บทที่ 1.1 สามีของฉันใครก็แตะต้องไม่ได้

1896 Words
บทที่ 1.1 สามีของฉันใครก็แตะต้องไม่ได้ กวงจือหลินเดินเข้ามาในห้องแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาปลายเตียงยกขาเรียวขึ้นไขว้กันพร้อมกับสะบัดเปิดกระโปรงขึ้น กู้เหยียนถอนหายใจยาวกับกิริยาไม่สำรวมของเธอ เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาวางลงเรียวขาอีกข้าง เผยให้เห็นเพียงต้นขาขาวที่มีรอยแผลลึกเป็นทางยาว "ฉันจะลงไปเอากล่องยา เธอรออยู่ตรงนี้" กวงจือหลินไม่เอ่ยคัดค้านหรือตอบรับ เพียงมองแผ่นหลังกว้างเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อลับตาเขาก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ไม่นานนักกู้เหยียนก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับที่บุหรี่ในมือของกวงจือกลินที่หมดลง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ก่อนจะนั่งลงบนพื้นห้องเปิดกล่องหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมาทำแผลให้กวงจือหลินอย่างเบามือ "บุหรี่ทำลายสุขภาพ ภายหน้าก็สูบให้น้อยลงหน่อยเถอะนะ" เสียงอ่อนละมุนเอ่ยบอก ดวงตากลมมองคนตรงหน้านิ่ง เขากล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนเธอ เพียงแต่ทั้งที่ควรรู้สึกไม่พอใจกวงจือหลินกลับรู้สึกอบอุ่นในอกอย่างไร้เหตุผล "บ่นเก่งชะมัด เสร็จหรือยัง ฉันเหนื่อยอยากนอนแล้ว" "อืม..." กู้เหยียนตอบรับในลำคอ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนส่งมาให้เธอ กวงจือหลินรีบดึงเสื้อของตนเองขึ้นมาดมด้วยความไม่มั่นใจ นี่ตัวเธอเหม็นจนเขาทนไม่ไหวต้องให้เธออาบน้ำเลยหรือ "เมื่อครู่เธอออกแรงไปมาก อาบน้ำก่อนค่อยนอนจะได้หลับสบาย ระวังอย่าให้แผลถูกน้ำ" ในแววตากลมพลันสั่นไหวเล็กน้อย ความอ่อนโยนเช่นนี้แม้จะเป็นการเสแสร้ง แต่กลับอบอุ่นยิ่งนัก มือเรียวเอื้อมไปรับผ้าขนหนูตรงหน้าแล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำ สองแก้มแดงก่ำ ก่อนจะสลัดศีรษะไล่ความรู้สึกประหลาดของตนเอง อาบน้ำอย่างระวัง อย่าให้แผลถูกน้ำ เสียงของคนด้านนอกยังดังก้องในความคิดราวกับเขามายืนเตือนอยู่ด้านหลัง ดังนั้นตลอดการอาบน้ำกวงจือหลินจึงระวังแผลที่ขาเป็นพิเศษ กวงจือหลินใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็ออกมา เพียงแต่ภาพห้องที่ว่างเปล่ากลับทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น รีบสวมเสื้อผ้ารัดกุมตามปกติของตนแล้วเดินลงมาที่ชั้นล่างรุ่น “มีใครเห็นคุณหมอกู้ไหม” “คุณหมอกู้ออกไปข้างนอกครับ” “ไปข้างนอก! กับใคร แล้วไปที่ไหน” “เอ่อ... ไปกับอาเซี่ยครับ” ในใจของกวงจือหลินพลันรู้สึกไม่สงบขึ้นมา รอบตัวเธอมีศัตรูมากมาย ทุกย่างก้าวการกระทำล้วนต้องคอยระมัดระวัง กู้เหยียนเป็นว่าที่สามีของเธอ แม้จะในนามก็ตามแต่ก็นับเป็นคนของเธอ เป็นเป้าหมายของศัตรู ราวสองชั่วโมงกู้เหยียนก็กลับมาพร้อมกับข้าวของมากมาย กวงจือหลินไม่สนใจว่าเขาออกไปซื้ออะไรที่เธอสนใจก็คือความปลอดภัยของเขา “คุณปลอดภัดีใช่ไหม" "ครับ" กู้เหยียนตอบรับด้วยท่าทางสับสนงุนงงเล็กน้อย เขาแค่ไปซื้อของไมได้ไปรบจะมีอันตรายอะไรได้กัน "จะไปไหนทำไมไม่บอกฉันก่อน” คนรอบตัวได้ยินน้ำเสียงห้วนดุดันของกวงจือหลินก็รีบปลีกตัวหลบ ใครๆ ก็รู้ว่าพายุโทสะของคุณหนูกวงนั้นยากจะรับมือ ที่น่าสงสารตอนนี้ก็คงเป็นชายหนุ่มต่างเมืองผู้นั้น “คุณกำลังอาบน้ำอยู่ ผมออกไปซื้อของเล็กน้อยเลยไม่อยากรบกวนคุณ” “คุณกู้ ที่นี่คือเซียงไฮ้และคุณคือว่าที่สามีของฉัน คุณรู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร” มาถึงตรงนี้กู้เหยียนก็พลันเข้าใจความขุ่นเคืองของกวงจือหลิน ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มออกแล้วเอ่ยตอบเสียงอ่อนโยน “ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงผม แต่แผลของคุณลึกมากแค่ทำแผลอย่างเดียวไม่พอ ต้องกินยาด้วย” ไม่เพียงแค่พูดอธิบาย กู้เหยียนยังหมุนตัวไปหยิบถุงยาออกมาให้เธอดูด้วย อารมณ์โมโหของกวงจือหลินพลันจางหายเมื่อรับรู้ว่ากู้เหยียนออกไปซื้อยาให้ตนเอง “อ่อ... แล้วก็กล่องยาในบ้านมีขนาดเล็กไปเมื่อเทียบกับจำนวนคน ยาบางตัวก็หมดอายุ ผมเลยซื้อมาให้ใหม่ ยังชาอีกสองสามชนิดที่ช่วยทำให้นอนหลับสนิทด้วย” หัวใจของกวงจือหลินสั่นไหวอย่างไม่อาจหักห้าม ฟังคนตรงหน้าหยิบของออกมาให้ดูด้วยท่าทางสงบและตั้งใจ ภาพนี้ทำให้บรรดาคนที่ลอบมองต่างพากันตื่นตกใจ หรือชายแซ่กู้ผู้นี้จะเป็นคนที่คุณหนูรักจริงๆ อยู่ต่อหน้าเขาเธอจึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเช่นนี้ “ศัตรูฉันมีอยู่รอบทิศ ครั้งหน้าจะไปไหนพาคนไปให้มากหน่อย เข้าใจหรือไม่” “ครับ” “ฉันง่วงแล้วจะขึ้นไปนอน” กวงจือหลินเอ่ยบอกแล้วขยับตัวเดิน ทว่าขณะที่ก้าวผ่านเขาขาของเธอก็อ่อนแรงกะทันหันขึ้นมา กู้เหยียนรีบคว้าตัวเธอเอาไว้แนบอกก่อนจะช้อนตัวคนขาเจ็บขึ้น “ขาคุณเจ็บอยู่ ให้ผมอุ้มไปส่งที่ห้องดีกว่าไหมครับ” “อืม... ฉันเองก็เดินไม่ค่อยไหว” สิ้นคำตอบรับของคนขาเจ็บ บรรดาคนที่ลอบมองก็เบ้หน้าเบือนสายตาหนีในทันที เดินไม่ไหวอะไรกัน เมื่อครู่คุณหนูกวงยังวิ่งลงบันไดมาตามหาคนอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมพริบตาก็กลายเป็นเดินลำบากไปเสียได้ ไม่คิดว่าคุณหนูกวงก็รู้จักใช้มารยาหญิงเช่นกัน ...................................................................... กู้เหยียนวางคนขาเจ็บลงบนเตียงนอน หากแต่ตอนที่เขากำลังจะจากไปมือหนาก็ถูกหญิงสาวบนเตียงจับเอาไว้ “ภายใน 30 นาทีนี้ห้ามคุณออกจากห้องฉัน” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย กวงจือหลินไม่ตอบยังรั้งลำคอของเขาลงมาแล้วกดริมฝีปากแนบชิด ออกแรงดูดดึงจนเกิดเป็นริ้วแดง เมื่อเห็นผลงานของตนเอง ริมฝีปากสวยก็คลี่ยิ้มออก ก่อนปล่อยตัวคนเป็นอิสระ “คิดจะแสดงละครก็ควรทำให้แนบเนียน” พูดจบกวงจือหลินก็ซุกตัวลงในผ้าห่มแล้วหลับตาลง กู้เหยียนวางมือลงบนรอยแดงที่หญิงสาวทิ้งไว้แล้วใจสั่นระรัว นิ้วยาวรีบตรวจจับชีพจรที่ข้อมือของตนเองในทันที 132 ครั้ง/นาที นี่นับเป็นภาวะวิกฤต เพื่อให้ผลตรวจเป็นไปอย่างแม่นยำ เขาจึงเดินไปที่โซฟาปลายเตียงนั่งหันหลังให้คนนอนหลับแล้วกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ราว 5 นาทีจึงตรวจชีพจรของตนเองอีกครั้ง 88 ครั้ง/นาที เมื่อได้ผลตรวจที่ปกติ คนตื่นตกใจก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ด้านหลังของตนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเขาด้วยท่าทางขบขัน จวบจนเวลาผ่านไปครบครึ่งชั่วโมงเมื่อเขาเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง สายตาของคนรอบตัวก็มองเขาด้วยรอยยิ้ม และท่าทีทีต่างไปจากเดิม “เมื่อเช้าอาหลินยังไม่ได้กินอะไรฉันจะไปปอกผลไม้ให้เธอ มีอะไรที่เธอกินไม่ได้หรือไม่” กู้เหยียนหันไปถามคนสนิทของกวงจือหลิน พลางเปิดตู้เย็นหยิบของสดในนั้นออกมา “ไม่มีครับ” “อาหลินมีประวัติแพ้ยา แพ้อาหารอะไรไหม” “ไม่มีครับ” “โรคประจำตัวล่ะ มีหรือเปล่า ต้องกินยาอะไรเป็นประจำไหม” คนสนิทของกวงจือหลินส่ายหน้าไปมาถี่ระรัว เหตุใดจึงรู้สึกราวกับพวกเขากำลังถูกซักประวัติก่อนเข้าพบแพทย์กัน “อาหลิน อาหลินอยู่ไหม” เสียงร้องเรียกกวงจือหลินดังก้อง ก่อนที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางคุ้นเคย ดูจากคำเรียกหาแล้วเป้าหมายของเขาย่อมต้องมาพบกวงจือหลินเป็นแน่ “นั่นคุณชายรองซ่งครับ เขาแอบหลงรักคุณหนูของเรามาตั้งแต่ 9 ขวบแล้วครับ” ลูกน้องคนหนึ่งของกวงจือหลินเอ่ยบอก หากแต่กู้เหยียนกลับมีท่าทีสงบไม่ได้เดือดร้อนไปกับข้อมูลที่อีกฝ่ายให้ ด้วยตระหนักได้ถึงสถานะของตนเอง “คุณหมอกู้ คุณไม่หึง ไม่หวงคุณหนูหน่อยหรือครับ” “ทำไมฉันต้องหึง ต้องหวงด้วย” “แต่คุณกับคุณหนู...” “นายไม่ได้บอกหรือว่าเขาหลงรักอาหลินมาตั้งแต่ 9 ขวบ หากอาหลินคิดมีใจหรือหวั่นไหวต่อเขา ฉันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้” คำพูดของกู้เหยียนทำให้คนสนิทของกวงจือหลินทั้งสองถึงกับอ้าปากค้าง ทว่าเมื่อเห็นคุณชายซ่งเดินตรงไปที่บันได กู้เหยียนก็แสดงตัวในทันที “อาหลินนอนหลับอยู่ครับ” พื้นที่บนชั้นสองเป็นที่ส่วนตัวของเจ้าของบ้าน ชื่อเสียงของสตรีต้องรักษาให้ดี ดังนั้นกู้เหยียนจึงได้เอ่ยห้ามปราม “คุณชายซ่งนั่งรอที่ด้านล่างก่อนดีกว่าครับเดี๋ยวผมไปเรียกอาหลินให้” ไปเรียกกวงจือหลินให้ ซ่งรุ่ยหยางพลันขมวดคิ้วหนา มองชายแปลกหน้าด้วยความสงสัย อีกฝ่ายมีสถานะใดถึงสามารถเข้าห้องของอาหลินได้ “คุณเป็นใคร” “สามีฉันเอง!” เสียงเล็กดังก้องมาจากชั้นบน พร้อมกับร่างเพรียวบางของกวงจือหลิน ใบหน้าของซ่งรุ่ยหยางพลันบิดเบี้ยว ดวงตาคมแดงก่ำเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา กวงจือหลินเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ถอนหายใจยาวอย่างนึกรำคาญใจ “ถ้าจะร้องไห้ก็ไปร้องที่อื่น น่ารำคาญ” ซ่งรุ่ยหยางส่งสายตาเศร้าให้คนที่นั่งลงตรงข้าม ก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อนวอน “อาหลิน ฉันชอบเธอมานาน เธอก็รู้ทำไมยัง...” “อย่าพร่ำเพ้อยืดเยื้อ มีอะไรก็ว่ามา” ซ่งรุ่ยหยางถูกดักทางเช่นนี้ก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงแง่งอน “สินค้าที่ต้องส่งไปยังซงซาน หายไป 12 ลัง” “หาย! หายได้ยังไงกัน ตรวจสอบหรือยัง” “อืม... ฉันให้คนตรวจสอบแล้ว หนึ่งในรถขนส่งของเราคล้ายจะถูกสลับลังสินค้า” “เอาของสำรองในคลังส่งไปให้ลูกค้าก่อน ส่วนของที่หายไป ให้คนไปตามสืบมาแล้วฉันจะไปทวงด้วยตนเอง” “ได้!” เมื่อสนทนาเรื่องงานเสร็จซ่งรุ่ยหยางก็ปรับเปลี่ยนเป็นคนละคน ขยับตัวประชิดกวงจือหลินแล้วเอ่ยชวนเธอด้วยท่าทางเว้าวอน “อาหลินวันนี้ที่ฉางเจิ้นไนต์คลับมีนักร้องใหม่มา เธอไปฟังเพลงกับฉันไหม” “ก็ดี” เมื่อได้ยินเธอตอบตกลง ซ่งรุ่ยหยางก็ยิ้มกว้างจนตาหยี หากแต่เพียงชั่วครู่รอยยิ้มนั้นก็แข็งค้าง หัวใจปวดหนึบราวกับกำลังแตกสลาย “ฉันจะได้พาสามีของฉันออกไปเที่ยวด้วย” ......................................................................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD