ตอนที่ 5 นายจ้าง ลูกจ้าง 1/2

3257 Words
เรือนไทยที่เป็นเหมือนบ้าน และออฟฟิศของไร่สุขเกษมเปรมปรีดิ์แห่งนี้ มีทั้งหมด 2 ชั้น โดยเจ้าของไร่สั่งให้สร้างตามแบบเดิมที่ถูกไหม้ไป ไม่ใช่ว่าอยากจะให้กลับมาเป็นแบบเดิมหรอก แต่เพราะขี้เกียจออกแบบใหม่ต่างหาก แต่ก็มีเปลี่ยนแปลงอยู่เล็กน้อย ให้สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ไม่ว่าคุณจะทำงานส่วนไหน ก็สามารถมาพักพิง ไม่แบ่งชนชั้นเจ้านาย และลูกน้อง ชั้นแรกมีห้องอาหารขนาดใหญ่ เป็นสวัสดิการของคนงานที่นี่ ออสจ้างแม่ครัวไว้ ซึ่งก็เป็นคนเก่าแก่คนหนึ่งของไร่แห่งนี้ คอยทำอาหารให้คนงานในราคาเท่าทุน วัตถุดิบส่วนใหญ่ก็หาได้จากในไร่ บางวันแทบไม่ต้องออกไปซื้อของมาทำอาหารเลย แต่ถ้าใครไม่มีก็กินฟรีได้ ซึ่งเขาเองก็กินแบบไม่มีเงินกระเด็นออกกระเป๋าตลอด ถัดมาใกล้ ๆ เป็นบ้านพักคนงาน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานใหม่ที่มาทำงานที่นี่ เนื่องจากไร่แห่งนี้ห่างไกลจากตัวเมืองมากนัก แถมยังเดินทางลำบาก หากไม่มีรถส่วนตัว ก็มีแค่รถโดยสารที่ผ่านวันละเที่ยวเท่านั้น ออสเลยตัดสินใจสร้างบ้านพักคนงานนี้ใกล้ ๆ เพราะไปมาสะดวก อีกทั้งก็ใกล้ห้องอาหาร คนงานจะได้ไม่หิ้วท้องรอ ส่วนชั้น 2 เป็นในส่วนที่อยู่ของเจ้าของไร่ และออฟฟิศงานเอกสารทั้งหมด มันกว้างมากพอที่จะยัดออฟฟิศเข้าไปพร้อมกับห้องนอนของตัวเองได้ เพียงเพราะไม่ต้องการเดินทาง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือขี้เกียจนั่นเอง เพียงเปิดประตูห้องนอนของเขาออกมา ก็เจอโต๊ะทำงานของตัวเอง และคนอื่น ๆ ตั้งเรียงรายทักทายแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีห้องนอนรับแขกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องเขา และโซนรับแขกใกล้ ๆ กัน เผื่อเอาไว้พูดคุยงานกับลูกค้าที่นาน ๆ จะมาเยี่ยมสักที แม้หลัก ๆ จะเป็นที่นอนกลิ้ง ไม่ก็เอาไว้เอนหลังของเจ้าของไร่ก็ตาม เสียงเจื้อยแจ้วของใครสักคน ทำให้คนที่หลับใหลไปยาวนานตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตก จนตอนนี้ดวงตะวันของวันใหม่ได้ออกมาทักทายเหล่าผู้คนอีกรอบ ค่อย ๆ ขยับเปลือกตาอย่างช้า ๆ ไม่อยากลุกเลย การนอนนี่คือสวรรค์ชัด ๆ แต่... “อร่อยสุด ๆ เลยค่ะ ไม่คิดว่าองุ่นจะนำมาทำอาหารได้เยอะขนาดนี้เลยนะคะ” หญิงสาวที่กำลังตื่นเต้นกับอาหารละลานตา เรียกได้ว่าอดอยากปากแห้งมานาน ตั้งแต่ปีกกล้าขาแข็ง ออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มักจะกลายเป็นอาหารมื้อหลักของเจ้าหล่อนเสมอ ส้อมคันยาวถูกจิ้มหมูชิ้นใหญ่เข้าปาก เธอดูมีความสุขจนคนมองกลืนน้ำลายตาม ไม่คิดเลยว่าของเหลือจากเมื่อวาน จะมีคนที่กินได้อย่างมีความสุขขนาดนี้ “ค่อย ๆ ทานก็ได้ครับคุณสิงหา มีอีกเยอะเลย” นทีพูดพร้อมส่งน้ำให้จอมตะกละ “แหม~ อร่อยขนาดนี้ ฉันพยายามค่อย ๆ กินแล้วนะคะ แต่มันไม่ทันใจค่ะ เพราะตลอดเวลาฉันเหมือนกินข้าวท่ามกลางสงครามเลย” เป็นสงครามระหว่างคนกับผีเสียด้วย ทุกครั้งที่สิงหาได้ของอร่อยมา เธอมักโดนรายล้อมด้วยเหล่าวิญญาณทั้งหลายตลอด แม้ปริมาณไม่ได้ลดลง แต่รสชาติมันหายไปเยอะ ทั้งนทีและอาทิตย์มองหญิงสาวที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มเสียที เห็นแล้วก็นึกสงสาร ในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา เธอคงลำบากมาไม่ใช่น้อย ดูจากหุ่นผอมเพรียวของเธอแล้วนั้น คงมีอาหารตกถึงท้องแค่วันละไม่กี่คำ แม้ความจริงแล้วนั้น เจ้าหล่อนมักจะสวาปามเกินคำว่าอิ่มตลอด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเงินอันแสนขัดสนนั่นเอง ร่างสูงที่พึ่งตื่น เขากำลังเก้าออกพ้นธรณีประตู สิ่งแรกที่ได้เห็น ก็เล่นเอาความหงุดหงิดตีขึ้นจนหน้าหงิกทันทีเมื่อเห็นแขกไม่คุ้นหน้า แถมยังมายึดโซฟาพร้อมโต๊ะที่เข้าชุด และอาหารของเขาไปเกือบหมด “คุณออส ตื่นแล้วเหรอ?” นทีเมื่อเห็นผู้เป็นนายตื่นขึ้นหลังจากสภาพเหมือนคนใกล้ตาย ก็ดีใจจนออกนอกหน้า ถลาเข้าไปหาพร้อมตรวจสอบร่างกายไปเสียทั่ว “มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่าครับ เมื่อวานทำเอาตกใจกันทั้งไร่ ดีนะที่คุณสิงหามาช่วยไว้ ไม่อย่างนั้น... ผมไม่อยากคิดต่อเลยครับ” “เออ... ไม่ต้องคิด” แม้นทีจะพูดเสียยาวยืด แต่ก็ไม่ทำให้สายตาของออสละออกจากคนแปลกหน้าได้เลย แถมสีหน้ายังทวีความน่ากลัวเข้าไปอีก “แล้วนั่นใคร?” ออสถาม โดยไม่ระบุว่าใครต้องตอบ “เออคือ...” “สวัสดีค่ะ ฉันสิงหา” สิงหาแนะนำตัว แต่มือยังถือส้อมเสียบกุ้งตัวโตเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้คนตรงหน้า แต่ก็เสสายตาไปที่อาหารจานข้าง ๆ ต่อ “อันนี้แกงอะไรคะคุณอาทิตย์?” “แกงจืดหมู แต่ใส่องุ่นเข้าไปด้วยครับ อร่อยดีนะครับ สบายท้องดี” แถมคนที่เป็นเหมือนบอดี้การ์ด ยังอธิบายเสียหมดเปลือก ไม่ได้ดูหน้าตาของผู้เป็นนายเลยว่าไม่สบอารมณ์แค่ไหน ออสเป็นคนหวงของ และหวงมากด้วย แต่ก็ไม่ได้ใจแคบขนาดจะไม่ให้คนอื่นใช้ของร่วมกับตนเองหรอกนะ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนไว้ใจได้ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหนมาจัดการกินอาหารของเขา และนั่งโซฟาอยู่ในบ้านของเขาอย่างตอนนี้ “เออคือ...” “อร่อยมั้ย?” ออสหรี่ตาถาม พร้อมเดินไปทิ้งตัวลงโซฟาฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาวแปลกหน้า “ค่ะ อร่อยมาก!!” แถมคนแปลกหน้าก็จัดการอาหารตรงหน้าอย่างไม่เกรงใจเจ้าของเลยสักนิด เพื่อไม่ให้เป็นการขัดคอจนเกินไป ออสเลยนั่งมองคนตะกละอย่างเงียบ ๆ แต่แววตาของเขามันช่างหมายมาดอย่างเต็มที่ อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน!! เหมือนว่าช่องว่างของกระเพาะอาหารจะเต็มแล้ว สิงหาเลยหยุดทุกกิจกรรมการกินของเธอเอาไว้ แม้ตลอดระยะเวลาที่อิ่มสุขกับอาหารตรงหน้า จะมีสายตาของพญามารจับจ้องเธอไม่วางตาก็ตาม “เออคือ...” “มีเรื่องอะไรจะพูดกับฉัน ก็ว่ามาได้เลยค่ะ” สิงหาเอ่ย พร้อมจ้องมองคนตรงหน้าด้วยทีท่าไม่หวั่นเกรงใด ๆ “นที... ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?” ก่อนจะเก็บอารมณ์ขุ่นมัวไม่อยู่ ออสเลยหันไปถามคนที่ทำตัวไม่เป็นปกติที่สุดตอนนี้ ด้วยแววตา... น่ากลัวชะมัด!! “กผมก็จะบอกอยู่นี่ไงครับ แต่คุณออสไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลย” นทีโอดครวญ “ผมเป็นคนติดต่อให้เธอมาที่นี่เองครับ ที่ทำไปก็เพราะเป็นห่วงตัวของคุณออสเองนะครับ ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีเลย” “ห่วงอะไร ฉันมีอะไรน่าห่วง” ออสย้อนกลับ “คุณออส... สินะคะ คุณนั่นแหละที่ต้องขอบคุณลูกน้องของคุณ ไม่ใช่ไปทำหน้ายักษ์ใส่เขา ถ้าฉันมาช้าไปสักหนึ่งวัน คุณคงตายไปแล้วแน่ ๆ” สิงหาออกหน้าปกป้องนทีเต็มที่ บอกเลยว่าบุญคุณเรื่องของกิน มันยิ่งใหญ่นัก!! “ผมไม่ได้ถามคุณ!!” ออสถลึงตาใส่คนแปลกหน้า แล้วหันไปทำหน้าดุใส่ลูกน้องที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง “แล้วทำไมไม่บอกกันก่อน?” “ขะ... ขอโทษครับ ผมแค่คิดว่าให้เธอมาก่อน แล้วค่อยบอก ไม่คิดว่า...” “ไม่คิดว่าเจ้าพวกนั้นจะมาเล่นงานตอนฉันมาถึงพอดีไง ดวงคุณยังดีนะ ที่มีนางฟ้าคุ้มกันอยู่ ไม่อย่างนั้นฉันคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ รับรองได้ไปโลกหน้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!!” สิงหาอธิบายยาวเหยียด แถมเป็นเรื่องที่ออสเกลียดมากที่สุด นทีเองก็ห้ามไม่ทันได้แต่หลับตายอมรับความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ “คุณกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่?” ออสถาม “ก็เรื่องของวิญญาณที่เข้ามาทำร้ายคุณไง และการที่คุณนอนไม่หลับนั่นก็ด้วย ตั้งแต่ฉันเข้ามาก็ไม่เห็นเจ้าที่สักตน ไม่แปลกที่จะเดินกันให้ว่อนขนาดนี้ บ้านก็สวย แต่เฮี้ยนชะมัด” สิงหาพูดอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะยกน้ำขึ้นมากระดกใส่ปากเบา ๆ พลางมองใบหน้าของเจ้าของไร่ ที่กำลังมองเธอด้วยสายตา... เหยียดหยาม “อะไร คุณไม่เชื่อเหรอ?” “แล้วคิดว่าไง คิดว่าผมจะเชื่อคุณเหรอ?” ออสส่ายหัวเบา ๆ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอกับคนบ้า แถมเป็นคนบ้าที่ดูตั้งใจจะมาหลอกอีกต่างหาก ปั้นน้ำเป็นตัวเก่งเสียด้วย “เดี๋ยวก่อนสิคุณ ที่ฉันพูดไปไม่มีตรงไหนไม่จริงเลยนะ คุณกำลังโดนเล่นงานอยู่จริง ๆ ที่ฉันช่วยเพราะฉันเห็นแก่... ความ... เป็นมนุษย์หรอกนะ” เสียงของหญิงสาวแผ่วลงจนแทบไม่เต็มเสียง เมื่อเห็นสายตาที่ไม่คิดจะมองเธอเลยสักนิด แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอกเหมือนจะปิดกั้นคำที่เธอพยายามอธิบายทั้งหมด