ไม่รู้ว่าทั้งชีวิตของหญิงสาวนามว่า ‘สิงหา’ จะใช้ดวงมากี่ครั้ง แต่เธอเองก็ขอไม่มาก อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้งก็พอ ที่เธอจะพอให้ได้มีหวังได้รางวัลใหญ่!
แผ่นกระดาษที่มีเลขเรียงรายหลายราคายาวเป็นแถว แม้จะไม่มากตัว แต่มากราคาแน่นอน ขาเรียวเดินดุ่ม ๆ เข้าไปยังโต๊ะตัวใหญ่ ที่มีเจ้ามือ เอ๊ย! ผู้รับสถิติรายใหญ่คุ้นหน้านั่งอยู่ แต่พอเห็นหน้าของสิงหาเท่านั้นแหละ
“อั้น!! ไม่สิ ไม่รับ!!”
“อะไรกัน ฉันยังไม่ได้ให้ดูเลย” แน่ล่ะเธอต้องโวยวายอยู่แล้ว อุตส่าห์ได้เลขเด็ดมาจากเพื่อนใหม่เชียวนะ!
“ไม่รู้ล่ะ งวดที่แล้วฉันยังเข็ดอยู่เลย เล่นเอาเสียเกือบหมดตัว ฉันไม่รับ เลขอะไรก็แล้วแต่ที่เธอจะซื้อ ฉันไม่รับ!!” เสียงประกาศกร้าวจากเจ้ามือ เอ๊ย... ก็เจ้ามือนั่นแหละ ทำเอาสิงหาถึงกับคอตก
“ไม่รับจริงเหรอ? ฉันซื้อเยอะนะ ถ้าไม่ถูกเธอก็ได้เต็ม ๆ เลยนะ” สิงหายังคงใช้กิเลสมาล่อเหมือนเดิม
“ไม่! ยังไงก็ไม่! ไม่จำเป็นที่ต้องดูก็ได้ ร้านฉันไม่รับ ไปที่อื่นเลย!” แต่ดูเหมือนเจ้ามือเองก็ไม่ยอมง่าย ๆ หรอก ก่อนนี้หน้าแห้งเพราะเจ้าหล่อนเล่นถูกตรง ๆ แถมยังรายรับมหาศาลนั่นอีก ไม่เอาแล้ว ต่อให้ซื้อแค่ไม่กี่ตัว ก็ไม่รับ!
สุดท้ายสิงหาก็เดินคอตกแถมยังเตะฝุ่นอีกต่างหาก เงินที่เหลืออยู่ในบัญชีก็พร่องไปทุกที ๆ แล้วเดือนนี้จะเอาที่ไหนไปจ่ายค่าเช่ากันเล่า!?!
Errr~
“ค่า~” เธอรับสายทันที แม้จะเจอเรื่องอะไรมาก็ตาม แต่ภาวนาขอให้ปลายสายเป็นใครก็ได้ที่จะนำพาเงินได้ มาใส่บัญชีเยอะ ๆ ด้วยเถอะ!
[คุณ... ชื่ออะไรครับ?]
สีหน้าที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความหวัง ตอนนี้ฉายออกมาเป็นความหงุดหงิดอย่างชัดเจน มือเล็กค่อย ๆ ดึงมือถือของตนออกมาดูอย่างพิจารณา เป็นมิจฉาชีพเหรอ? แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนนะ มิจฉาชีพอะไรนั่นไม่ได้รับประทานคนอย่างสิงหาแน่ เพราะไม่เหลืออะไรจะให้ทานแล้วค่ะ!
“แล้วโทรมาหาใครล่ะคะ?” สิงหาตอบด้วยเสียงไม่สบอารมณ์ จนปลายสายสัมผัสได้
[พอดีผมได้เบอร์จากหลวงพ่อท่านหนึ่งมาครับ เขาบอกให้ติดต่อคุณเพราะคุณจะช่วยพวกเราได้ แต่สงสัยท่านจะลืมบอกชื่อกับผม] นทีหัวเราะแฮะ ๆ กับความสะเพร่าของตนเอง ขนาดมีเวลาตั้งมากตอนขับรถไปส่งท่าน แต่ก็ไม่ได้ถามเลยสักนิดว่าคนที่จะให้ติดต่อชื่ออะไร
“หลวงพ่อเหรอ? ใช่หลวงพ่อที่ชื่อเมฆหรือเปล่า?”
