ตอนที่ 4 นางร้ายนอกจอ1.1

2182 Words
พิธีบวงสรวง  กองทัพนักแสดงซึ่งเป็นตัวหลักของเรื่องต่างเริ่มเดินทยอยออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าย้อนยุค ในยุคจ้านกว๋อโดยมีสายตาของฮัวมู่หลันที่กำลังมองนักแสดงระดับตัวท็อปของวงการด้วยความชื่นชม หญิงสาวยืนถือกล้องถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพดาราที่เธอปลื้มเป็นกรณีพิเศษเอาไว้ภายในมือถือส่วนตัว ทิ้งน้องสาวอยู่ภายในห้องกับฝ่ายเสื้อผ้าและผู้ช่วยเหลียงที่กำลังตรวจเช็คงานอีกครั้งว่าถูกต้องหรือไม่ก่อนจะปล่อยออกไปร่วมทำพิธีบวงสรวงที่ฝูงนักข่าวมารอบันทึกภาพกันอย่างเนืองแน่น “โอเคค่ะคุณฟู่หรงเสื้อผ้า หน้าผม เรียบร้อยลงตัวทุกอย่างหมดแล้ว แหมน่าเสียดายจังที่ไม่ได้บทนางเอกแต่บทฮูหยินฮัวที่ได้ไปก็ไม่เป็นรองเลยนะคะ ถ้าเล่นถึงบทบาทตีบทแตกกระจุยรับรองดังเป็นพลุแตกแน่เลย”ฝ่ายเสื้อผ้าเอ่ยชมไม่ขาดปาก “อะแฮ่ม...ไปเตรียมเสื้อผ้าสำหรับทำทีเซอร์ชุดต่อไปได้แล้ว ชุดแรกเป็นตัวละครท่านแม่ทัพ ชุดสองเป็นนางเอกของเรื่อง แล้วก็ชุดสามเป็นของฮูหยินฮัว แล้วก็เป็นชุดต่อๆ ไปตามคิวรีบไปจัดเตรียมให้พร้อมเร็วเข้า! อย่ามัวแต่มายืนเมาท์”ผู้ช่วยเหลียงกำชับฝ่ายเสื้อผ้าที่ได้แต่ยืนยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องแต่งตัวไปอย่างรวดเร็ว โดยมีสายตาของผู้ช่วยเหลียงยืนมองตามหลังพลางส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันกลับไปสำรวจตรวจตราดาราสาวหน้าใหม่ที่มารับบทฮูหยินแม่ทัพทมิฬในเรื่องนี้อีกครั้ง “จะว่าไปพอคุณแต่งตัวย้อนยุคแบบนี้แล้วสวยและดูดีกว่าเสื้อผ้าในยุคสมัยนี้มากเลยนะ แต่งชุดโบราณได้ขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะชุดสีขาวโด่นเด่นขับผิวของคุณมากเลย หวังว่าฮูหยินฮัวที่อยู่ในบันทึกจะมีชีวิตโลดแล่นเป็นที่ชื่นชอบและสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมได้ไม่ยากนะ เพราะฝ่ายเขียนบทอุตส่าห์เขียนเพิ่มเติมมาจากบันทึกจริงเอาไว้มากเลยทีเดียว” “เขียนขยายเพิ่มเติมอย่างนั้นเหรอคะ”หญิงสาวถามกลับไปทันทีที่ได้ยิน ฮัวฟู่หรงยืนกลอกตาไปมาเมื่อได้ยินว่าบทที่เธอได้รับมีการเขียนเพิ่มเติมแต่งจากความเป็นจริงเอาไว้มาก จนอดไม่ได้ที่จะถามกลับไปด้วยเพราะอยากรู้บางอย่างที่เธอกำลังติดใจอยู่ในเวลานี้ “บันทึกของตระกูลอินที่เขียนไว้ไม่ได้กล่าวถึงฮูหยินเอาไว้มากเหรอคะ จึงทำให้ต้องเขียนเพิ่มเติมเสริมแต่งออกไป แล้วแบบนี้เรื่องไม่ตรงกับเหตุการณ์จริงจะไม่เป็นอะไรหรือคะ”เธอถามด้วยความสงสัย “โธ่ฟู่หรงนี่มันละครนะไม่ใช่สารคดีอิงประวัติศาสตร์ที่จะต้องถ่ายทอดทุกอย่างให้ออกมาตรงกับเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ทำไมกัน บันทึกที่เขียนจากตระกูลอินกล่าวถึงฮูหยินฮัวช่วงหนึ่งเท่านั้นแต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลย ไม่ได้บอกด้วยว่าอยู่หรือตายในบันทึกแค่บอกว่าท่านแม่ทัพไปทำศึกกับชนเผ่าซงหนู และต้องเคลื่อนทัพเดินทางทันทีในวันที่ทั้งสองทำพิธีแต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินแล้วก็ไม่กล่าวถึงอีกเลย” ฮัวฟู่หรงขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยที่ได้ยินว่ามีบันทึกเอาไว้เพียงแค่นั้น “เคลื่อนทัพในวันที่ทำพิธีแต่งงานอย่างนั้นเหรอคะ โอโห่ทำได้อย่างไงกันทำไมสงครามในยุคนั้นถึงใจร้ายจังเลย คนเขากำลังแต่งงานก็ต้องมาพลัดพรากจากกันไป” ดาราสาวบ่นออกมาด้วยรู้สึกสงสารในชะตากรรมความรักของแม่ทัพทมิฬและฮูหยินของเขา ที่เธอได้สวมบทบาทในเรื่องดังกล่าว พร้อมเสียงของผู้ช่วยเหลียงดังขึ้น “ใช่!..น่าสงสารมากเลยเชียวละ ในบันทึกได้บอกเขียนเอาไว้ว่าท่านแม่ทัพต้องเคลื่อนกองทหารออกจากเมืองหลวงเสียนหยางตามพระราชโองการของเจาอ๋อง ควบม้าศึกออกไปทั้งชุดแต่งงานเลยนะ ไปโดยที่ยังไม่ได้เข้าร่วมหอกับฮูหยินที่เพิ่งทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันเลย มีเพียงเส้นผมของฮูหยินฮัวที่ท่านแม่ทัพตัดออกมาเพื่อนำติดตัวไปด้วยยามทำสงครามเพื่อบรรเทาความคิดถึง” คำกล่าวของผู้ช่วยเหลียงที่กำลังเล่าเรื่องราวชีวิตความรักของแม่ทัพทมิฬและฮูหยินฮัวตามบันทึกที่ได้เขียนเอาไว้ สร้างแรงสะเทือนใจให้แก่ฮัวฟู่หรงอย่างยิ่งยวด หยาดน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าก่อนจะหลั่งรินออกมาทันใดเมื่อได้ยินเช่นนั้น แปะ! หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงสู่พื้นทันใดท่ามกลางเสียงร้องตกใจของผู้ช่วยเหลียง “ฟู่หรง! คุณร้องไห้ทำไม! ไม่สบายหรือเปล่า”ผู้ช่วยวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกที่เห็นดาราสาวหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสายราวกับว่าเธอกำลังเสียใจกับเรื่องบางอย่างรุนแรงยิ่งนัก มือน้อยๆ ยกขึ้นโบกไปมาเพื่อส่งสัญญาณปฏิเสธว่าเธอนั้นไม่ได้เป็นอะไรพร้อมเอ่ยขึ้น “ไม่ได้เป็นอะไรคะ เแค่อารมณ์อ่อนไหวง่ายพอฟังเรื่องของท่านแม่ทัพกับฮูหยินต้องพลัดพรากจากกันทำให้สะเทือนใจ” “ออ...อย่างนั้นเหรอ”ผู้ช่วยเหลียงส่งเสียงขึ้นในลำคอ “อารมณ์อ่อนไหวง่ายแบบนี้ ซีนร้องไห้ก็ไม่ยากเลยสำหรับคุณสินะฟู่หรง แต่ตอนนี้หยุดร้องก่อนเถอะหน้าที่แต่งมาเสียสวยต้องเติมใหม่แล้วรู้ไหม”ผู้ช่วยเหลียงเตือนดาราสาวพลางเอื้อมมือดึงทิชชูที่ตั้งอยู่บนโต๊ะยื่นส่งให้ “ซับน้ำตาเสียก่อน โชคดีที่พี่สาวของคุณเป็นช่างแต่งหน้าฝีมือเยี่ยมและใช้เครื่องสำอางคอย่างดี ก็เลยทำให้ไม่เลอะคราบน้ำตา ไม่คิดเลยว่าคุณจะมีอารมณ์อ่อนไหวมากถึงขนาดนี้เลยนะ”ผู้ช่วยเหลียงกล่าวอย่างแปลกใจพร้อมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ในบันทึกของตระกูลอินที่เขียนถึงฮูหยินฮัวมีไม่มากแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย แต่ในแบบฉบับซีรีสนักเขียนบทละครสร้างฮูหยินฮัว กลับมามีชีวิตขึ้นมาใหม่ให้มีรายละเอียดลงลึกมากไปกว่าเดิม ในฐานะผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ครองหัวใจท่านแม่ทัพ คุณโชคดีมากเลยนะฟู่หรงที่ได้เล่นตัวละครนี้” คำพูดของผู้ช่วยเหลียงทำให้หญิงสาวที่กำลังใช้ทิชชูซับหยาดน้ำตาอยู่บนใบหน้าในขณะนั้นเงยหน้าขึ้นมอง “แสดงว่าตัวละครฮูหยินฮัวเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมดอย่างนั้นเหรอคะ”ฟู่หรงถามกลับไป “ก็ไม่ทั้งหมดหรอกเขียนเพิ่มเติมจากที่มีอยู่และแต่งเติมเข้าไปมากพอสมควร! เรื่องนี้มีตัวละครหลายตัวที่เขียนเพิ่มขึ้นและสร้างฮูหยินฮัวให้มีบทบาทมากยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนตัวละครที่เป็นนางเอกก็เขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมดตามใบสั่งเพื่อดันเด็กในสังกัดให้โด่งดังมากกว่านี้ ละครเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าผู้ชายในยุคโบราณ โดยเฉพาะยุคก่อนรวมแผ่นดินระหว่างความรักและหน้าที่ เป็นเรื่องที่พวกเขาทำใจลำบากมากแม่ทัพลี่ซานก็ไม่ต่างกัน”ผู้ช่วยเหลียงเอ่ยชื่อตัวละครเอกออกมา “อะไรนะคะ! ท่านแม่ทัพชื่อลี่ซานอย่างนั้นเหรอ”หญิงสาวถามกลับไปเสียงหลง ผู้ช่วยเหลียงพยักหน้าขึ้นลงพร้อมพูดขึ้น “ตกใจอะไรฟู่หรงนี่คุณอย่าบอกนะว่ายังไม่รู้ชื่อตัวละครเอกของเรื่องนี้”ผู้ช่วยเหลียงถามกลับไป ฮัวฟู่หรงส่ายหน้าไปมาติดต่อกันอย่างรวดเร็วเมื่อถูกถามกลับมา “หนูไม่รู้จริงๆ ค่ะเพิ่งจะได้ยินก็เมื่อกี้นี่เอง ว่าแม่ทัพของเรื่องนี้ชื่อว่าลี่ซาน”เธอพูดพลางย้อนถึงถึงภาพของชายหนุ่มที่กำลังสวมกำไลหยกให้กับคนรักและชายคนนั้นก็มีชื่อว่าลี่ซานเช่นกัน “นี่ฉันจินตนาการไปเองหรือเห็นภาพหลอนกันแน่ ทำไมถึงเห็นภาพแบบนั้นนะไม่เข้าใจเลยจริงๆ”หญิงสาวยืนคิดอยู่ในใจพร้อมเสียงของผู้ช่วยเหลียงดังขึ้น “บทฮูหยินฮัวที่คุณได้เล่นเป็นผู้หญิงที่อยู่ในหัวใจของท่านแม่ทัพจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเลยนะ มีเรื่องเล่าที่ไม่ได้รับการบันทึก บ้างก็บอกว่าฮูหยินฮัวตายตั้งแต่ท่านแม่ทัพออกไปทำศึก บ้างก็บอกว่าหายสาบสูญไปเป็นสาเหตุทำให้ท่านแม่ทัพไม่แต่งงานใหม่อีกเลย และก็ไม่มีบันทึกว่ามีอนุภรรยาหรือมีทายาทด้วยนะ” “โอโห่! ผู้ชายในสมัยโบราณน้อยมากเลยนะคะที่จะเป็นแบบนั้น”หญิงสาวพูดออกมาด้วยไม่อยากจะเชื่อในเรื่องเล่าดังกล่าว “ใช่! ประวัติส่วนตัวของท่านแม่ทัพน้อยมาก แต่เรื่องการทำศึกสงครามละก็เป็นคนที่เก่งกาจมากในสมัยนั้นจนชาวต้าฉินเรียกว่าขุนพลเทพหรือแม่ทัพทมิฬ ที่พวกเราเอามาตั้งชื่อเรื่องนี่แหละ”ผู้ช่วยเหลียงพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูพร้อมเอ่ยขึ้น “อีกครึ่งชั่วโมงพิธีบวงสรวงจะเริ่มแล้วเดี๋ยวขอตัวออกไปดูความเรียบร้อยดาราคนอื่นต่อ คุณเองถ้าจะให้ดีเติมหน้าอีกรอบหน่อยนะเวลาถ่ายรูปจะได้สวย