รอยยิ้มที่กระดกขึ้นกับคำพูดของเธอทุกคำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เห็น แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นครั้งที่รู้สึกเจ็บใจมากที่สุด!! “นี่มันยุคไหนแล้วคุณ เรื่องผี วิญญาณอะไรนั้น จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้เลยสักคน ไม่มีงานวิจัยไหนมารองรับ แต่คุณจะให้ผมเชื่อเรื่องที่ไม่มีหลักฐานมันก็คงเป็นไปได้ยาก” รอยยิ้มดูหมิ่น แสยะออกมองคนแปลกหน้าฝั่งตรงข้าม “อยากได้เท่าไหร่ คิดว่าคุณเป็นคนแรกเหรอที่มาด้วยเหตุผลนี้ ถ้าพอให้ได้ก็จะให้ อย่างน้อยก็ถือเสียว่าเป็นค่าแสดงละครปาหี่ให้ผมดู” “คุณนทีคะ... ฉันคงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้ ขอตัว” สิงหาลุกพรวด สะบัดตัวออกจากที่นี่ทันที แต่นทีก็มารั้งข้อมือเล็กเอาไว้ทัน “ปล่อยค่ะ มันคงไม่มีความหมาย ปล่อยไว้กับกรรมที่กำลังตามเขาอยู่เถอะ” “ผมขอร้อง และขอโทษแทนคุณออสด้วยนะครับ ที่ผมไม่ได้บอกเขาเรื่องของคุณ เพราะอยากจะจัดการเงียบ ๆ เท่านั้น แต่ไม่คิดว่า...” “ปล่อยไปนที ฉันไม่อยากดูละครปาหี่อะไรนั่นแล้ว” ออสเองก็ตะโกนมาจากด้านหลัง มองพร้อมส่งรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความสมเพชมาให้หญิงสาว “ดูเหมือนเจ้านายคุณจะไม่ต้องการความหวังดีอะไรนั้นนะคะคุณนที ฉันก็คงไม่จำเป็น ส่วนเรื่องเงินอะไรนั้น ฉันไม่คิด แค่เลี้ยงอาหารก็น่าจะพอแล้วค่ะ ลาละค่ะ!” สิงหาสะบัดมือของตนออกอย่างแรง และพุ่งตรงลงไปยังห้องพักชั่วคราวที่เป็นห้องชั้นล่างของเรือนไทยแห่งนี้ นทีที่เพิ่งโดนปฏิเสธความหวัง หันขวับไปหาผู้เป็นนายทันที “คุณออส ทำไมคุณถึงไม่ฟังอะไรเลยแบบนี้ครับ ที่ผมทำเพราะหวังดีกับคุณนะ แม้มันจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ควรจะฟังกันสักหน่อยสิครับ” “นี่!!” “วันนี้ผมไม่ทำงานแล้วนะครับ ขอลาไปพิจารณาเจ้านายครึ่งวันครับ!!” และนทีก็เดินจากไปอีกคน เหลือไว้แค่อาทิตย์ ด้วยเนื้องานเขาไม่สามารถทิ้งให้ผู้เป็นนายอยู่คนเดียวได้ เลยเลือกที่จะเบือนหน้าหนีแทน “พวกแกกำลังบอยคอตฉันเหรอ? ได้!! ฉันจะได้จ้างคนอื่นแทน!!” “เชิญครับ หวังว่าจะเจอลูกน้องที่ทนความเอาแต่ใจของคุณได้นะครับ คุณออส” อาทิตย์เอ่ย ผิดหรือที่ไม่เชื่อ เรื่องแบบนี้มันเชื่อกันได้ง่าย ๆ ที่ไหน แล้วการที่เขาเห็นต่างจากคนอื่นทำไมกลายเป็นว่าตัวเองไม่ยอมฟังด้วยเล่า!?! นี่หรือประเทศแห่งประชาธิปไตย สิงหานั่งกอดอกมองดูกระเป๋าเดินทางของตัวเอง คิดว่าที่นี่คงจะเป็นสถานที่ที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ แต่ที่ไหนได้ กลายเป็นนรกไปเสียแล้ว เธอเลยจัดเก็บพวกเครื่องใช้ส่วนตัวที่เอาออกมาใช้ชั่วคราว ไม่คิดเลยว่าจากกับพี่สาวดงกล้วยแค่ไม่กี่วัน จะต้องกลับไปเจอกันอีกแล้ว “พวกเขาอุตส่าห์ร่ำลากันขนาดนั้น