[ผมไม่ทราบครับ] ขนาดชื่อหลวงพ่อเองก็ยังลืมถาม
“โอเค ฉันวางล่ะ!” สิงหารีบดึงมือถือออกเตรียมกดวางสายทันที แต่ก็คิดขึ้นมาได้ ตอนนี้กำลังจน จะมาหยิ่งอย่างแต่ก่อนก็คงดูไม่ดี มีหวังโดนไล่ที่ด้วย
[ดะ... เดี๋ยวก่อนสิครับ ผมไม่ได้ให้คุณช่วยฟรี ๆ หรอกนะ มีค่าจ้างให้ แต่เรื่องนี้ผมไม่สามารถตอบได้ว่าจะให้ได้เท่าไหร่ คุณต้องมาเจรจากับนายของผมเองครับ]
นทีรีบอธิบายรัวเร็วจนแทบลืมหายใจ บวกกับความร้อนใจด้วย เจ้าหล่อนที่เขาโทรหาเป็นพวกเอาใจยากอย่างนั้นเหรอ? ไหนหลวงพ่อบอกว่าเจรจาง่ายไง ดูอย่างไรก็ไม่ง่ายเลยสักนิด
“ก็ได้ แต่ฉันขอคิดค่าเดินทางนะ ส่งที่อยู่มา เดี๋ยวฉันส่งเลขบัญชีไปให้”
สรุป เจรจาง่ายซะงั้น!
[เดี๋ยวผมไปรับดีกว่า...]
“ฉันจะไปเองค่ะ! แค่นี้นะ!”
แน่ล่ะว่าเธอจะต้องไปเอง จะมีคนบ้าที่ไหนยอมนั่งรถไปกับคนแปลกหน้ากัน มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ... แต่เดี๋ยวนะ เธอเองก็เพิ่งตกลงไปหาเขาถึงที่ด้วยตัวเองอย่างกับคนบ้าไม่ใช่เหรอ!?!
เพียงเวลาไม่นาน ข้อความก็แจ้งเตือนเข้ามา เป็นที่อยู่ และเบอร์โทรติดต่อเบอร์อื่น ๆ ในกรณีที่เบอร์ของเขาติดต่อไม่ได้ สิงหาที่ไม่ยอมพลาดโอกาส จึงส่งเลขบัญชีไปทันที และผลที่ได้
ติ๊ง!~
“ว้าว! กระเป๋าหนักใช่เล่น”
เงินค่าเดินทางใช้จริงแค่ไม่กี่ร้อย แต่ดูเจ้าของที่อยู่จะโอนมาให้เกินไปหน่อย อย่างน้อยเดือนนี้ก็ไม่ได้กังวลค่าเช่าบ้านพร้อมค่าน้ำค่าไฟ แถมยังมีค่าชุดใหม่ของพี่กล้วยอีกด้วย สิงหารู้สึกยินดีปรีดายิ่งนัก
“ทำอะไรอยู่”
เมื่อจัดการโอนเงินไปเรียบร้อย นทีจงใจโอนให้เยอะเกินกว่าที่ควรจะเป็นไปให้สาวปริศนาคนนั้น เพราะต้องการให้เธอมาช่วยเจ้านาย (และตัวเอง) ของเขาอย่างจริงจัง และหวังว่าเงินเดือนเกือบครึ่งเดือนของตนเองจะไม่สูญเปล่าหรอกนะ!
“อ่อ~ กำลังโอนเงินครับ คุณออสมีอะไรหรือเปล่า?” นทีรีบหันไปหาผู้เป็นนาย แม้จะดีขึ้นช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลับมาอิดโรยเหมือนเดิม แถมยังแย่กว่าเดิมเสียอีก
“ฉันจะไปดูองุ่นที่ลงใหม่ก่อน ว่ากิ่งแตกดีอย่างที่คิดหรือเปล่า” ออสจ้องมองคนที่เป็นทั้งผู้ช่วย และเลขาส่วนตัว เพราะรู้สึกได้ว่ากำลังมีอะไรผิดปกติ “เป็นอะไรไป ทำไมเหงื่อออกขนาดนั้น?”
