บทที่ 1.2
สามีของฉันใครก็แตะต้องไม่ได้
“ฉันจะได้พาสามีของฉันออกไปเที่ยวด้วย”
มุมปากของคนที่กำลังยกจานผลไม้มายกขึ้นเล็กน้อย ชีวิตของเขาปกติมักถูกมองว่าเป็นคนสำคัญ นั่นเพราะหน้าที่และฐานะหมอที่เขาแบกรับ แต่ไม่เคยมีใครยอมรับและใส่ใจเขาที่เป็น กู้เหยียน เลยสักคน ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทีที่ใส่ของกวงจือหลินเขาจึงอดที่จะสึกยินดีไม่ได้
“คุณอยากไปไหมคะ”
น้ำเสียงที่หันมาเอ่ยถามชายหนุ่มอ่อนโยนลงอย่างชัดเจน กู้เหยียนยิ้มรับก่อนจะจิ้มแอปเปิลที่เขาปอกเสร็จแล้วส่งให้เธอ
“ฉันแล้วแต่เธอ”
กวงจือหลินอ้าปากกินผลไม้ที่อีกฝ่ายป้อน ท่าทางสนิทสนมและความใส่ใจที่ดูรักใคร่ ทำให้คนรอบตัวต่างเชื่อว่าคนทั้งสองเป็นคู่รักกันจริงๆ
......................................................................
ยามที่รอบตัวโอบล้อมไปด้วยความมืดมิดถนนเส้นหลักสายหนึ่งกลับครึกครื้นไปด้วยผู้คนและแสงไฟ โดยเฉพาะที่ฉางเจิ้งไนต์คลับ หนึ่งในกิจการของตระกูลเติ้ง ที่ดูแลโดยเติ้งเทียนอวี้ ทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลเติ้ง ตระกูลผู้ทรงอิทธิพลหนึ่งในสามของเซี่ยงไฮ้
"ขอโทษด้วยครับ โต๊ะนั้นนั่งไม่ได้ครับ"
พนักงานต้อนรับของฉางเจิ้งไนต์คลับเอ่ยบอกลูกค้ากลุ่มใหญ่ด้วยท่าทางสุภาพ หากแต่คที่มากลับแสดงท่าทีไม่ยินยอม
"แต่ฉันจะนั่ง"
"ไม่ได้จริงๆ ครับตรงนั้นเป็นที่ประจำของคุณหนูกวงครับ"
"แล้วยังไง ฉันจะนั่ง"
เหลาตังอี้ร้องบอกด้วยท่าทางไม่สนใจในความยากลำบากใจของพนักงานตรงหน้า พร้อมทั้งพาลูกน้องอีก หกคนไปนั่งและสั่งเครื่องดื่มโดยไม่ใส่ใจลูกค้าคนอื่น
“พี่ใหญ่ เราจะทำยังไงดี ได้ยินคืนนี้คุณหนูกวงกับคุณชายซ่งจะแวะมาด้วย”
“จะทำอะไรได้ พวกเรามันก็แค่ลูกน้องหางแถว นายไม่รู้หรือไงว่าเหลาตังอี้เป็นใคร”
เหลาตังอี้เป็นคนสนิทของท่านผู้พันซาง ผู้ที่ควบคุมดูแลความสงบของเซี่ยงไฮ้ การตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“รีบรายงานคุณชายเติ้งเร็วเข้า”
“ครับ”
เมื่อถึงเวลานัดหมายซ่งรุ่ยหยางก็มารับกวงจือหลินที่บ้าน ทว่ายามขึ้นรถหญิงสาวกลับให้กู้เหยียนนั่งเคียงข้างที่เบาะด้านหลัง
“อาหลิน นั่นมันที่นั่งของฉันนะ”
“อย่าทำตัวเป็นเด็ก แย่งเก้าอี้กินเก้า รีบขึ้นรถ”
ใบหน้าของซ่งรุ่ยหยางงอง้ำ แต่ก็ยอมเปิดประตูรถด้านข้างคนขับขึ้นไปนั่งด้วยท่าทีไม่เต็มใจนัก เขารู้จักกวงจือหลินมาตั้งแต่ 9 ขวบ ตอนนั้นครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ใหม่ๆ ด้วยความนึกสนุกเขาจึงออกมาเดินเล่นนอกบ้านโดยไม่ได้นำคนติดตามมาด้วย จึงถูกเด็กชายมีอายุมากกว่าเข้ามารังแก แย่งชิงเงินในกระเป๋า ตัวเขาตั้งแต่เด็กก็มีคนปกป้องตลอดจึงไม่รู้วิธีการต่อสู้ปกป้องตนเอง ถูกเด็กชายตัวโตกว่าสามคนรังแกจนล้มลงกับพื้น ในจังหวะที่น้ำตาจวนจะไหลเต็มทีเด็กหญิงในวัยเดียวกันก็ปรากฏตัว ไม่รู้เพราะแววตาแข็งกร้าวหรือด้วยเหตุผลอะไร เพียงชายสามคนนั้นหันไปเห็นเธอก็หน้าซีดตัวสั่น
“กล้ารังแกคนในถิ่นฉันอย่างนั้นเหรอ”
ซ่งรุ่ยหยางยังจดจำได้อีกว่า กวงจือหลินในวัยเด็กนั้นกล้าหาญและเก่งกาจมาก ไม่ถึงห้านาทีก็ล้มเด็กชายตัวใหญ่กว่าลงกับพื้น จนต้องคลานเข่าแล้วลุกวิ่งหนีไป มือเล็กๆ ของเธอยังยื่นกระเป๋าเงินคืนเขา และปลอบโยนด้วยการมาส่งถึงหน้าบ้าน ตั้งแต่นั้นมาในสายตาของซ่งรุ่ยหยางก็มีเพียงกวงจือหลิน ต่อมาพ่อของเขารู้ว่าเธอเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลกวง เมื่อหญิงสาวเรียนจบมัธยมปลายก็มาทาบทามขอหมั้น ไม่คิดว่า
กวงจือหลินกลับประกาศเรื่องของเธอกับกวงซ่งหลี่เสียก่อน แต่แล้วอย่างไรตราบใดที่เธอยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานเขาย่อมมีสิทธิที่จะทวงเธอคืนกลับมา 4 ปีมานี้เขาจึงยังคงแวะเวียนมาหาเธอเสมอ
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงรถของกวงจือหลินก็หยุดที่หน้าฉางเจิ้งไนต์คลับ ซ่งรุ่ยหยางก็รีบลงจากที่นั่งข้างคนขับมาเปิดประตูให้กวงจือหลิน หญิงสาวถอนหายใจยาวอย่างระอาใจแต่ก็ก้าวขาลงจากรถเพื่อรักษาน้ำใจของเขา ซ่งรุ่ยหยางยิ้มกว้างยื่นอก เชิดหน้า กางแขนให้เธอจับประคอง ทว่ากวงจือหลินกลับหมุนตัวยื่นมือเข้าไปในรถ จับต้นแขนหนาของกู้เหยียนให้ลงมายืนเคียงข้างกัน ใบหน้าของซ่งรุ่ยหยางพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองในทันที
"คุณหนูกวง... เอ่อ... มาแล้วหรือครับ"
กวงจือหลินมองท่าทางของพนักงานต้อนรับของฉางเจิ้งไนต์คลับแล้วขมวดคิ้วเรียว ท่าทางยืนไม่นิ่ง ใบหน้ามีเหงื่อซึม พูดจาติดขัด ทั้งหมดล้วนเป็นอาการของคนที่กำลังซ่อนความผิดพลาดของตนเอง
“มีปัญหาอะไร”
เมื่อได้ยินคำถามแข็งกร้าว และสายตาคาดคั้นของกวงจือหลิน พนักงานตรงหน้าก็ถึงกับเข่าทรุด ทิ้งตัวลงคุกเข่าวางมือประสานไว้ที่เอวด้วยท่าทางนอบน้อมหวาดกลัว
“ขอโทษด้วยครับคุณหนูกวง แต่เมื่อครู่คุณเหลาและเพื่อนเข้ามาที่ร้าน แล้ว... แล้วพวกเขาก็ต้องการนั่งโต๊ะประจำของคุณหนูครับ”
กวงจือหลินขบกรามแน่น ใครๆ ต่างก็รู้ว่าที่ฉางเจิ้งไนต์คลับเธอมีที่นั่งประจำของตนเองอยู่ การที่มีคนมานั่งที่โต๊ะของเธอก็ชัดเจนแล้วว่าต้องการท้าทายเธอ
“อย่างนั้นมีโต๊ะอื่นว่างอีกไหม”
กู้เหยียนเอ่ยถามด้วยท่าทีสุภาพ พร้อมกับโน้มตัวดึงคนที่คุกเข่าตรงหน้าให้ลุกขึ้น
“มะ... มีครับ อย่างนั้นผมไปเตรียม...”
“ไม่! ฉันจะนั่งที่โต๊ะของฉันเท่านั้น”
น้ำเสียงเด็ดขาดของกวงจือหลินทำให้รอยยิ้มที่เพิ่งปรากฏบนใบหน้าของพนักงานต้อนรับจางหายไปในทันที
“อาหลิน เรื่องแค่นี้เองฉันว่า...”
“กู้เหยียน คุณไม่เข้าใจ”
“แต่..”
“พวกเขาจงใจนั่งที่โต๊ะของฉันทั้งที่มีโต๊ะอื่นว่าง การกระทำนี้คือจดหมายท้าทาย”
แน่นอนว่ากู้เหยียนไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาเพียงเห็นว่าสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง ตีต่อยกันได้ก็ควรเลี่ยง แต่สำหรับกวงจือหลินหากเธอยอมถอยในครั้งนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าตระกูลกวงอยู่ใต้การควบคุมของผู้พันซาง ภายหน้าย่อมถูกถากถางเย้ยหยันไม่จบไม่สิ้น
“อาเซี่ย คุ้มกันคุณหมอกู้ให้ดี”
“ครับ”
หลังได้รับคำสั่งเซี่ยเว่ยก็เดินเข้ามาประชิดตัวกู้เหยียน กวงจือหลินปล่อยมือจากเขาด้วยท่าทางมุ่งมั่นคับแค้นใจ
“ฉันจะไปกับเธอด้วย”
ซ่งรุ่ยหยางบอกเสียงเข้ม ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กชายอ่อนแอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจะปกป้อง และยืนเคียงข้างกวงจือหลินเอง
“ไม่ต้อง!”
“แต่ว่าอาหลิน...”
“อาหยางบางทีนายอาจจะลืมไปว่าตอนนี้พ่อของนายกำลังเจรจาเรื่องการจับจองพื้นที่ทางตะวันตกกับผู้พันซาง ปัญหาครั้งนี้ถึงนายอยากช่วยฉันก็ไม่สามารถลงมือได้ ในฐานะว่าที่ผู้นำคนถัดไปของตระกูลนายควรรู้ว่าควรทำอย่างไร”
เมื่อได้ยินคำตอบของกวงจือหลิน ซ่งรุ่ยหยางก็ไร้ข้อโต้แย้งจะโต้ตอบทำได้เพียงยืนนิ่งกำหมัดมองแผ่นหลังเล็กเดินเข้าไปในฉางเจิ้งไนต์คลับด้วยท่าทางไม่หวั่นเกรง
“คุณหมอกู้ อย่าเข้าไปดีกว่าครับ”
เซี่ยเว่ยกางแขนขวางหน้ากู้เหยียนในทันทีที่เห็นเขาขยับตัวก้าวเดินคล้ายจะตามกวงจือหลินเข้าไปในฉางเจิ้งไนต์คลับ
“ในฐานะว่าที่สามีของเธอ นายคิดว่าฉันควรยืนมองเธอเดินเข้าไปเผชิญอันตรายคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
กู้เหยียนตั้งคำถามเสียงแข็ง ต่อให้วันนี้เขาเป็นเพียงคนรู้จักของกวงจือหลิน แต่การมองดูเธอเดินเข้าไปเผชิญอันตรายเพียงลำพังก็ไม่ใช่เรื่องที่ลูกผู้ชายสมควรทำ
“นายเองก็เป็นห่วงเธอเหมือนกันใช่ไหม”
“แต่คำสั่งของคุณหนู”
“ฉันรับปากเมื่อเข้าไปแล้วจะหาที่ปลอดภัยหลบ นายเข้าไปช่วยอาหลิน แบบนี้ดีหรือไม่”
เซี่ยเว่ยเองก็กังวลใจและห่วงใยกวงจือหลินไม่น้อย ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าเธอจะปลอดภัย
“อย่างนั้นก็ได้ครับ”
..................................................