ฉันกลับไปไม่กลายเป็นหมาหรอกเหรอ?” หญิงสาวรีบสะบัดความคิดแง่ลบออกทันที จัดการเอาเสื้อผ้า ทั้งหลายเข้ากระเป๋าอย่างเดียว ก่อนจะรูดซิปปิด “คือ...” เสียงที่มาจากด้านหลัง มีความหนักและเย็นยะเยือกอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เธอต้องหันไปตามเสียง พบหนุ่มน้อย หน้าตาดี กำลังยืนจ้องเธออยู่ด้วยท่าทางเกรงใจเล็กน้อย “คุณเห็นผมใช่หรือเปล่าครับ?” “เห็น แต่คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะฉันจะไปจากที่นี่แล้ว” สิงหาบอกปัดทันที เพราะต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน “ขอร้องเถอะนะครับ ผมอยากกลับบ้าน ผมคิดถึงแม่ ผมตายที่นี่ แม่ยังไม่รู้เลย” เด็กหนุ่มที่มีเพียงกางเกงขาสั้นสวมเอาไว้ ตามเนื้อตัวมีแต่รอยแผลเต็มไปหมด ขนาดใบหน้ายังมีรอยฟกช้ำอยู่หลายจุด แต่สิ่งสะดุดตาที่สุดคงจะเป็นโซ่ที่ถูกผูกเอาไว้รอบคอจนขึ้นเป็นรอยแดง “ช่วยพวกเราด้วยเถอะนะครับ” แววตาอันเศร้าสร้อย จ้องมองมาที่ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของหนุ่มน้อย เขามาที่นี่เพียงต้องการหาเงินส่งกลับบ้าน ไม่ว่าจะขายศักดิ์ศรีไปกี่ครั้ง เขาก็ยอม ขอเพียงแค่ได้เงินมาเขาก็พร้อมจะยอมแลก แต่ไม่คิดว่าการคิดน้อยเกินไป จะทำให้มาเจอกับเพชฌฆาต และพรากชีวิตตัวเองและอีกหลายคนไปในที่สุด “นายชื่ออะไร?” สิงหาหันทั้งตัวไปถาม ก่อนจะตบพื้นที่ว่างปุ ๆ ให้วิญญาณหนุ่มน้อยนั่งลง “นั่งคุยกันเถอะ ฉันขี้เกียจแหงนคอมอง” “ครับ ๆ” เขานั่งลง พร้อมปรากฏรอยยิ้มที่ชวนน่าหลงใหล ตอนยังมีชีวิต เขาต้องเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งแน่ ๆ “ผมชื่อมนัสครับ เรียกว่านัสเฉย ๆ ก็ได้” “อืม... แล้วนายตายอย่างไร? ยังมีห่วงเรื่องอะไรอยู่เหรอ?” สิงหาถามต่อ มันเป็นคำถามที่เธอมักถามกับวิญญาณที่หมดอายุขัยแล้ว แต่ยังไปไหนไม่ได้ “บ้านหลังนี้เคยถูกไฟไหม้ครับ มีผู้หญิงคนหนึ่งขังผมเอาไว้ ผมหนีไม่ทัน เลยต้องตายที่นี่” เสียงแผ่วเบา ดั่งวิญญาณกำลังร่ำร้อง มนัสมองโซ่ที่ยังคล้องคอตัวเอง มันยาวจนไม่มีที่สิ้นสุด “เพราะผมทำไม่ถูกใจเธอ เลยถูกล่ามเอาไว้ เหมือนว่าวันที่เธอคนนั้นหนีไป ก็ได้เผาบ้านเพื่อทำลายหลักฐาน ทำให้ผม กับพี่อีก 2 คนต้องตายในบ้านหลังนี้ครับ” “แล้วที่เหลือล่ะ?” “เขาไม่กล้าเข้ามาครับ เขากลัวว่าพี่สาวจะกลัวจนไม่อยากช่วยพวกเรา” มนัสหนุ่มน้อยพูดด้วยแววตาแสนเศร้า สิงหาที่สอดสายตาตามร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล ในใจก็คิดว่าวิญญาณตรงหน้าเจ็บหนักแล้ว ยังมีอีก 2 ตนที่หนักกว่าอีกเหรอ “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ ฉันไม่กลัวหรอก ฉันเห็นอะไรแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้แล้ว” แต่ถึงกระนั้น การปรากฏกายของวิญญาณที่เหลือ ก็ทำเอาสิงหาแอบตกใจเหมือนกัน