“ระ... ร้อนครับ ร้อน”
ร้อนใจ เพราะเงินหายไปเกือบครึ่งบัญชี
“ร้อนก็ไปตากแอร์ไป มายืนตากแดดอยู่ได้ ประสาท!”
สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ผู้เป็นนายไปแต่เพียงผู้เดียว นทีกลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเองอีกรอบ หวังว่าเงินที่เสียไปจะไม่เสียเปล่า จนเริ่มเช็คประวัติจากเบอร์โทรของเจ้าหล่อน
“ก็ไม่มีประวัติเสียหายแฮะ อาจจะไว้ใจได้ก็ได้”
นทีพึมพำกับตัวเอง พร้อมให้กำลังใจตัวเองไปด้วย
ข่าวร้ายที่ส่งตรงมาจากประเทศไทย บิดาผู้ที่เลี้ยงดูอุ้มชูเธอได้จากไปแล้ว แม้กระทั่งชื่อเสียงที่สั่งสมมานานก็ไม่สามารถจะทำให้เขาได้มีงานศพดี ๆ อย่างที่ควรจะเป็น... มันเป็นเพราะชายผู้นั้นคนเดียว
“วา คุณไม่ควรร้องไห้แบบนี้สิ” ชายหนุ่มค่อย ๆ กอดปลอบแฟนสาวจากข้างหลัง เพราะเขาทำได้เพียงแค่นี้ “ผมเห็นแบบนี้แล้วใจจะขาด”
“จะให้วาทำอย่างไรคะอินทร์ พ่อของวาฆ่าตัวตายทั้งคน จะให้ยิ้มหรือหัวเราะเหรอ? พ่อที่เลี้ยงฉันมาเพียงคนเดียวตั้งแต่แม่ตาย เขาทำทุกอย่าง และทุกทางเพื่อจะได้ให้ฉันมาเรียนต่อที่นี่ แต่สุดท้ายพ่อก็จากไป ทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่ได้ขอบคุณท่านเลยสักนิด”
เสียงสะอื้นปานจะขาดใจของหญิงสาว คนที่เป็นแฟนหนุ่มทำได้แค่กอดปลอบ และรับฟังเธอได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พอเห็นหญิงผู้เป็นที่รักได้แต่ร้องไห้เสียใจแบบนี้ มีหรือที่เขาจะอยู่เฉย
“วาต้องการเอาคืนมั้ย? ผมมีวิธีอยู่นะ”
“หมายความว่ายังไง?” วราลีเงยหน้าถามแฟนหนุ่มอย่างสงสัย ตอนนี้เธออยู่ที่ออสเตรียนะ ไม่ใช่อยู่ใกล้ ๆ “เราจะกลับไทยกันเหรอ?”
“ไม่จำเป็นวา เพียงแค่บอกมาว่ามันเป็นใคร ผมจะให้คนรู้จักจัดการเอง”
รอยยิ้มที่ดูอบอุ่น และเชื่อได้ของ ‘อิชยะ’ หรือ ‘อินทร์’ แฟนหนุ่มที่คบกันมาร่วม 5 ปี ทำให้วราลีเชื่อสนิทใจ ยอมบอกทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับพ่อของตนเมื่อ 2 ปีก่อน แม้จะเป็นจดหมายแค่ไม่กี่ฉบับที่พ่อของตนส่งมา แต่คนเป็นลูกจะไม่รู้สึกเลยหรือว่าท่านทรมานมากแค่ไหน
“อุโฆษ มันชื่อ อุโฆษ ภูริสิทธิ์สุนทร หรือ ออส ตอนนี้มันเป็นเจ้าของไร่สุขเกษมอยู่ มันคือคนที่ทำให้พ่อฉันต้องตาย” วราลีพูดออกมาด้วยความเคียดแค้น สายตาที่จับจ้องไปที่จดหมายในมือ ได้บรรยายเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนได้พบให้ลูกสาวเพียงคนเดียวได้อ่านก่อนเลือกจบชีวิตลง
“เข้าใจแล้ววา ผมจะจัดการทุกอย่างเอง ไม่ต้องห่วงนะ”
ริมฝีปากนุ่มประทับลงบนหน้าผากมนเบา ๆ รั้งร่างเล็กให้เข้ามาในอ้อมอกอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอยังคงร่ำไห้กับการจากไปของผู้เป็นพ่อ
‘อุโฆษ... อย่างนั้นเหรอ?’
