สนามแข่งรถ...
สองเท้าของฉันหยุดนิ่งรู้สึกตัวอีกทีก็มายืนอยู่ในปาร์ตี้สนามแข่งที่คาคั่งไปด้วยผู้คนและรถยนต์หลายสิบคัน แม้จะเป็นช่วงใกล้ค่ำแต่แสงสีของที่นี่ไม่ได้น้อยหน้าผับดังย่านกลางเมืองเลยสักนิด
ท่ามกลางฝูงชนที่แต่งกายจัดจ้าน ฉันคนเดียวกลับกลายเป็นตัวประหลาดที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร พื้นที่ที่เคยแน่นขนัดก่อนหน้านี้ถูกแหวกกว้างออกอย่างพร้อมเพียงทันทีที่ฉันก้าวเข้ามา กลายเป็นจุดศูนย์กลางของทุกคนไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่น รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับฉันแต่ ฉันกำแผ่นกระดาษในมือแน่นฝืนใจก้าวต่อไปข้างหน้า กวาดตามองหาคนๆ หนึ่งอย่างร้อนใจ น้องสาวฉันอยู่ที่ไหน
ถ้าไม่ใช่เพราะอาโยขอร้องฉันไม่ย่างเท้าเข้ามาในนี้เด็ดขาด เพนนีจะรู้ไหมว่าทำคนอื่นเดือดร้อนขนาดไหน
หมับ!!
ฉันสะดุ้งเฮือก ก้มมองข้อมือที่ถูกจับด้วยความตกใจ เงยหน้ามองเจ้าของมืออย่างหวาดหวั่น
เขาทำฉันนิ่งอึ้งเพราะหน้าตาที่หล่อเหลาคมคายตั้งแต่แวบแรกที่มอง เขาทำฉันลืมเลือนทุกสิ่งรอบกายไปชั่วขณะ ในใบหน้าที่งดงามประหนึ่งทูตตกสวรรค์และแฝงเร้นด้วยความร้ายเล่ห์ดุจซาตานของเขา
“ปะปล่อยนะ” พอรู้สึกตัวฉันรีบดึงข้อมือออกจากฝ่ามือร้อนๆ ของเขาทันที
หมอนั่นเหลือบมองฉันในชุดนักศึกษาตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ต่างจากประเมินของชิ้นหนึ่ง “จืดว่ะ ใครเอายัยนี่เข้ามาในปาร์ตี้ฉัน” เขาตั้งคำถามและมองไปรอบๆ อย่างหงุดหงิด
ไม่มีใครตอบ ราวกับว่าการพูดกับคนตรงหน้าเป็นเรื่องต้องห้าม
“...ออกไปซะก่อนที่เธอจะทำปาร์ตี้ฉันกร่อย”
หมอนั่นส่งเสียงไล่ฉันอย่างรังเกียจก่อนเดินออกไป บรรยากาศตึงเครียดปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่
“คะคือ... ฉัน... ฉันมาตามหานะน้อง” ฉันโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความมั่นใจ แจ้งให้รู้ว่ายังกลับตอนนี้ไม่ได้ทั้งที่มันไม่จำเป็น
เขาหยุดแล้วหันมามองคล้ายได้ยินเสียงแมลงวันตัวหนึ่งบินผ่าน สายตารำคาญเพ่งมองราวกับจะฉีกร่างฉันเป็นสองส่วนแต่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน เสียงหนึ่งก็ดังตะโกนมาจากที่ไหนสักแห่งในนี้
“เฮียริกกี้พวกนั้นมา!”