คนหนึ่งคอเกือบขาดออกจากลำตัว อีกคนทั้งแขนขาถูกตัดออกจนหมด ดูเหมือนว่าวิญญาณหนุ่มน้อยมนัสจะพูดดูมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง เพราะเป็นภาพที่ไม่น่าดูอย่างที่เขาว่าจริง ๆ “ฉันอยากช่วยพวกนายนะ แต่ฉันต้องไปจากที่นี่แล้ว เจ้าของที่นี่ไม่ต้อนรับฉัน แต่ไม่ต้องห่วง หากพี่ชายฉันกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะให้เขามาช่วยพวกนายแน่ ๆ" สิงหาให้คำมั่นสัญญา ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เพื่อออกไปจากที่แห่งนี้ก่อนพระอาทิตย์จะตก แม้จะยังไม่ได้คิดว่าจะกลับอย่างไร แต่สกิลปากของเธอ อาจจะขอร้องคนที่ชักนำเธอมาที่นี่อย่างนที ไปส่งยังขนส่งใกล้ ๆ แล้วกลับไปหาพี่สาวดงกล้วยของเธออีกครั้ง เฮ้อ~ ขอค่าเช่าบ้านเพิ่มดีหรือเปล่านะ ไหน ๆ ก็เสียเวลามาตั้ง 2 วัน “พวกผมไม่รู้ว่าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหน หลายเดือนมานี้ วิญญาณที่เคยอยู่มาก่อน ค่อย ๆ หายไปครับ ตั้งแต่เจ้านั่นปรากฏตัว พวกผมเลยกลัว กลัวว่ามันจะมาจับตัวพวกเราไปกินเหมือนอย่างคนอื่น ๆ” มนัสพูดด้วยเสียงสั่น บ่งบอกถึงความกลัวที่รู้สึกได้ชัดเจนเมื่อเห็นเงาดำปริศนานั่น มันเพิ่งปรากฏตัวได้ไม่นาน วิญญาณรอบข้างที่เคยอยู่ที่นี่ ต่างก็ค่อย ๆ หายไปทีละตน จนตอนนี้เหลืออยู่แค่ไม่กี่ตนแล้ว และทุกครั้งที่มันมา พวกมนัสจะเข้าไปหลบในส่วนลึกที่สุดของบ้าน พร้อมภาวนาว่าอย่าให้มันเห็น และจับพวกเขากินไปเหมือนตนอื่น ๆ “ที่มันมีพลังขนาดนั้น ก็เพราะกลืนกินวิญญาณที่นี่ไปเหรอ? วิญญาณปกติไม่สามารถทำได้นี่ แต่ทำไม...” ‘จำไว้นะสิงเล็ก ไม่ใช่ว่าจะมีมนุษย์ที่อยากจะช่วยพวกผีอย่างเดียว แต่มันก็มีบางคน ที่ใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือทำร้ายคนอื่นเพื่อแลกกับเงินอยู่ หากเจอพวกนั้น สิงเล็กต้องอยู่ให้ห่างเอาไว้นะ’ คำพูดของญาติผู้พี่จู่ ๆ ก็เข้ามาในหัว แม้จะไม่ค่อยเจอกันเท่าไหร่ แต่ทั้งคู่ก็สนิทกันมาก เพราะต่างคนก็ต่างเห็นโลกที่น้อยคนนั้นจะมองเห็น เพียงแค่เธอเป็นผู้หญิง จึงไม่สามารถเรียนวิชาอาคมอย่างญาติผู้พี่ของตนเองได้เท่านั้น “ฉันเข้าใจแล้ว จะลองหาทางดู ตอนนี้อย่าออกไปจากบริเวณของตัวเอง ฉันจะคอยดูแลทุกตนเอง ไม่ต้องกลัว” สิงหาให้คำมั่น เหมือนเห็นแววตาของทั้ง 3 ตน แม้จะไร้ลมหายใจแล้ว ก็ยังฉายแสงแห่งความหวังขึ้นมา แล้วเธอล่ะ จะไม่ลองสู้กับความปากแจ๋วของเจ้าของไร่แห่งนี้ดูหน่อยเหรอ “เอาวะ บ้ามาก็บ้ากลับ ฉันจะอยู่ ใครมันจะทำไม!” “พะ... พวกเราจะเป็นกองเชียร์ให้ครับ!” วิญญาณหนุ่มน้อยโห่ร้องให้กำลังใจ แม้อีก 2 ตนจะยังพูดอะไรไม่ค่อยได้เพราะร่างกายเสียหายหนัก แต่ก็มีความพยายามแสดงออกมาว่าเชียร์เธออย่างเต็มที่ แค่นี้ ก็ทำให้หญิงสาวมีกำลังใจไปต่อสู้แล้ว! “เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD