ฉันลืมตาขึ้นภายใต้ความมืดสลัว เจ็บตรงอกเหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับทั้งที่ไม่มีอะไรนอกจากผ้าห่มผืนบางคลุม แค่หายใจเบาๆ ยังทรมาน
นี่ฉันยังไม่ตาย!?!
ในหัวปวดหนึบ คอแห้งผาก มองฝ่าความมืดในห้องอย่างสงสัยแกมตื่นตระหนก ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่งั้นที่นี่ที่ไหน
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ”
น้ำเสียงบาดหูดังขึ้น ฉันเหลือบมองเงาของร่างสูงที่ขยับเข้ามาข่มมือลงบนเตียงอย่างวิตก ริกกี้!
ฉันตกใจ ขยับหนีเขาอย่างลืมตัวก่อนจะร้องออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บปวดที่อกร้าวระบม หายใจหอบลึก มองริกกี้นัยน์ตาสั่นไหว
“ฉันน่ากลัวกว่าลูกปืนหรือไง”
“อึก”
น้ำเสียงหงุดหงิดดังอย่างไม่สบอารมณ์
เขาทำให้ฉันนึกออกว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ....ฉันเอาตัวเข้าไปบังกระสุนของริกกี้เพราะจะปกป้องคนแปลกหน้าแต่ฉันทำไปโดยไม่รู้ตัว และไม่คิดด้วยว่าริกกี้จะลั่นไกจริงๆ
ฉันกลืนน้ำลายอึก เนื้อตัวเย็นเฉียบเมื่อรู้ถึงความน่ากลัวที่เผชิญมา ริกกี้มาอยู่ตรงหน้าฉันแบบนี้ก็แปลว่าฉันยังไม่ตาย
“เธอเป็นอะไรกับไอ้คลื่น”
เสียงแข็งกระด้างไม่เป็นมิตรของริกกี้ที่ดังอยู่ใกล้ๆ ดึงสติฉันกลับมามองหน้าเขาอย่างสับสน
ฉันไม่เคยรู้จักคนชื่อคลื่น
“ตอบมา!”
เขากระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด ฉันสะดุ้งเฮือก รู้สึกเจ็บร้าวที่หน้าอก ในหัวพยายามเรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้น ละล่ำละลักเสียงแหบพร่า
“ฉัน....ไม่รู้จัก”
“แล้วเธอช่วยมันทำไม มีคนสติดีที่ไหนเอาตัวไปบังกระสุนแทนคนอื่น”
ฉันกะพริบตา ริกกี้พูดแบบนั้นก็แสดงว่า.... คนนั้นชื่อคลื่น
“เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนั้น”
“เธอคิดจะกวนประสาทฉันหรือไง”
เขาบีบคางฉันเอาไว้แน่นด้วยท่าทางโมโห
“ฉัน....ขะขอโทษ”
“เธอเป็นอะไรกับมันบอกความจริงมาก่อนฉันจะหมดความอดทน”
“ฉันไม่รู้ ฮืออออ ฉันไม่รู้จริงๆ” ฉันสะอื้นอย่างตื่นกลัวเพราะสายตากดดันปนเลือดเย็นของคนตรงหน้า มันอยู่ใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระอุ น้ำตาฉันเอ่อล้นออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“หยุดร้องรำคาญ!”
“ฮึก.....”
“คิดว่าฉันเชื่อเธอเหรอ แกล้งทำเป็นใสซื่อที่จริงเธอแฝงตัวเข้ามาในงานเพื่อสืบความลับฉันให้พวกอีเกิลสปีดใช่ไหม”
“ฉันไม่รู้ จะเจ็บ....ฮือออปะปล่อยฉันเถอะฉันขอร้อง”
“คายความลับออกมา ไม่งั้นฉันฆ่าเธอจริงๆ”
เขาเขย่าหน้าฉันจนปวดสะเทือนไปทั้งตัว คาดคั้นเอาเรื่องที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจและไม่อยากรู้ด้วย ขอร้องอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตาทั้งที่มันเจ็บจนแทบพูดไม่ไหว แต่ริกกี้ไม่ฟังเขายังคงเค้นฉันต่ออย่างบ้าคลั่ง
“เฮ้ยริกกี้ทำอะไร”
ก่อนที่ฉันจะเจ็บตายด้วยน้ำมือริกกี้ ใครคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามากระชากเขาออกจากเตียง
“เก่ง”
เสียงริกกี้สบถลอดไรฟัน ฉันมองเงาสองเงาที่อยู่ห่างเตียงอย่างกลั้นหายใจ รู้สึกสับและหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ
“ทำอะไร จะฆ่ายัยนั่นหรือไง”
“ไม่ใช่เรื่องของมึงอย่ายุ่ง” ริกกี้ทำท่าจะกลับมารังแกฉันต่อแต่ถูกมือคนนั้นดึงรั้งแขนห้ามเอาไว้ ฉันใจหายเฮือก ท่ามกลางความเจ็บปวดที่แทบจะกลืนกินสติ ฉันนึกขอบคุณเขาเบาๆ ที่หยุดริกกี้เอาไว้
“ใจเย็นหน่อยสิวะ ถ้าเธอตายขึ้นมาฉันก็ต้องมานั่งทำลายศพอีก”
นั่นคือเหตุผลที่เขากังวลเหรอ ฉันสะดุ้งไหวเมื่อได้ยินแบบนั้น มือที่พอจะขยับไหวขยุ้มผ้าห่มแน่นมีแต่ความหวาดหวั่นอบอวลอยู่ในหัว
“ยากอะไร ถ้ามันตายก็แค่ส่งไปให้ไอ้คลื่นฝัง”
“ถ้ามันจบแค่นั้นก็ดีสิ”
ริกกี้เงียบไปครู่หนึ่ง
“กูเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ให้ยัยนี่ตายน่าจะมีประโยชน์กว่า”
“นั่นแหละที่กูกำลังจะบอก”
“เออ งั้นก็จัดการต่อด้วย”
ริกกี้ออกไปแล้วเหลือแค่ผู้ชายแปลกหน้าอยู่ในห้องกับฉันสองคน
“จะทำอะไรน่ะ!”
ฉันใจหายเฮือก ผวาตัวหนีแต่ก็เหมือนมีอะไรกดทับอยู่ตรงอกขยับได้ไม่ถึงสองทีก็น้ำตาเล็ด ผ้าที่คลุมอยู่ตรงอกถูกมือของเขาเปิดออกอย่างไม่บอกกล่าว ฉันร้องเสียงหลง เย็นวาบไปทั้งลำตัวครึ่งบน ลมหายใจติดขัดเมื่อรู้ว่าหน้าอกเปลือยเปล่าไม่มีอะไรสวมทับ
“ใจเย็นๆ ฉันเป็นหมอ”
ฉันชะงัก อาการหวาดกลัวลดลงไปครึ่งเดียว จ้องมองโครงหน้าของคนที่อ้างว่าเป็นหมออย่างไม่ไว้ใจ
ผมของเขายาวประบ่าจนต้องมัดรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างลวกๆ หนวดเคราที่โกนไม่เรียบร้อยขึ้นตะปุ่มตะป่ำไม่สม่ำเสมอ ดวงตาสีน้ำตาลดุดัน ใบหน้าหยาบคายเกินกว่าจะเป็นหมอ
“ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันเป็นคนผ่ากระสุนที่ฝังอยู่ตรงอกเธอออก”
คำบอกกล่าวนั่นทำฉันหลุบตามองแผ่นผ้าก๊อชที่วางทับอยู่บนเนินอกตัวเองเลิ่กลั่ก ตอนนี้มันถูกซับไปด้วยเลือดจนมองไม่เห็นสีเดิม
“ไอ้เวรริกทำแผลฉีกให้ตายสิกูก็ต้องมาตามแก้อีก” เขาหยิบผ้าก๊อชออกพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
ฉันผวาเฮือก กัดฟันแน่นอย่างตื่นกลัวปนอับอาย ที่ตอนนี้กำลังนอนเปลือยอกต่อหน้าผู้ชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้แต่ความเจ็บปวดแทบจะทำให้ฉันลืมหมดทุกอย่าง
“เฮ้ ไหวไหม ฉันจะเย็บแผลให้ใหม่อยู่นิ่งๆ”
“เอ๊ะ....”
เขาบอกก่อนจะโน้มตัวไปดึงลิ้นชักข้างเตียงออกมา หยิบกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมากางบนเตียง ฉันมองเข็มในมือเขาหัวใจเต้นรัว
“อย่านะ....”
“กลัวเหรอ ตอนที่ฉันเอากระสุนออกเธอสลบอยู่เลยไม่มีปัญหา แต่ว่ายาชาหมด เจ็บนิดเดียวทนเอาหน่อยแล้วกัน”
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
นิดเดียวอะไรล่ะ!! ฉันกรีดร้องคับห้อง ดิ้นตั้งแต่ปลายเข็มทิ่มลงในเนื้อสดๆ เขาใช้เข่ากดหน้าท้องฉันไม่ให้ดิ้นหนี มืออีกข้างข่มคอเอาไว้สลับกับร้อยเข็มลงในเนื้อ
กว่าความเจ็บปวดจะสิ้นสุดลง ฉันก็หมดแรง นอนหอบเหนื่อย ตัวชา น้ำตาไหลจนชุ่มหมอน มองชายที่เรียกตัวเองว่าหมอก้มลงเก็บอุปกรณ์นัยน์ลอยคว้าง
เมื่อกี้ฉันนึกว่าจะขาดใจไปแล้วจริงๆ เกิดมาไม่เคยเย็บแผลสดแบบนี้มาก่อน
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งแตะจมูก เขาเก็บสำลีกับผ้าก๊อชที่เปื้อนเลือดทิ้งลงถังขยะเล็กข้างเตียง แล้วลุกขึ้นเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
“เดี๋ยวเอายาแก้อักเสบกับลดไข้มาให้ อย่าเพิ่งขยับตัวล่ะเดี๋ยวแผลฉีกอีก”
คิดว่าสภาพฉันสามารถลุกขึ้นไปไหนได้หรือไง
เขาเดินออกจากห้องพร้อมกับถังขยะและกล่องอุปกรณ์การแพทย์ ฉันมองตามจนประตูห้องปิดลง หลับตาอย่างเหนื่อยล้า ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจนเคลิ้มเกือบหลับประตูก็เปิดออก
“อ่ะกินซะจะได้ดีขึ้น”
ผู้ชายคนนั้นยื่นยาให้แต่ฉันไม่มีปัญญาจะรับ ลำพังแค่หายใจเข้าออกยังระบมไปทั้งอก
“ลำบากกูอีก”
เขาเดินมาสอดยาเข้าปากฉันด้วยท่าทางรำคาญ ก่อนหยิบขวดน้ำมาจ่อปากแล้วค่อยๆ เทให้ เม็ดยาลื่นๆ ไหลลงคออย่างทุลักทุเล กลิ่นอายความขมไหลปราดไปทั่วโพรงปาก
“เธอเป็นผู้หญิงไอ้คลื่นจริงเหรอ”
เขามองฉันที่นอนหอบอยู่บนเตียงก่อนที่ปลายสายตาของคนเป็นหมอจะหยุดอยู่ที่หน้าอกเปล่าเปลือยของฉัน
“อย่ามองนะ”
“ฉันไม่มีอารมณ์กับคนเจ็บหรอกน่า”
เขาทำเสียงขัดใจใส่ฉัน แต่ก็ยังไม่หยุดมอง
“ถามจริง เวอร์จิ้นอยู่หรือเปล่า?”
“.....”
“ไม่ต้องห่วงฉันยังไม่ได้ดูข้างล่าง ก็นะ เมื่อคืนที่ริกกี้เรียกฉันมามันด่วนจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นนอกจากผ่ากระสุนออก เหนื่อยเป็นบ้า.... เอออ้าวหลับแล้วเหรอ?”
ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรต่อ หลังจากทักเรื่องเวอร์จิ้นฉันจำได้ว่าตกใจอยู่แป๊บหนึ่งหลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย เปลือกตามันหนักจนทานไม่ไหว ความเจ็บปวดผสมกับฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไปกล่อมฉันให้หลับสนิท