“นมัสการค่ะหลวงพ่อ”
เรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรประจำวันเลยก็ว่าได้ ที่สิงหาจะยกถาดอาหารมาเตรียมตัวตักบาตรในยามเช้า และวันนี้ก็เช่นกัน หลวงพ่อที่ตนเคารพหลังจากไปจำพรรษาที่อื่นมาสักพักใหญ่ วันนี้ก็เป็นวันแรกที่ได้กลับมาที่วัดแห่งนี้ มีหรือที่สิงหาตัวดีจะไม่รีบจัดการอาหารของโปรดของท่าน
“หน้าบานเชียวนะโยม” พอเห็นคนยิ้มกว้าง มันก็อดจะแขวะไม่ได้จริง ๆ
“ก็... มีเรื่องให้ยินดีนิดหน่อยค่ะ” สิงหาเองก็ไม่ได้ปิดบังเลยสักนิด ก่อนจะค่อย ๆ ตักข้าวที่เพิ่งหุงสุกใหม่ ๆ ลงในบาตรใบใหญ่มีการห่อหุ้มด้วยถลกบาตรไหมพรมอย่างดี ไม่ว่าจะกี่ปีท่านก็ยังใช้อันเดิมที่ญาติผู้พี่ของตนเป็นคนถวายให้ “หลวงพ่อได้ให้เบอร์ของหนูกับใครบ้างหรือเปล่าคะ? พอดีไม่กี่วันก่อนมีคนโทรมา บอกว่าได้เบอร์มาจากหลวงพ่อ”
“ก็ให้นะ โยมรีบไปดูเขาหน่อยเถอะ หากเป็นไปได้ อาตมาอยากให้โยมสิงขรไปเองด้วยซ้ำ” ท่านพูดพร้อมหน้าตาที่ตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่สิงใหญ่ไปไหนใครจะรู้ นึกอยากจะมาก็มา ไม่รู้ว่ามีมือถือเอาไว้ทำไม” สิงหายู่หน้าทันทีเมื่อนึกถึงญาติผู้พี่ กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ที่ไม่ยอมกลับบ้าน แม้ความจริงตัวเองก็หนีออกจากบ้านไม่ต่างกันก็ตาม
“เอาเถอะ ๆ รีบไปดูให้เขาหน่อย พ่อหนุ่มคนนั้นอาการแย่มากเลยนะ อาตมาเองก็ไม่สามารถยุ่งอะไรได้เพราะมันเป็นกรรมที่เขาต้องรับ แต่จะอยู่เฉย ๆ ก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย”
“เข้าใจแล้วค่ะ แต่ว่า...” หลังจากจัดแจงตักทั้งข้าวสวย และแกงที่จัดใส่ภาชนะอันสวยงามลงบนฝาบาตรเรียบร้อย หญิงสาวก็รีบย่อตัวลงมาพนมมือเตรียมรับพร “... ขอเลขเด็ด ๆ หน่อยสิคะ ร้านที่หน้าปากซอยเขาไม่รับแทงแล้ว ต้องไปที่อื่น แต่ไปที่ไหนก็อั้นไปทุกที่ เลยต้องพึ่งงวดต่อไปแทน!”
“ไอ้เจ้าสิงหา! โยมยังไม่เลิกเรื่องพวกนี้อีก อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์ อยากได้เงินก็ไปทำงานสิ!”
และแล้วหลวงพ่อก็หันหลังแล้วเดินหนีไปทันที พรอะไรนั่นไม่ต้องรับกันแล้ว คนที่พลาดบุญใหญ่เลยทำได้แค่คอตกกลับมาในบ้านอีกครั้ง พลางมองดูเหล่าผีน้อยผีใหญ่ที่กำลังรอแบ่งส่วนบุญของวันนี้
“ไม่ต้องมามองเลย โน่น~ ไปหาหลวงพ่อที่รักของพวกเธอกันเลย ฉันแค่รับฝากชั่วคราวย่ะ!”
ถาดอาหารถูกวางลงดังเคร้ง! ก่อนที่เจ้าหล่อนจะหยิบมือถือเครื่องพอดีมือขึ้นมาดู ที่อยู่เองก็ไม่ได้ไกลกันมาก หากไปเร็วจะได้เงินเร็วหรือเปล่านะ? แต่การที่หลวงพ่อเองบอกมาแบบนี้ แสดงว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นอาการหนักมากจริง ๆ
ภาพของกลุ่มก้อนสีดำบนรถยนต์คันใหญ่ที่สิงหาเจอบนถนนวันนั้นก็แวบเข้ามาในหัวทันที อาการของชายหนุ่มคนเมื่อตอนนั้นจะหนักขนาดนี้หรือเปล่านะ? ถ้าหนักขนาดนั้นคนที่ใช้อาคมไม่เป็นอย่างเธอจะไปช่วยอะไรได้
“แต่ก็มีแต่ต้องไปสินะ!”
ใช่ มันไม่มีทางเลือกให้คนตกงาน แถมยังโดนดิสเครดิตจากผู้เป็นมารดาอีกนี่สิ!
“ข้าจะได้เจอเจ้าอีกหรือเปล่า?” เสียงที่ดังขึ้นมาจากข้างหลัง หากเป็นคนอื่นคงจะตกใจจนหัวใจวายไปแล้ว แต่นี่คือสิงหานะ จะมาแบบไหนก็ไม่ตกใจเลยสักนิด!
“พี่กล้วยเองก็กลัวจะไม่มีเพื่อนคุยใช่หรือเปล่า?” สิงหารีบหันมาหาคนที่กำลังแสดงความเหงาออกมาอย่างชัดเจน “ไม่ต้องห่วง แค่ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวกลับ ฝากบ้านด้วยนะพี่กล้วย”
“เลิกยิ้มแบบนั้นเสียที”
แม่ตานีถึงกับเศร้า แม้ในตอนแรกที่เจ้าหล่อนมาพักที่นี่ เสียงเจื้อยแจ้วของเธอจะฟังดูน่ารำคาญ แต่นานเข้ากลับกลายเป็นความเคยชิน จากที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภายนอก ก็ได้รู้จากเด็กสาวตรงหน้า มันอดไม่ได้จริง ๆ หากวันหนึ่งเธอต้องออกจากที่นี่ ผีที่อยู่มาอย่างเดียวดายอย่างเธอ จะทนเหงาได้มากแค่ไหนกัน
“พี่กล้วย ฉันไม่ได้จะไปแล้วไปลับเสียหน่อย เดี๋ยวก็กลับมา บ้านราคาถูก ๆ แบบนี้หาได้ที่ไหนกัน อีกอย่างมีเพื่อนบ้านเป็นเจ้าของดงกล้วยสวย ๆ แบบนี้ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ รับรองว่าจะรีบกลับมาค่ะ”
สิงหาไม่สามารถเข้าไปสวมกอดวิญญาณ ไม่ว่าวิญญาณตนไหนก็ตาม เพราะสายสิญจน์ที่เธอสวมอยู่ มันเป็นอันตรายกับเหล่าวิญญาณเป็นอย่างมาก แต่จะให้ถอดก็คงจะไม่ได้ เพราะนอกจากพระเครื่องหายากที่สวมอยู่ ก็มีเจ้าสายสิญจน์ทั้ง 4 เส้นนี่แหละที่คอยปกป้องตัวของเธอเองเอาไว้
ทั้งกระเป๋าเป้ และกระเป๋าลากใบใหญ่ มันเป็นภาพที่คุ้นตาเหมือนตอนมา เธอก็มีเพียงแค่นี้ แต่วันนี้เธอกำลังจะจากไป ทำให้หัวใจเริ่มสั่นไหวแปลก ๆ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เธอไปเจอที่ที่ดีกว่านี้ แต่กลัวเหลือเกิน กลัวว่าเธอจะไปเจอกับอันตรายที่อาจจะถึงชีวิต
“สิงหา ข้าจะสวดมนต์ให้เจ้าทุกวันเลย”
เจ้าของชื่อได้แต่หันมายิ้ม ไม่กล้าตอบโต้ เดี๋ยวแท็กซี่ที่เธอเรียกมาจะตกใจแล้วเผ่นหนีไปเสียก่อน ก่อนจะขนข้าวของขึ้นรถ แล้วยัดร่างกายเข้าไปเบาะหลังคนขับ “ออกรถได้เลยค่ะ”
‘หวังว่าเจ้าจะปลอดภัยนะสิงหา’
วี้ดดด~
ไร่สุขเกษมเปรมปรีดิ์ ป้ายขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนยังใหม่เพราะสร้างได้ไม่นาน ต่างกับขนาดของไร่ที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบไปด้วยภูเขารอบข้าง ช่างเหมาะกับการทำไร่องุ่นที่ไม่ค่อยชอบน้ำฝนเท่าไหร่เสียจริง
บรรยากาศเย็นแถมยังเบาสบาย แม้ว่าตอนนี้จะเริ่มบ่ายคล้อยแล้วก็ตาม มันดูร่มรื่นต่างจากในเมืองอันวุ่นวาย สิงหามองไปรอบ ๆ ผ่านกระจกรถแท็กซี่ที่เธอเหมาจ่ายมายังที่นี่ แค่ครั้งแรกก็รู้สึกเลยว่าเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก
แค่ผีดุตั้งแต่ปากทางเข้าเท่านั้นเอง~
“นี่ค่ะ” หญิงสาวยื่นเงินที่เป็นค่าโดยสารตามที่ตกลงกันไว้ให้คนขับ บวกกับผ้ายันต์สีแดงให้เป็นทริป “พกติดตัวไว้นะคะ จะได้ออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”
คนแปลกหน้า มักเป็นที่หมายตาของเหล่าสัมภเวสี ยิ่งเป็นคนที่กำลังดวงตกอย่างพี่โชเฟอร์ด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่าคงได้หลงทางไม่ได้ออกไปไหนกันพอดี
“มะ... หมายความว่ายังไงครับ?” พี่โชเฟอร์ถึงกับยิ้มแหย แถมยังขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“หมายความตามนั้นนั่นแหละค่ะ กลับดี ๆ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
สิงหายิ้มให้กำลังใจ ไม่รู้หรอกว่าตลอดทางที่ออกจากที่นี่ เขาจะต้องเจออะไร มีเพียงแผ่นยันต์ที่ 1 ใน พี่ชายทั้ง 4 ของเธอจัดการทำเอาไว้ให้เต็มกระเป๋า ที่เธอพอจะช่วยได้ ก่อนจะดันตัวเองออกไปพร้อมสัมภาระ 2 ชิ้นใหญ่
เมื่อรถแท็กซี่ทิ้งห่างออกไป สายตาของหญิงสาวก็เปลี่ยนไปมองป้ายของไร่แทน แต่ไม่ใช่แค่นั้นนี่สิ เงาดำที่อยู่ด้านข้างมันช่างน่ารำคาญเสียจริง ไม่รู้ว่าจะจ้องเธอทำไมนักหนา
“น่ารำคาญชะมัด เลิกจ้องได้แล้ว!!” เธอเลยหันไปตวาดจนผีสะดุ้งถอยหนี ท่าประจำของเจ้าหล่อนเท้าเอวมองเหมือนอยากจะหาเรื่องเต็มแก่ “มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ไปเกิดสักที น่าจะหมดอายุขัยแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ทะ... ทำไมถึงเห็นล่ะ” เสียงเบาบางแต่แฝงไปด้วยไอเย็นล่องลอยมาตามกระแสเสียง พร้อมสายตาจ้องมองไปยังร่างอุ่นที่ดู... น่ากลัวชะมัด “ปกติจะไม่เห็นไม่ใช่เหรอ?”
“ก็จ้องขนาดนี้จะไม่ให้เห็นได้ยังไงล่ะยะ มันอึดอัดรู้มั้ย!?!”
มันเป็นเรื่องปกติที่เธอจะเจออะไรแบบนี้ เป็นมาตั้งแต่เล็ก จนโตขนาดนี้ก็ยังเห็นชัดเจน ตอนแรกพี่สิงใหญ่ของเธอบอกเอาไว้ว่าเมื่อโตขึ้น เรื่องพวกนี้จะค่อย ๆ หายไปเอง และจะไม่สามารถเห็นได้เหมือนตอนอายุน้อย ๆ แต่นี่ก็จะเข้าเลขสามแล้ว ยังเห็นชัดแจ๋วระดับ 4K อยู่เลยค่ะ!