แล้วก็ตรวจดูให้เรียบร้อย พอลงตัวแล้วก็รีบไปที่บริเวณทำพิธีบวงสรวงเลยนะ”ผู้ช่วยเหลียงพูดกำชับ “โอเคค่ะผู้ช่วยเหลียง”หญิงสาวตอบกลับไปพร้อมหันกลับมาตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งก่อนจะออกจากห้องแต่งตัวตามไปสมทบกับดาราคนอื่นๆ ในขณะที่กำลังมองตัวเองอยู่ในกระจกนั้นมือที่กำลังยกทิชชูเพื่อซับคราบน้ำตาให้หายไปจากใบหน้า ทำให้ชายแขนเสื้อตกลงจนเห็นกำไลหยกที่สลักชื่อเจ้าของกำไลที่เธอมีชื่อไปตรงกันเข้าให้พอดี ทำให้ฮัวฟู่หรงลดมือลงมาดึงชายแขนเสื้อขึ้นเพื่อดึงกำไลดังกล่าวออกมาจากข้อมือของเธอ แต่ดูเหมือนว่าตอนถอดออกไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย “ทำไมถอดออกไม่ได้นะ! ตอนใส่เข้าไปง่ายราบรื่นอย่างกับอะไรดี”พูดพลางพยายามดึงกำไลออกจากข้อมือของเธอ ทว่าไม่ว่าหญิงสาวจะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถดึงกำไลหยกที่อยู่ในข้อมือของเธอออกมาได้ เพื่อนำเก็บใส่กระเป๋าสะพายด้วยเพราะเธอยังไม่ได้ใส่กำไลหยกที่กองถ่ายเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเป็นเครื่องประดับสำหรับตัวละครฮูหยินฮัวจะต้องใส่เข้าฉากจนกว่าจะหมดคิวถ่ายทำของหญิงสาว หากใส่ซ้อนทับกันหลายวงจะทำให้รู้สึกว่ารุงรังมากเกินไป “เฮ้อ! ไม่ถอดแล้วช่างมันเถอะ ใส่กำไลหยกอันนี้เข้าฉากแทนก็ได้ คืนของกองถ่ายกลับไปก็สิ้นเรื่องทำไมไม่คิดเสียตั้งแต่แรกมัวเสียเวลาถอดอยู่ได้ เจ็บมือไปหมด”หญิงสาวพูดพร้อมยกมือสะบัดไปมา ในขณะที่ฮัวฟู่หรงมัวแต่สะบัดมือของเธอไปมาด้วยความเจ็บอยู่นั้น จึงไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินเข้ามาในห้องแต่งตัวดังกล่าว ซึ่งภายในห้องนั้นจะมีนักแสดงหลักนั่งแต่งหน้าและทำผมที่อยู่ในห้องเดียวกับเธออีกห้าคน ในขณะที่พระเอกและนางเอกซึ่งเป็นระดับตัวท็อปของวงการจะมีห้องแต่งตัวเฉพาะของใครของใครมัน จึงไม่แปลกหากจะมีคนเดินเข้าเดินออกห้องนั้นอยู่บ่อยครั้ง “แหม! หน้าตายิ้มระรื่นเลยเชียวนะที่แย่งบทของคนอื่นไปเล่นอย่างน่าไม่อายแบบนี้”เสียงของผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับหญิงสาวดังขึ้นอยู่ทางด้านหลัง ฮัวฟู่หรงตาลุกวาวขึ้นมาทันทีด้วยเพราะเธอจดจำเสียงที่ดังขึ้นอยู่ด้านหลังได้เป็นอย่างดี ใบหน้าสวยเฉี่ยวแสยะยิ้มเหยียด “อิจฉาเหรอเถียนเถียนที่ฉันได้บทฮูหยินฮัว แต่คนที่พูดประโยคเมื่อกี้ควรจะเป็นฉันมากกว่านะเพราะเดิมทีบทนี้เป็นของฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่เธอต่างหากที่อยากเล่นจนตัวสั่น เล่นละครจนทีมงานให้บทนี้ไป แล้วอย่างไงถอนตัวออกไปเองไม่ใช่เหรอเพราะอะไรเธอเองย่อมรู้ดีแก่ใจ” หญิงสาวพูดกับอดีตเพื่อนสนิทผ่านทางบานกระจกที่สะท้อนเงาของเธอในชุดโบราณ และเห็นร่างของอดีตเพื่อนสาวยืนหน้าถมึงทึงอยู่ตรงประตูทางเข้า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD