บทที่ 1.3
สามีของฉันใครก็แตะต้องไม่ได้
“อย่างนั้นก็ได้ครับ”
ซ่งรุ่ยหยางมองดูกู้เหยียนและเซี่ยเวยเดินเข้าไปด้านในแล้วขบกรามกำหมัดแน่น ในใจปวดหนึบจนดวงตาแดงก่ำ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าไม่ต้องการฐานะว่าที่ผู้นำคนถัดไปของตระกูล
กวงจือหลินเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะประจำของตนเอง เหลาตังอี้หยิบแก้วหล้าตรงหน้าขึ้นมาถือ ยกมุมปากขึ้นส่งรอยยิ้มเย้มหยันมาให้หญิงสาวตรงหน้า
“ไม่เจอกันนานเลยนะคุณหนูกวง มานั่งด้วยกันไหมคืนนี้ฉันเลี้ยงเอง เธอแค่คอยรินเหล้าให้ฉันก็พอ”
นั่งรินเหล้าให้เขา คำพูดเย้ยหยันดูแคลนนี้ของเขาทำให้กวงจือหลินหางตาของกวงจือหลินกระตุก ทว่าพริบตาก็ยกยิ้มหวาน เดินเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ข้ามเขาด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ฉันได้ยินมาว่า ภรรยาของคุณกำลังจะคลอดลูก ได้ตั้งชื่อให้เขาไว้แล้วหรือยังคะ”
“เธอกำลังหมายความว่ายังไง”
“ฉันแค่เป็นห่วง กลัวว่าคุณจะไม่ได้ตั้งชื่อลูกก็เท่านั้น”
กลัวว่าเขาจะไม่ได้ตั้งชื่อลูก นี่หญิงสาวตรงหน้ากำลังข่มขู่เขาเหรอ คิ้วเข้มของเหลาตังอี้ขมวดเข้าหากันแน่น ลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังจนคนทั้งไนต์คลับหันมามอง ทว่ายังไม่ทันพูดอะไร โต๊ะตรงหน้าก็ถูกปลายเท้าของกวงจือหลินเตะจนพลิกคว่ำลงใส่เขา
“กวงจือหลิน นี่เธอ...”
เหลาตังอี้พูดไม่ทันจบ ปลายเท้าของกวงจือหลินก็ยันเข้าที่อกของเขา ก่อนที่เธอจะกำหมัดง้างมือเข้าจู่โจมคนของเขาด้วยความรวดเร็ว เพียงแต่เหลาตังอี้และพรรคพวกไม่ใช่คนไร้ฝีมือ ดังนั้นกวงจือหลินจึงไม่สามารถจัดการเขาได้ง่ายๆ ในระหว่างที่เธอกำลังโต้ตอบกับคนของเขาอย่างสูสี เหลาตังอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลัวหญิงสาวก็หยิบขวดเหล้าขึ้นง้างเข้าฟาดใส่หัวเธอ
เพล้ง! เสียงของขวดสุราแตกกระจาย น้ำสีแดงฉานไหลลงพื้นปะปนกับเหล้าราคาแพง เพียงเลือดที่ไหลออกทานั้นไม่ใช่จากศีรษะของกวงจือหลิน แต่เป็นของ...
“กู้เหยียน!”
โครม! เซี่ยเว่ยที่เข้ามาสมทบลงมือจัดการเหลาตังอี้ ขณะที่กวงจือหลินหันมาประคองคนเจ็บ ดวงตากลมมองดูศีรษะที่อาบไปด้วยเลือดของกู้เหยียนแล้วขบกรามแน่น ก่อนจะดันให้เขาไปพิงที่โต๊ะด้านข้าง
"คุณอยู่ตรงนี้ รอฉันสักครู่"
พูดจบกวงจือหลินก็หยิบขวดเหล้าบนโต๊ะข้างๆ แล้วเดินมาแล้วฟาดกลับไปที่ศีรษะเหลาตังอี้จนเขาเสียหลักล้มบนพื้น
กวงจือหลินกระแทกเข่าเข้าที่กลางอกอีกฝ่าย ก่อนจะใช้ปากขวดที่แตกเป็นฟันฉลามกดจ่อที่คอของเขา
“กล้าแตะต้องเขา ก็อย่ามีชีวิตอยู่อีกเลย”
“อาหลิน อย่า!”
แม้จะบาดเจ็บแต่กู้เหยียนก็ยังมีสติ สังเกตจากท่าทีที่ซ่งรุ่ยหยางยังต้องไว้หน้าอีกฝ่าย เกรงว่าอิทธิพลของชายตรงหน้าก็คงมีไม่น้อย เขาไม่ต้องการให้กวงจือหลินเผชิญกับปัญหาในภายหลังเพราะเขาจึงได้เอ่ยห้ามปราม
กวงจือหลินปกติไม่เคยฟังใคร แต่เพียงได้ยินเสียงของกู้เหยียนน้ำหนักมือที่กดคมขวดลงบนลำคอของเหลาตังอี้ก็ลดลง ก่อนที่เธอจะปักคมขวดลงบนไหล่ซ้ายของเหลาตังอี้
"อร๊าก!"
เสียงของเหลาตังอี้ดังลั่นไนต์คลับ กู้เหยียนเร่งเดินเข้ามาจับมือที่สั่นเทาของกวงจือหลิน แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“อาหลิน เรากลับบ้านกันเถอะนะ”
ดวงตาแข็งกร้าวตวัดมองเจ้าของมือหนาที่วางทับบนมือเธอ ทว่าเมื่อได้เห็นสายตาอบอุ่นของเขา ใจที่ร้อนราวกับมีไฟรุกโชนก็เปลี่ยนเป็นเย็นลง และยอมปล่อยมือจากคอขวดบนไหล่ของเหลาตังอี้ ก่อนจะลุกขึ้นจ้องมองคนที่นอนหมอบอยู่บนพื้นอีกรอบอย่าวคับแค้นใจ
"อาหลิน..."
น้ำเสียงอ่อนละมุนของกู้เหยียนทำให้กวงจือหลินถอนหายใจยาว วางมืออีกข้างของเธอลงบนหลังมือเขา แล้วเงยหน้าตอบตกลง
“ได้! ฉันกลับ”
“กวงจือหลิน เธอกล้าทำร้ายฉันเรื่องนี้ตระกูลกวงต้องมีคำตอบให้ผู้พันซาง”
“เช่นนั้นผู้พันซางก็ต้องมีคำตอบให้ตระกูลเติ้งเช่นกัน”
น้ำเสียงตวาดก้องแข็งกร้าวดังขึ้นที่ด้านหน้าประตูทางเข้าไนต์คลับ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเติ้งเทียนอวี้
"อาอวี้"
กวงจือหลินเรียกเขาด้วยน้ำเสียงยินดี ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้าง ท่าทางและสายตาที่แสดงความดีใจราวพบเจอที่พึ่งอันปลอดภัยทำให้ในใจของกู้เหยียนเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ในจังหวะที่เติ้งเทียนอวี้ยืนมือมาเพื่อจับแขนกวงจือหลินเท้าของกู้เหยียนก็ขยับไปขวางทางอย่างแนบเนียน
“อาหลิน เธอเป็นอะไรไหม”
“ฉันไม่เป็นไร”
คำทักทายสั้นๆ หากแต่ท่าทางและน้ำเสียงที่เป็นกันเองก็ทำให้คาดเดาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ได้ เหลาตังอี้ที่ยังคงนั่งกุมศีรษะอยู่บนพื้นขบกรามแน่น จ้องมองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ
“เหลาตังอี้ นายเป็นคนสนิทของผู้พันซาง รู้ใช่ไหมว่าเขามีวิธีการจัดการคนที่สร้างปัญหาให้เขาอย่างไร”
เติ้งเทียนอวี้เดินไปนั่งข้างเหลาตังอี้แล้วกระซิบบอกเสียงเบา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่คนฟังใบหน้าซีดเซียวใจสั่นระรัว เพราะรู้ดีว่าวิธีการที่เติ้งเทียนอวี้กำลังสื่อนั่นก็คือการ กำจัดทิ้ง
“อาหลินเธอพาคนของเธอกลับไปก่อนเถอะทางนี้ฉันจะจัดการต่อเอง”
กวงจือหลินพยักหน้ารับ เธอกับเติ้งเทียนอวี้ไม่เพียงเป็นทายาทสายตรงของตระกูลใหญ่เหมือนกัน แต่ยังเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ระดับประถมจวบจนจบระดับมหาวิทยาลัย กล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นราวกับพี่น้องร่วมครรภ์มารดาเลยทีเดียว
...............................................
"ไปโรงพยาบาล"
น้ำเสียงเด็ดขาดเอ่ยบอกซ่งรุ่ยหยางที่ตอนนี้เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นคนขับรถแทนเซี่ยเว่ยที่บาดเจ็บ
"อาหลินเธอไม่เข้าตรวจหรือ"
ซ่งรุ่ยหยางเห็นว่ากวงจือหลินไม่ได้เดินเรื่องเจ้ารับการตรวจรักษาก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย แต่เพราะในใจของคนถูกถามจดจ่ออยู่ที่คนในห้องฉุกเฉินจึงไม่ได้ยินคำถามของเขา ซ่งรุ่ยหยางเม้มริมฝีปากแน่น มองไปที่ประตูห้องฉุกเฉินตรงหน้าแล้วเกิดคำถามในใจ
หากคนที่เข้าไปช่วยเธอและบาดเจ็บคือเขา สายตาห่วงใยเช่นนี้ของเธอจะมองมาที่เขาเหมือนกันใช่หรือไม่
"กู้เหยียนเป็นยังไงบ้างคะ"
กวงจือหลินลุกขึ้นวิ่งไปหานายแพทย์หนุ่มทันทีที่เจาเดินออกมาจากประตูห้องฉุกเฉิน
“โชคดีที่แผลไม่ลึกมาก เย็บแค่ 4 เข็มเท่านั้น ต่อไปก็ล้างแผลทุกวัน ทานยาให้ครบนะครับ”
กวงจือหลินพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจก่อนจะพาคนกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้านตระกูลกวง ซ่งรุ่ยหยางก็เดินมาขวางทางกวงจือหลินแล้วสบตาเธอด้วยสายตารู้สึกผิด
“อาหลิน ฉัน...”
“อาหยาง ความจริงใจของนายฉันรับรู้ดีกว่าใคร ไม่ต้องกังวลฉันไม่เคยตำหนิ หรือโทษอะไรนายเลย ดึกแล้วฉันจะให้คนไปส่งนายกลับบ้านนะ”
เพราะเห็นว่าสภาพจิตใจของซ่งรุ่ยหยางเวลานี้ไม่คงที่ กวงจือหลินจึงเรียกคนของตนเองให้ไปส่งเขา ก่อนจะหันมาทางเซี่ยเว่ย
“พรุ่งนี้นายไปตรวจสุขภาพเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลด้วย ค่าใช้จ่ายฉันรับผิดชอบเอง”
“ครับ”
เพราะอาการภายนอกของเซี่ยเว่ยไม่ได้สาหัสอะไร ทางโรงพยาบาลไม่นับเป็นภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน จึงให้เขากลับบ้านได้ แต่กวงจือเว่ยก็ยังกังวลจึงให้เขาไปตรวจเพิ่มเติมในวันพรุ่งนี้
“คุณเองก็ควรไปให้หมอตรวจด้วยนะ”
กู้เหยียนเห็นว่าหญิงสาวเองก็บาดเจ็บ อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่โรงพยาบาลเธอก็ไม่ยอมตรวจรักษาเขาจึงบอกด้วยน้ำเสียงกังวล
“ฉันมีหมอประจำตัวอยู่ที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องไปให้ใครตรวจเพิ่มอีก”
พูดจบดวงตาที่มักแข็งกร้าวก็จ้องมองกู้เหยียนด้วยสายตาหยอกเย้า คนถูกมองจึงทำได้เพียงถอนหายใจยาวกับความดื้อดึงเอาแต่ใจของเธอ
.........................................