คนที่โดนเรียกว่าริกกี้หันขวับ สายตาคู่คมดุดันขึ้นทันที รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากรอบกายเขาราวกับงูแผ่แม่เบี้ย ฉันร่นถอยหลังตามสัญชาตญาณ รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวที่ไม่น่าเข้าใกล้ พร้อมกันนั้นชื่อ ริกกี้ ก็ถูกประทับตราลงในสมองอย่างแม่นยำ
ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวไปไหน กลุ่มผู้ชายจำนวนสี่ห้าคนท่าทางเอาเรื่องก็เดินเข้ามายืนจับกลุ่มกันตรงหน้าริกกี้
กลิ่นอายมาคุไหลเวียนไปทั่วทั้งลานกว้าง ก่อนที่หนึ่งในแขกไม่ได้รับเชิญจะเอ่ยขึ้นมา
“จัดงานเลี้ยงสมกับเป็นทีมกระจอกๆ ดีหนิริกกี้.... เหอะแกนี่มันเห่ยชะมัด”
สายตาคนพูดตวัดมองมาที่ฉันราวกับจะถากถางริกกี้ ฉันเย็นสันหลังวาบ รู้สึกคล้ายถูกตรึงเอาไว้กับที่ขยับไปไหนไม่ได้
“มีธุระอะไร”
“แค่แวะมาทักทาย หัวหน้าทีม RED SUN คนใหม่” เขาแสยะยิ้มหยัน นัยน์ตาสีครามส่องประกายเจ้าเล่ห์ ใบหน้าหล่อเหลาไม่น้อยไปกว่าริกกี้กวนประสาทเหลือร้าย
ฉันมองอย่างรู้สึกใจคอไม่ดี ตอนนี้เรื่องเพนนีไม่ได้อยู่ในหัวสักนิด สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวสมองคือเสียงภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ฉันหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่เลวร้ายนี่สักที
แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ได้ยินเสียงของฉัน เหตุการณ์ระหว่างชายทั้งสองคนที่ไม่ลงรอยกันยังคงดำเนินต่อ
“หมดธุระแล้วก็กลับไปซะ” ริกกี้ออกปากไล่
เจ้าของนัยน์ตาสีครามกระตุกยิ้ม จับจ้องสายตาริกกี้อย่างไม่สะทกสะท้าน ตรงเข้ามาดึงแขนฉันไปจับอย่างไม่มีสาเหตุ
“ทะทำอะไร ปล่อยนะ”
“ฉันยังไม่ได้ทักทายยัยนี่เลย”
ฉันเบือนหน้าหลบเมื่อเขาโน้มใบหน้าคมๆ เข้ามาใกล้จนริมฝีปากเฉียดแก้มไปนิดเดียว
“คิดจะทำอะไรน่ะ ปล่อยดิ!” ฉันโวยวายด้วยความร้อนรน สะบัดมือออกจากฝ่ามือของเขาแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหลุดง่ายๆ
ริกกี้ขมวดคิ้วมองฉันกับเจ้าของดวงตาสีครามสลับกันด้วยสายตาเรียบสนิท
“ถ้าคิดจะยั่วโมโห ไม่ได้ผลหรอก”
“อย่างงั้นเหรอ ถ้างั้นแบบนี้ล่ะ” เขาจับหน้าฉันด้วยมือทั้งสองข้างแล้วดึงเข้าไปประกบริมฝีปากอย่างรวดเร็ว
เวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ หัวใจฉันกระตุกวูบ เบิกตาโพลง ในหัวตอนนั้นมีแต่ความตกใจ
นี่มันจูบไม่ใช่เหรอ! ฉันกรีดร้องในใจ ออกแรงขัดขืนทันทีที่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผลักคนตรงหน้าออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล
บรรยากาศรอบข้างเงียบสนิท ทุกสายตาจ้องมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว
แต่ก่อนความรู้สึกอดสูจะกล้ำกรายเข้ามาในหัวใจฉันนานกว่านั้น ร่างสูงก็โดนกระชากออกไป ริมฝีปากฉันเป็นอิสระ แรงเหวี่ยงทำให้ฉันเซห่างออกมาด้านข้างอย่างตั้งหลักไม่ทัน
เหลือบเห็นริกกี้กระชากแขนเขาคนนั้นออกไปแล้วผลักแรงๆ หนึ่งที
“ถ้าหิวก็ไปกินที่อื่น อย่ามาทำตามอำเภอใจในถิ่นกู”
“ถ้าอย่างนั้นกูจะลากนังนี่ไปเอาที่อื่น”
เขาพูดแล้วตรงเข้ามาคว้าแขนฉันเอาไว้แน่น ฉันมองใบหน้าหยาบคายของเขาอย่างแตกตื่น เสียงหัวเราะสะใจดังมาจากทางพรรคพวกของเขาอย่างกำลังเยาะเย้ยริกกี้อยู่
“ปล่อยนะ ฉันไม่รู้เรื่องด้วย” ฉันขัดขืนหัวใจสั่นผวา ไม่น่ามาที่นี่ตั้งแต่แรกเลย ฮืออออ
“ไม่มีปัญหาใช่ไหมริกกี้”
ริกกี้ชะงัก นัยน์ตาคมสีนิลหรี่เล็ก เขาขบกรามแน่นเพราะคำพูดล่าสุดของอีกฝ่ายและก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัว ริกกี้ก็กระชากแขนฉันออกจากการจับกุมของหมอนั่นทันที
หวืด!!
“อึก!” ฉันกลั้นหายใจเฮือก หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น ...สถานการณ์มันดูยุ่งเหยิงและสับสนไปหมด ทันใดนั้นเสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้น
ริกกี้บีบข้อมือฉันแน่น จ้องศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเลือดเย็น!
“ออกไปซะ ก่อนกูจะหมดความอดทน”
“แค่ยัยเฉิ่มคนเดียว จะหวงทำไมนักหนา ทีผู้หญิงคนอื่นนายมึงยังแชร์กับฮานเลยฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของผู้ชายคนนั้นดังขึ้น ครู่ต่อมาพรรคพวกของเขาก็หัวเราะตามกัน “แต่ตอนนี้กูเปลี่ยนใจแล้วว่ะ ปากยัยนั่นนุ่มจนน่า....”
กิ๊ก!
บางอย่างที่ปรากฏขึ้นในมือริกกี้ หยุดผู้ชายคนนั้นที่กำลังจะเดินเข้ามาใกล้ คำพูดชะงักค้างในคอ
หัวใจฉันร่วงไปอยู่ตาตุ่ม เพิ่งเห็นของที่อยู่ในมือริกกี้ชัดๆ ปืนสีดำเมื่อมเล็งไปที่ศัตรูอย่างเลือดเย็น เกิดความเงียบงันไปทั้งบริเวณ ทุกการเคลื่อนไหวหยุดนิ่งเพราะวัตถุอันตรายในมือของริกกี้กระบอกเดียว
รอยยิ้มไม่รู้สึกรู้สาถึงอันตรายผุดขึ้นบนใบหน้าของชายคนเดิม เขาดูไม่ยี่หระต่ออะไรทั้งสิ้นขณะที่ฉันกำลังอกสั่นขวัญแขวนไปหมด
ริกกี้ไม่มีท่าทีว่าล้อเล่นเลยสักนิด นิ้วเรียวยาวกระชับไกปืนแน่น แววตาสีนิลคมกริบเอาจริง “กลับไปซะ กูให้โอกาสมึงขยับแค่ครั้งเดียว!”
“ถ้าไม่ล่ะ”
“หึ!” ริกกี้แค่นเสียงเหยียดในคอคำเดียว นิ้วมือขยับ!
ฉันเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่นะ!
ปัง!!!!!
กระสุนพุ่งออกมาอย่างไม่มีใครสามารถหยุดมันได้ ทุกอย่างยังคงนิ่งเงียบไม่มีใครขยับไปไหน ทุกสายตาจ้องมองมาที่กลางวงล้อมอย่างตื่นตระหนก
ร่างฉันค่อยๆ ทรุดลงเมื่อความเจ็บปวดทะลวงลึกเข้ามาในหัวใจ ก่อนที่ฉันจะล้มลงกระแทกพื้นใครบางคนก็โผเข้ามารับเอาไว้ทัน
...ฉันเจ็บจนไม่อยากลืมตา รู้สึกเหมือนพลังงานค่อยๆ ไหลออกจากร่าง นี่ฉันกำลังจะตายใช่ไหม
เมื่อกี้ฉันตกใจวิ่งเข้าไปขวางทางกระสุนเพื่อปกป้องผู้ชายคนนั้นจนลืมนึกถึงชีวิตตัวเอง โง่แม้แต่วินาทีสุดท้ายจริงๆ
“ยัยบ้า!”
เสียงริกกี้อยู่ใกล้ๆ นี่เอง หรือเขาคือคนที่ประคองฉันอยู่ ฉันปรือตาขึ้นอย่างสงสัยเห็นใบหน้าของเขาเลือนรางก่อนทุกอย่างจะดับวูบ