ก้าวผ่านเวลา

1859 Words
มิคกี้เปลื่ยนช่องไปเรื่อยๆก็ยังมีรายเก่าๆละครเก่าๆ เขาเลยคิดว่าช่องต่างๆรีรันละครกันทุกช่อง จนมิคกี้ย้ายมาที่ช่อง5 เป็นรายการข่าวภาคเย็น “สวัสดีครับ วันนี้วันที่ 1 มีนาคม พ,ศ,2538 เป็นวันหวยออก ผลรางวัลที่1 411454 ครับ” มิคกี้เริ่มงงและสับสนเพราะปีนี้มันปีที่2567 ทำไมข่าวรายงานหวยออกเป็นวันที่1มีนาคม 2538 มิคกี้หันไปหาเกรทที่เปลื่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว และกำลังจะขึ้นไปนอนบนเตียง “ปีนี้ปี 2567ไม่ใช่เหรอ ทำไมนักข่าวบอกว่า 2538ว่ะ แค่วันเดือนปียังรายงงานผิดเลย”มิคกี้พูดขึ้น “นายนั่นแหละประสาทแดก นักข่าวเขาก็พูดถูกแล้วนี่ปีนี้ พ.ศ.2538” “ไม่ใช่ปีนี้ 67” “ยังจะมาเถียงนายดูปฏิทินโน้นปีนี้ 38” “นายนั่นแหละประสาทปีนี้67”มิคกี้เดินไปดูปฏิทินซึ่งก็เป็นปี2538 จริงๆ “เป็นไงเชื่อหรือยัง” “ไม่ใช่หรอก ปฏิทินปีนี้67ต่างหาก”ถึงมิคกี้จะเถียงเกรทคอเป็นเอ็น แต่เขาก็หวั่นใจอยู่เหมือนกัน มิคกี้จึงย้ายช่องทีวีใหม่ซึ่งก็มีแค่ 3 57 9 11 เขาย้ายวนมาวนไปก็มีแค่ห้าช่อง จนเขาเริ่มหงุดหงิดจนเหวี่ยงรีโมททิ้งบนที่นอน “ทำไมมีแค่ห้าช่องเอง เดี๋ยวนี้เป็นทีวีดิจิตอลแล้วมีเป็นร้อยช่อง” “มันมีแค่ห้าช่องจะเอาที่ไหนมาร้อยช่อง” “อะไรของมันว่ะเนี้ย”มิคกี้นั่งลงบนเตียงนอนด้วยความกลัดกลุ้มและมึนงง “จะไปซีเรียสทำไมเปิดหนังดูดีกว่า” “หนังอะไรของนาย” “ก็หนังม้วนวีดีโอที่ใต้ทีวีนะ ดูหน่อยซิว่ามีเรื่องอะไรบ้าง” “ที่นี่ยังใช้ม้วนวีดีโออยู่อีกเหรอ มันต้องเป็นดีวีดีซิ ดีวีดีนี่ยังถือว่าเก่ามากเลยนะ นี่อะไรม้วนวีดีโอ” “เรื่องมากจริงพ่อคุณ บ้านเรายังไม่มีอย่างนายเลย ที่บ้านเราเป็นทีวีสีสิบสี่นิ้วอยู่เลย เครื่องเล่นวีดีโอก็ไม่มีแบบบ้านนาย” “มีด้วยเหรอทีวีสิบสี่นิ้ว” “ก็มีสิ” “ที่นี่มันต่างดาวหรือไง เป็นดาวอะไรถึงยังไม่ทันสมัย” “ดาวโลกไงถามมาได้” มิคกี้ไม่อยากเถียงกับเกรทเข้าจึงเดินไปที่ทีวี และก้มลงดูม้วนวีดีโอ ซึ่งหนังแต่ละเรื่องที่มีเก่ามาก บางเรื่องเขาแท่บไม่รู้จักด้วยซ้ำ “มีเรื่องอะไรบ้าง”เกรทถาม “หนังฝรั่งก็มี ไททานิค สปีค จูลาสิคปาร์ค หนังไทยก็มีนะ เก่าๆทั้งนั้น นายมาดูเองเหอะ” “เอาเรื่องอะไรก็ได้นายเปิดเลย” “ไททานิคก็แล้วกัน” “ฮือ” “นายมาเปิดเองเราเปิดไม่เป็น”หลังจากนั้นมิคกี้เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขา ส่วนเกรทก็ไปเปิดวีดีโอเพื่อดูหนัง มิคกี้ไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็มี 2538 และต่ำลงไปกว่านั้น ส่วน พ.ศ.ที่สูงกว่าหาไม่เจอแม้แต่อย่างเดียว มิคกี้ค้นหลายสิ่งหลายอย่างจนมาถึงแฟ้มเอกสาร เขาจึงเปิดออกมาดู ซึ่งเป็นวุฒิการศึกษา มัธยมศึกษาปีที่6 ไม่ว่าจะเป็นชื่อโรงเรียน ชื่อของโรงเขา ยิ่งปีการศึกษา ทุกอย่างล้วนไม่ใช่เขา ยกเว้นรูปถ่ายที่ติดวุฒิการศึกษาที่เป็นใบหน้าของเขา แม้แต่บัตรประจำตัวประชาชน ก็ไม่ใช่มาสเตอร์การ์ด แต่เป็นกระดาษที่เคลือบพลาสติก มิคกี้เริ่มสับสนและเริ่มคิดทุกเรื่องราว เริ่มตั้งแต่ ที่เขาโดนลูกฟุตบอลกระเด็นใส่หน้าจนสลบ ตื่นมาอีกทีมิคกี้ก็มาอยู่ที่แห่งนี้ แต่หลักฐานเพียงแค่นี้เขายังไม่เชื่อ ว่าได้หลงยุคมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ มิคกี้ครุ่นคิดจนรู้สึกตัวอีกที เพราะเกรทได้มาสะกิดด้วยความสงสัย เนื่องด้วยเขาเห็นมิคกี้เงียบไปเป็นเวลานาน “คิดอะไรเงียบไปเลย”เกรทมีท่าทีที่สงสัยในตัวของมิคกี้ “เราสงสัยว่าปีนี้มันปี พ.ศ.อะไรกันแน่” “ปี 2538 หรือไม่ก็ 1990ไง” “เราไม่อยากเชื่อเลย” “อย่าไปคิดอะไรมากเลย นายอาจยังเบลออยู่เพราะโดนต่อยเมื่อคืนก่อน ให้เราต่อยซ้ำไหมจะได้หายเบลอ” “พูดเป็นเล่นไปได้ เราไม่เคยไปต่อยมวย” “ท่าจะเป็นหนัก แล้วรูปถ่ายนั่นอะไร”เกรทชี้ไปรูปถ่ายรับรางวัล ที่เขาต่อยมวยชนะ “เฮ้ย มันอาจคนหน้าเหมือนก็ได้ พ่อกำนันนึกว่าเราเป็นต่อ เลยลักพาตัวเรามา”มิคกี้คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ ยังน่าเชื่อกว่าว่าหลงมาในอดีต “เอ่อ นายอยากเชื่อว่าอะไรก็เรื่องของนายก็แล้วกัน เราจะดูหนังดีกว่าไม่อยากเถียงกับนายแล้ว พูดอะไรมาแต่ละอย่างเรานี่สับสน ไม่รู้ว่าตอนนี้นายกำลังคิดอะไรอยู่ เป็นอะไร ถ้าว่างไปหาหมอบ้างน่ะ” “สงสัยต้องไปหาหมอจริงๆแล้วแหละ” ตอนนี้เขาอยู่ในห้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นของสนามฟุตบอล“ก่อนไปหาหมอดูหนังก่อนดีกว่า” “ไม่อยากดูหนังแล้ว อยากจะดูนายมากกว่า”มิคกี้ไม่อยากคิดอะไรมาก ก็เลยตัดสินใจดูเหตุการณ์ต่างๆไปเรื่อยๆก่อน “จะดูอะไร เมื่อกี้ก็เห็นกันหมดแล้วนี่ รวมทั้งของนายเราก็เห็นหมดไม่มีเหลือ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กจนโตจำได้หมดแล้ว ว่าเป็นอย่างไรมีอะไรที่ไหน พอเถอะเราจะดูหนังอย่ามารบกวน” “ก็ได้ ถ้างั้นขอกอดหน่อย”มิคกี้โอบกอดเกรทและหอมแก้ม โดยที่เกรทไม่ทันตั้งตัว เกรทตกใจจึงถีบมิคกี้อย่างแรงจนตกเตียงหัวกระแทกพื้น มิคกี้รู้สึกมึนๆจนสลบหลับใหลไปในที่สุด “เฮ้ย มิคกี้ตื่นซิวะ”มิคกี้ค่อยๆลืมตาขี้น สิ่งที่เขาเห็นก็เป็นบรรดาเพื่อนในทีมฟุตบอล “ตกอกตกใจเลย นายนี่เนาะฟุตบอลโดนนิดหน่อยก็เป็นลมไปได้”ยูโรเพื่อนนักฟุตบอลต่างมหาลัยพูดขึ้น “นายลองมาโดนไหมล่ะ”มิคกี้พยายามประคองตัวลุกนั่ง เพราะ “พูดแค่นี้ทำเป็นน้อยใจ” “ผลเป็นไงบ้างไง” “สามศูนย์”เราแพ้ “แพ้ได้ไง”มิคกี้รู้สึกไม่พอใจ “ก็ต้องโทษนายที่เป็นลมไง เพราะขาดคนทำประตู” “เหรอ”มิคกี้ครุ่นคิดและส่ายหัว “ฮือ เอาเหอะกีฬาก็แบบนี้แหละ มีทั้งแพ้ชนะคละเคล้ากันไป อย่าไปซีเรียสเลย” “ฮือ” “เดี๋ยวเราไปส่งนายที่บ้านเอง ดูนายมึนๆอยู่นะ”ยูโรพูดขึ้นมา เพราะเห็นมิคกี้นั้นมึนๆงงๆนิ่งๆไป ที่มิคกี้นิ่งไปเพราะว่าเขากำลังคิดเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เหมือนจริงมาก แต่ในเมื่อเขาตื่นมาอยู่ในที่เดิม มิคกี้พลางคิดไปว่าน่าจะเป็นความฝันมากกว่า “ก็ได้นายไปส่งเรา”มิคกี้ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเดินกลับบ้าน ในระหว่างทางที่กลับบ้านนั้น มิคกี้ก็อดคิดถึงเหตุการณ์ในช่วงที่เขาสลบไม่ได้ เขาคิดวนไปวนมาจนยูโรผิดสังเกต เขาจึงหันมาถามมิคกี้ด้วยความสงสัย “นายเป็นอะไรไป ตั้งแต่ตื่นมารู้สึกจะยังไม่หายมึนๆงงๆนะ เอาแบบนี้แวะหาหมอก่อนกันดีไหม เผื่อสมองได้รับการกระทบกระเทือน” “ไม่หรอก เราไม่ได้เป็นอะไร แต่เรางงอยู่ว่าตอนสลบไป ฝันเหมือนจริงมากเลย ฝันว่าไปอยู่ในยุค 90 โน้น” “ไม่แปลกก็นายชอบฟังเพลงยุคเก้าศูนย์นี่” “อาจจะใช่”มิคกี้ถอนหายใจ มิคกี้หันไปมองยูโร เพื่อนที่ไม่ได้สนิทมากนัก เพราะอยู่ต่างมหาวิทยาลัย ที่รู้จักกันเพราะเล่นฟุตบอลทีมเดียวกัน และยูโรเป็นคนเดียวที่ไม่เคยล้อหรือแซวเขา ที่มีภาพหลุดถ่ายคู่กับเพื่อนร่วมห้อง ลงในโซเซียลที่ดังกระหึ่มมาพักหนึ่ง เพราะมิคกี้เป็นลูกชายคนเดียว ของรัฐมนตรีพายัพกับคุณหญิงโสภิตา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรมักจะเป็นข่าวดังเสมอ “นายขับรถพาเรามาส่งบ้านไม่กลัวเป็นข่าวเหรอ”มิคกี้ถามขึ้น “ข่าวอะไร”ยูโรหันมามอง “แบบว่าเป็นคู่จิ้นอย่างเมื่อก่อน ที่เราเคยมีข่าวกับบอมบอมลูกนักธุรกิจชื่อดังน่ะ” “ไร้สาระ ยุคสมัยเปลื่ยนไปหมดแล้ว จะชอบใครรักใครแบบไหน มันก็ไม่ต่างกับคู่รักชายหญิงหรอก” “นายคิดแบบนั้นจริงเหรอ” “ก็จริงซิ” “ถ้าสมมุตินายเป็นข่าวกับเราล่ะ” “ไม่สน ก็แค่ข่าวเดี๋ยวก็จางหายไป ก็เหมือนข่าวของนายที่ตอนนี้คนไม่ได้สนใจอะไรเลย” “ดีเนาะนายไม่แคร์สังคมและใครเลย” “จะแคร์ทำไม ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็ดีน่ะ” “อะไรนะ” ได้ยินไม่ถนัด “อ๋อ เราหมายถึงถ้าเรามีข่าวกับนาย เราก็จะลองคบนายดูก็แค่นั้น เผื่อเจอรักแท้ เพราะตอนนี้เรายังไม่มีแฟนไง ก็เลยเหงาๆอยากมีแฟนบ้างสักคน” “นายจะจีบเราเหรอ” “จีบได้ไหม นายก็เลิกกับลูกนักธุรกิจคนนั้นแล้วนี่” “นายพูดจริงเหรอ” “จะให้พูดจริงหรือพูดเล่นล่ะ” “นายพูดไปเรื่อย”มิคกี้แอบชำเลืองยูโร ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกับยูโร “ใช่ เราพูดไปเรื่อยนั่นแหละ นายอย่าคิดอะไรมากเลย”ยูโรหัวเราะแห้งๆ “ว่าแล้ว สุดท้ายนายก็แซวเราแบบคนอื่น” “เปล่าอย่าคิดกับเราในแง่ร้ายสิ” “เอาน่ามันเป็นเรื่องจริงนี่ ใกล้ถึงบ้านเราแล้วเลี้ยวซอยหน้าเลยนะ” “ฮือ” “บ้านนายน่าจะหลังใหญ่มากเลยนะ” “ก็นิดหน่อย เดี๋ยวนายก็เห็น” ยูโรขับรถเลี้ยวเขาซอยได้ไม่นานก็ถึงบ้านของมิคกี้ ยูโรมองเข้าไปข้างใน ซึ่งเป็นบ้านที่หลังใหญ่โต อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิดเพื้อน “หลังใหญ่จริงๆด้วย” “เข้าไปข้างในไหม ไปหาอะไรกินกัน” “ไม่หรอก เอาไว้หลังก็แล้วกัน อย่าลืมชวนเราล่ะ”ยูโรยิ้ม “ไม่ลืมหรอก ว่าแต่นายจะมาจริงหรือเปล่าก็แค่นั้นแหละ” “มาสิ” “ถ้างั้นเจอกันวันหลัง คงอีกหลายวันกว่าเราจะไปซ้อมบอลนะ” “เราคงคิดถึงนายเนาะ ถ้างั้นเราจะโทรหาก็แล้วกัน” “ฮือ”มิคกี้ลงจากรถพร้อมกับความแปลกใจในตัวยูโร ซึ่งมิคกี้รู้สึกได้ว่ายูโรรุกหนักมาก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD