านแม่ทัพ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “
แม่ทัพโจวกายสั่นระริก ที่ว่าจะออกมาทุบตีคนก็มิอาจทำได้อีก ยามที่ผู้คนทักไปถึงสาวน้อยที่ในเรือน ร่างกายแกร่งก็เพ้อฝันขึ้นมา แล้วเร่งรีบนำสาวใช้เข้าไปปรนนิบัตินาง ขยับกายใหญ่โตก้มลงแตะหน้าผากกับหน้าผากนุ่มแล้วถามไถ่นางขึ้นมา
“ป่วยไข้เจ็บปวดกายแล้วหรือไม่”
ใบหน้าหวานแดงขึ้นมา นางพยายามยันกายขึ้นแต่ก็ต้องร้องครวญครางขึ้นมาอีกครั้ง เพราะร่างกายนั้นร้าวระบมไปจนหมดทั้งกายแล้ว
“อร่า เจ็บเจ้าค่ะ หลังของข้า อร้า ”
“ฮร่า แย่เสียแล้ว พวกเจ้าไปตามมารดาของนางมาที่นี่เสีย ให้ท่านแม่ยายนั้นช่วยเหลือนางไปเถิด หากว่าต้องตามท่านหมอหญิงก็ไปตามมาซักนางเถิด ข้านั้นมิรู้ความใดในเรื่องของสตรีนัก ”
“คิก ท่านแม่ทัพเจ้าคะ อาจูคิดว่าฝุเหรินนั้นคงเจ็บปวดกายก็เพราะท่าน ดื่มยาแก้ไข้ซักเล็กน้อยก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ ”
“ฮร่า เช่นนั้นเร่งไปนำมาพวกเจ้ารอคอยสิ่งใดเล่า ”
”เจ้าค่ะ “
แม่ทัพโจวทำท่ามิถูกนัก เห็นนางมองค้อนส่งมาให้ก็ใจเต้นดังขึ้นมา ขยับกายไปกอดรัดและลูบแขนขานางลงไป ร่างบางดิ้นขลุกขลักทุกตีคนขึ้นมา
“ยามทิวาฉายท่านอย่าลามกนัก ”
“เอ้อ มิใช่ ข้ามิได้คิดเช่นนั้น เอ้อ หากเจ้ายังมิหายดี ข้านั้นยังมิคิดรังแกเจ้า ”
แม่ทัพโจวที่ขึงขังเอ่ยกึกกักมิชัดคำขึ้นมา ใบหน้าหวานแดงระเรื่อและสงบนิ่งลงไปเสีย นางมิรู้ว่าจะเอ่ยอันใดได้ นางมิเคยมีสามีมาก่อนนี่ อีกทั้งนางก็เพิ่งเคยรู้จักกัน ยังมิรู้เลยว่าท่านแม่ทัพนั้นมีนิสัยอย่างไรเสียอีกด้วย
“เอ่อ หากว่าข้านั้นหายดีแล้ว จะตื่นไปช่วยงานทำครัวนะเจ้าคะ ซักผ้าก็ได้เจ้าค่ะ ที่ผ่านมาข้าก็ช่วยท่านแม่อยู่เจ้าค่ะ ”
“ชู่ว มิเอาน่า ท่านแม่ของเจ้านั้น ต่อไปเป็นเพียงคนคุมคนครัวมิต้องทำงานใดๆต่อไปแล้ว ส่วนท่านพ่อของเจ้านั้นให้คุมพ่อบ้านของสกุลโจวไปแทนข้า ยามแรกข้านั้นคิดทดลองเจ้า แต่ทว่าใบหน้านี้ล่อลวงข้าได้เสียแล้ว ข้านั้นอยากมีภรรยา เช่นนั้น ต่อให้ต่อไปนี้พวกเจ้านั้นจะเผาจวนของสกุลโจวจนลุกไหม้ ข้านั้นก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ”
“มิได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ ท่านพ่อของข้านั้นมิใช่ผู้คนที่เป็นสายลับ พวกเราเพียงเกี่ยวพันกับบุญคุณของพวกท่านตั้งแต่แรก อีกทั้งหยกประจำการนั้นก็ถูกเด็กมิรู้ความเช่นช้านั้นคว้าติดมือมา มิใช่ทุกเรื่องที่จะแต่งขึ้นมาได้ง่ายดายเฉกเช่นนั้น แต่ทว่ามันก็เป็นจริงแล้วเจ้าค่ะ ข้าเพียงต้องการตอบแทนท่าน ท่านให้พวกเราไปตายพวกเราก็จะไป อุ๊บ อรื้อ “
ม่านหรงเอ่ยขึ้นมายังมิทันจบ ท่านแม่ทัพโจวก็บดจุมพิตปิดปากนางลงไป แล้วตวัดแผ่นลิ้นสองสามคราจนคนนั้นอ่อนยวบลงไปแล้ว
“ฮร่า ตายอันใด ข้าเพิ่งมีภรรยายังมิมีทายาท หากเจ้ามีคุณธรรมจงเร่งมีบุตรให้กับข้า ท่องจำเอาไว้ว่าหากเจ้าตายในยามที่ข้านั้นยังมิมีบุตร เจ้านั้นช่างชั่วช้าเนรคุณแล้ว ”
ท่านแม่ทัพโจวเอ่ยเสมือนว่านางทำเรื่องใหญ่ ม่านหรงอับอายหน้าแดงขึ้นมาแล้วไต่ถามคนขึ้นมาอีกครั้ง
“กว่าที่พวกเรานั้นจะมีบุตรได้ ร่างกายของข้านั้นมิผุพังไปเสียก่อนหรือเจ้าคะ ท่านแม่ทัพ ”
“อร่า ราตรีที่ผ่านมานั้น ข้านั้นหลงลืมตนเพราะหิวกระหายมาแรมปี ตั้งแต่สวมหมวกและล่วงเลยวันเวลามา ข้าก็มิใคร่จะวุ่นวายกับสตรีนัก เช่นนั้น เรื่องราวเช่นนี้อาจจะหนักหน่วงในคราแรก แต่ยามต่อๆไปนั้น ข้าจะทนุถนอมเจ้าให้มาก อร่า ข้ามิทำรุนแรงเช่นนั้นแล้ว ข้าตัวโตไปมากกว่าเจ้าแล้วจริงๆ “
ท่านแม่ทัพโจวผู้เคยแสนชาญฉลาดเอ่ยวาจาโง่งมออกมาอย่างมิรู้ตน ก่อนที่สาวใช้นั้นจะไปนำอาหารและยาของฝุเหรินมาให้แล้ว อาจูยิ้มจางๆแล้วช่วยเช็ดใบหน้าและผิวกายของฝุเหริน โดยที่มีคนตัวโตนั้นนั่งมองชมอยู่เช่นนั้น ม่านหรงกายแดงไปทั้งกาย นางจะด่าท่านแม่ทัพต่อหน้าสาวใช้ก็มิได้ นางจึงต้องอดทนอับอายไปเช่นนั้น จนอาจูนั้นผลัดผ้าให้นางได้
”อาจูอยู่ในห้องมิไกลนะเจ้าคะ ต่อไปฝุเหรินจะเรียกใช้สิ่งใดก็เรียกหาอาจูนะเจ้าคะ ผู้น้อยจะมิไปที่ใดห่างไกลนัก ฝุเหรินอยู่ในจวนใหญ่เช่นนี้ต้องมีผู้คนติดตามอยู่ทุกยามนะเจ้าคะ “
”อรืม ขอบใจเจ้า ข้าจะจดจำเอาไว้ให้ดี “
แม่ทัพโจวยิ้มจางๆมองดูนางอย่างมิเบื่อหน่ายเลย ใบหน้าคมยิ้มขึ้นมาน้อยๆที่มุมปากแล้วเอ่ยบอกนางขึ้นมาเบาๆ
”ต่อไปข้าจะให้พ่อบ้านไปนำอาจารย์สอนอักษรและวาดภาพมาสอนเจ้า อีกทั้งร่ำเรียนวิชาดนตรีไว้บ้างก็คงดี อยู่ในจวนนี้อย่างไรก็ต้องอ่านเขียน เพราะหากเกิดมีสงครามเจ้าจะได้โต้ตอบกับข้าได้ “
”เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ “
”อรืม ต่อไปนี้ขอเพียงเจ้าเชื่อฟังข้าให้ดีอย่าดื้อรั้น อยากได้สิ่งใดนั้นก็มิยากเย็นเท่าใดเลย “
บุรุษเอ่ยเช่นนั้นแล้วลุกขึ้นมานั่งกอดนาง ก่อนจะจุมพิตนางลงไปอีก เอ่ยเอาใจนางขึ้นมา
”ข้าเพิ่งกลับเมืองหลวงมิใคร่ได้เดินตลาดนัก หากเจ้าหายดีแล้วเราไปเดินย่านร้านค้า ช่วยพ่อบ้านเลือกหาวัตถุดิบปรุงอาหารกันดีกว่า ข้าอยากเพียงเที่ยวชมตลาดของเมืองหลวง หากมิทำความรู้จักร้านรวงเอาไว้เสีย ภายหน้าย่อมจะมิสามารถหาข่าวสารใดๆได้“
”เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ“
”อรืม ข้าจะออกไปฝึกยุทธแล้ว เจ้านอนที่นี่อย่าไปที่ใดเล่า ในจวนส่วนในนี้มิมีอันตรายนัก แต่ทว่ารอบจวนนี้มีบุรุษมาก จะอย่างไรข้านั้นก็มิไว้ใจเลย “
“เจ้าค่ะ ”
ม่านหรงรับคำออกไป ก่อนที่อาจูจะถือผลไม้และนำกล่องเครื่องประดับเข้ามาให้
”นายหญิงเจ้าคะ เครื่องประดับนี้ท่านแม่ทัพมอบให้ท่าน เพราะในเรือนนี้มิมีสตรีแล้ว สิ่งของพวกนี้เก่าไปเสียหน่อยแต่ทว่าก็คือสิ่งของตกทอดมาจากมารดาของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ “
”อร่า สิ่งของมีค่าเช่นนี้ ข้านั้นรับไว้มิได้หรอกอาจู “
”ต้องรับนะเจ้าคะ ท่านคือสตรีของสกุลโจว ต่อไปท่านมิใช่สตรีบ้านป่าอีกต่อไปแล้ว หากท่านมิแต่งกายให้ดี ต่อไปท่านแม่ทัพจะถูกผู้อื่นดูแคลนได้ “
อาจูข่มขู่นางออกไป เพราะในจวนนี้มิมีสตรีมานานแล้ว การมีสตรีในจวนนั้น จะทำให้อาจูนั้นมีเบี้ยหวัดมากขึ้นตามไปด้วย เช่นนี้ต้องล่อลวงนาง เพื่อให้นายหญิงนั้นสามารถควบคุมจวนหลังนี้ได้ ต่อไปนางก็จะอยู่เหนือข้ารับใช้ อยู่ใต้นายหญิงผู้นี้เพียงผู้เดียว อาจูคิดชั่วร้ายขึ้นมาในใจตนและฉีกยิ้มเจิดจ้าออกไปในทันที
”เอ้อ เช่นนั้นเอง ข้าควรจะเรียนรู้การแต่งกายซินะ “
”นายหญิงมิต้องกังวลไปนะเจ้าคะ หากว่ามีกูกูมามา มาสั่งสอนท่าน ต่อไปทุกสิ่งในเรื่องสตรีนั้นท่านจะมิต้องกังวลต่อไปอีก สตรีที่สอนมารยาทนั้น จะสอนสั่งตั้งแต่การเลือกผืนผ้าหรือการวางท่วงท่าในยามเดินเลยเจ้าค่ะ ข้านั้นเคยเห็นพวกนางสั่งสอนคุณหนูที่จวนของผู้อื่นมาแล้ว ท่านมิต้องคิดสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ หน้าที่ของท่าน ก็ทำเพียงแค่เอาใจท่านแม่ทัพโจวเอาไว้ให้มาก หากท่านแม่ทัพนั้นอารมณ์ดี ต่อไปในจวนนี้ก็สงบสุขแล้วเจ้าค่ะ “