“เธอเป็นใคร แล้วมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ มีจุดประสงค์อะไร หรือยังติดบ่วงอะไรอยู่ บอกฉัน เดี๋ยวจะช่วย” สิงหาร่ายยาวยืด เพราะมันอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะไม่ช่วยเหลือเหล่าวิญญาณที่หลงทางอยู่ โดยหวังว่าสักวันมันจะเป็นผลบุญให้เธอไม่กลายเป็นแบบนี้เมื่อต้องจากโลกใบนี้ไป
“ฉะ... ฉันไม่รู้ ฉันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แค่ว่า... ต้องอยู่แถวนี้” เธอตอบด้วยเสียงเย็นยืดยาดอย่างเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าวิญญาณไร้จุดหมาย
“แบบนี้นี่เอง” เงาดำค่อย ๆ จางลง มองเห็นร่างจริงของวิญญาณปริศนา เธอมีรอยแผลที่หัวขนาดใหญ่ คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอผู้นี้ไม่สามารถจำอะไรได้สินะ “ถ้าอย่างนั้นฉันตั้งชื่อให้ก็แล้วกัน”
“จะ... จริงเหรอ?” แววตาเศร้าสร้อยในตอนแรก เปล่งประกายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “เธอจะตั้งชื่อให้ฉันจริงเหรอ?”
“ใช่ แต่อย่าคาดหวังล่ะ เซนส์ตั้งชื่อฉันมันระดับต่ำมาก” สิงหากวาดสายตามองดูร่างตรงหน้ารอบ ๆ เธอเป็นคนสวย และสวยมากด้วย แต่แววตากลับเศร้า เหมือนกับว่าเธอเจอเรื่องร้ายแรงมามาก ผมดำยาวตรงถึงกลางหลัง เสียตรงที่มีรอยแผลขนาดใหญ่ที่ศีรษะ ใบหน้าไร้รอยแผล มีเพียงความสวยงามที่กลายเป็นอดีตของเธอ ต่างจากลำตัวที่เต็มไปด้วยรอยแผลขนาดใหญ่หลายจุด ชักเริ่มสงสัยแล้วสิ ว่าเธอผู้นี้เป็นใคร และถูกกระทำแบบไหนมา “ขาวผ่อง เธอชื่อขาวผ่องก็แล้วกัน”
“เปลี่ยนได้มั้ย?” เธอต่อต้านทันควัน
“ยังจะเรื่องมากอีก!” แน่ล่ะว่าผู้ที่ตั้งชื่อให้ไม่ยอม “เอาล่ะ ๆ เดี๋ยวฉันจะออกมาคุยด้วยอีกบ่อย ๆ จนกว่าจะไปยังปรโลกได้ แต่ตอนนี้ฉันต้องเข้าไปด้านใน เธอจะตามไปด้วยไม่ได้นะ เพราะมันไม่ใช่ที่ของเธอแล้วตอนนี้”
ขาวผ่อง (ชื่อนี้เลยเหรอ?) มองดูผู้หญิงประหลาดกำลังเดินลากกระเป๋าใบโตเข้าไปด้านใน ก็รู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาเล็กน้อย นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้คุยกับใคร และจำไม่ได้ด้วยว่าทำไมเธอจึงมาอยู่ที่นี่
ได้เวลาการสำรวจที่แห่งนี้แล้ว สิงหาสอดส่องสายตามองไปรอบ ๆ ไร่แห่งนี้ถูกดูแลอย่างดี แทบไม่เห็นตรงไหนมีการปล่อยรกร้างเลยสักนิด อีกทั้งยังมีเหล่าพืชพันธุ์หลายอย่างที่ถูกปลูกเอาไว้ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นองุ่น ทั้งสีเขียวและสีม่วงจนถึงดำก็ตาม ช่างเป็นภาพที่ชวนมองเสียจริง
แต่สิ่งที่ไม่น่ามองก็คงมีแต่ตรงนี้ แม้จะใช้ระยะทางไกลเสียหน่อย แต่สิงหาก็เพลิดเพลินกับวิวรอบข้างเสียจนลืมความเหนื่อยล้าที่เดินทางมาร่วม 2 ชั่วโมงได้ แต่ต้องมาสะดุดกับบ้านเรือนไทยแห่งนี้ แม้ยังใหม่เพราะเพิ่งสร้างได้ไม่นาน แต่กลิ่นอายมันช่าง...
“น่าขนลุกชะมัด! ถามจริง! อยู่เข้าไปกันได้ยังไงเนี่ย!?!”