ตอนที่ 5 สิ่งแรกที่ต้องทำ

1571 Words
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีบ่าวไพร่ล้วนเตรียมพร้อมรับใช้ผู้เป็นนาย แต่ยังมีเรือนหนึ่งที่คงไว้ซึ่งความสงบนั่นคือเรือนของคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีเซี่ย เพราะคำสั่งของฮูหยินที่ต้องการให้คุณหนูพักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามปลุกจนกว่าคุณหนูจะตื่นด้วยตนเอง ถ้าใครได้ฟังคงรู้สึกถึงความรักของผู้เป็นมารดาเป็นแน่ เพียงแต่ไม่ใช่กับเซี่ยลี่อิงที่ใช้ชีวิตมาแล้ว 1 ชาติ นางเพิ่งมองเจตนาที่แท้จริงของสตรีผู้นั้นออก การบ่มเพาะให้เสียนิสัยเริ่มต้นตั้งแต่นางลืมตาตื่นในแต่ละวันนี่เอง เด็กน้อยผุดลุกนั่งเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลับไปอีกแล้ว! ร่างของเด็กวัย 7 หนาวย่อมอยู่ในช่วงกำลังกินกำลังนอน การที่นางตื่นกลางดึกแล้วฝืนคิดเรื่องราวต่างๆ ย่อมทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า สุดท้ายจึงหลับคาหมอนที่ตนกำลังกัดเสียจมเขี้ยว… “กลางยามเหม่า (05.00 – 06.59 น.) แล้วสินะ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มบ่นกับตนเองเมื่อมองออกไปยังหน้าต่าง ท้องฟ้าด้านนอกคล้ายจะทอแสงของดวงตะวันให้เห็น “นี่เป็นความจริงอย่างนั้นสินะ ข้าได้ย้อนกลับมาแล้วจริงๆ” เซี่ยลี่อิงนั่งมองมือขาวนวลเล็กจ้อยกับเท้าน้อยๆ ที่กระดิกไปมาเพื่อทดสอบว่าตนไม่ได้ฝันไป เจ้าตัวเล็กทิ้งตัวลงที่นอนอีกครั้ง นางเฝ้าถามตนเองมาตั้งแต่เมื่อคืนว่าควรทำเช่นไรต่อไปดี นางกลายเป็นเด็กเช่นนี้จะลงมือทำสิ่งใดได้อีก แถมแต่ละคนที่นางต้องสู้ด้วยก็ใช่ตะเกียงไร้น้ำมันเสียเมื่อไหร่ “เอาเถิด ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน ยามนี้สิ่งแรกที่ควรทำคือจัดการหนอนตัวใหญ่ในเรือนเสียก่อน” เด็กน้อยขบคิดถึงเรื่องราวในชีวิตที่แล้ว นางต้องกำจัดเหมยเหม่ยที่เป็นพี่เลี้ยงในยามนี้ของตนเสียก่อน เพราะคนที่กล้าวางยานางก็คือสาวใช้ใกล้ตัวคนนี้นี่แหละ! “อ๊ะ ไม่ใช่สิ ข้ามีเรื่องด่วนที่สุดที่ต้องจัดการอยู่นี่!” เซี่ยลี่อิงลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง และครั้งนี้นางมีเรื่องที่ต้องทำโดยด่วน “ใครอยู่ข้างนอกบ้าง” เสียงใสเรียกข้ารับใช้ที่รออยู่หน้าห้อง พวกนางมีสีหน้าแปลกใจอย่างมากที่คุณหนูใหญ่ตื่นเช้าถึงเพียงนี้ ปกติแล้วถ้าไม่ถึงปลายยามซื่อ (09.00 – 10.59 น.) อย่าได้หวังว่าจะได้เห็นคุณหนู “ทำไมวันนี้ตื่นเร็วนักล่ะเจ้าคะ” เสียงคุ้นหูของข้ารับใช้คนสนิททำเอาเซี่ยลี่อิงชะงักค้าง ความกรุ่นโกรธมากมายทำให้นางจ้องมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาคมกริบ “ใช่ธุระของเจ้างั้นรึ เหมยเหม่ย” เสียงใสนิ่งเรียบจนคนฟังขนลุกซู่ นางได้แต่แปลกใจที่คุณหนูใหญ่มีความน่ากลัวถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้เพราะถึงเด็กน้อยจะอาละวาดหลายครั้งแต่ก็เป็นการเอาแต่ใจแบบเด็กๆ “บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ” ในตอนนี้เหมยเหม่ยเป็นเด็กสาววัยเพียง 12 หนาว ดังนั้นเมื่อเจอรังสีกดข่มจึงรีบก้มหน้ารับผิดแต่โดยดี เซี่ยลี่อิงมองภาพตรงหน้าก่อนจะใคร่ครวญว่าสตรีผู้นี้หักหลังตนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตั้งแต่แรกหรือช่วงที่นางเข้าวัง… ‘อา…คิดไปก็เท่านั้น จะหักหลังข้าตอนไหนสุดท้ายเจ้าก็เลือกที่จะหักหลังข้า ข้าคงมิอาจเก็บเจ้าไว้ใกล้ตัวได้อีกแล้ว’ ดวงตากลมใสกระจ่างพลันมืดครึ้มดุจห้วงน้ำอันไร้แสงสว่าง “แต่งตัวให้ข้า ข้าจะไปรับสำรับที่เรือนใหญ่” นานเพียงใดแล้วนะที่นางมิได้ไปร่วมโต๊ะกับบิดา “เจ้าค่ะ พวกเจ้ายกของเข้ามา” เหมยเหม่ยรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็ว แม้ในใจจะสงสัยการเปลี่ยนแปลงของคุณหนูใหญ่เพียงใดก็ตาม ร่างเล็กเดินนำพี่เลี้ยงมายังห้องโถงใหญ่ที่เรือนหลัก นางส่งคนมาแจ้งไว้ก่อนแล้วว่าจะมาทานข้าวกับทุกคนที่นี่ ยามก้าวเข้ามาในห้องความรู้สึกโหยหาคุ้นเคยก็ประเดประดังเข้ามา นางกวาดตามองทุกคนที่นั่งรออยู่ เห็นใบหน้าสวยหวานของคนที่ตนเคยรักและเทิดทูนเพราะเชื่อว่าสตรีคนนี้คือมารดาของตนก็อดรู้สึกอยากจะเข้าไปบีบคอมันให้ตายคามือไม่ได้ ดวงตากลมหลุบมองพื้นปกปิดความเกลียดชังที่ทอประกายวาววับราวกับพยัคฆ์ที่จ้องตะครุบเหยื่อ ‘ยังไม่ใช่ตอนนี้’ เซี่ยลี่อิงปลอบใจตนเอง นางต้องชำระแค้นแทนมารดาของนางแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ถ้านางใจร้อนทุกอย่างจะแย่ยิ่งกว่าเดิม “คาราวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ” หลังสูดลมหายใจเข้าลึกเสียงหวานสดใสก็ทักทายทุกคนอีกครั้ง มารยาทที่เคยละเลยถูกเก็บกลับคืนมาใช้ให้เป็นนิสัย เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยเป็นอย่างไร! แน่นอนว่าทุกคนล้วนตกใจกับภาพคุณหนูใหญ่ยอบกายได้อย่างสวยงามตามแบบแผนจนแทบจะลุกขึ้นปรบมือให้ เด็กน้อยปรายตามองการตอบรับเหล่านั้นก่อนจะไปหยุดที่สายตาของสตรีซึ่งเป็นมารดา…ปลอมๆ ของนาง เสี้ยววินาทีดวงตาดอกซิ่งฉายชัดถึงความเกลียดชังก่อนจะเลือนหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความปลาบปลื้มระคนภูมิใจ ซึ่งเซี่ยลี่อิงไม่พลาดรายละเอียดเล็กน้อยนั่น ชาติที่แล้วนางมัวแต่หลงระเริงในชีวิตอันสุขสบายจนไม่ทันสังเกตเห็นจุดเล็กจุดน้อยเหล่านี้สักนิด “อิงเอ๋อร์ของแม่โตแล้ว ดูสิช่างน่ารักน่าชังยิ่ง” สองแขนเรียวอ้าออกเพื่อให้เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้ามากอดเหมือนปกติ เด็กน้อยวิ่งเข้าใส่ด้วยความคิดถึงจนคนรับตั้งตัวไม่ติด “ข้าคิดถึงท่านพ่อ!” บุรุษหนึ่งเดียวในห้องตกตะลึงกับอ้อมกอดแสนอบอุ่นที่เขาเฝ้ารอมาเนิ่นนานจนเลิกที่จะรอไปแล้วเมื่อบุตรีหมางเมินอย่างเห็นได้ชัด แต่เขามองว่าอาจเพราะเด็กผู้หญิงมักติดมารดามากกว่าจึงได้แต่ทำใจ “หึหึ เจ้าตัวแสบ เจอพ่อทุกวันยังบอกว่าคิดถึงอีกหรือ” เซี่ยซือจงเอ่ยเย้าทั้งที่ดวงตาเริ่มแดงระเรื่อ “แน่นอนเจ้าค่ะ ถึงจะเจอท่านพ่อทุกวันข้าก็ยังคิดถึง” เสียงเจื้อยแจ้วของบุตรสาวทำเอาใจแกร่งอ่อนยวบยาบ “ไม่คิดถึงแม่บ้างหรือ” เสียงหวานหยดย้อยทำเอาเซี่ยลี่อิงขนลุกชัน นางทั้งรังเกียจ ทั้งขยะแขยงนังอสรพิษผู้นี้ แต่ก็ต้องเล่นงิ้วตบตาไปก่อน “ข้าอยู่กับท่านแม่ทั้งวัน ข้าอยากอยู่กับท่านพ่อบ้างเจ้าค่ะ” ดวงตากลมใสซื่อจ้องมองสบอีกฝ่ายไม่วางตา ยามเห็นคิ้วเรียวกระตุกถี่คล้ายกับว่านางจะรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นไม่น้อย ก็มาดูกันสิว่าใครจะเล่นงิ้วได้เก่งกว่ากัน “พี่หญิงกอดท่านพ่อคนเดียวได้อย่างไรกันเจ้าคะ” เด็กสาวตัวน้อยอีกคนเร่งลงจากเก้าอี้แล้วสวมกอดอีกข้างของบิดาบ้าง เพราะเป็นเพียงเด็กวัย 5 หนาวจึงยังคิดสิ่งใดซับซ้อนไม่ได้ เพียงเห็นพี่สาวทำก็อยากทำตามเท่านั้น “หลินเอ๋อร์ก็รักท่านพ่อใช่รึไม่” ได้ทีเซี่ยลี่อิงจึงเริ่มแผนการปลุกปั่นสตรีตัวร้ายที่วางแผนทำลายครอบครัวคนอื่น “เจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์รักท่านพ่อ” เซี่ยซือจงรู้สึกหัวใจพองฟูจนสุขล้น วันที่เขารอคอยที่จะได้ยินลูกๆ บอกรักมาถึงเสียที “พ่อก็รักพวกเจ้าทั้งสองคนเช่นกัน แต่ตอนนี้มานั่งดีๆ ก่อนดีรึไม่ มิเช่นนั้นอาหารคงเย็นหมดเสียก่อน” เสียงทุ้มอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ดวงตาคมทอดมองใบหน้าเด็กน้อยในอ้อมกอดสองข้างด้วยความรักใคร่ “แต่ข้ามีเรื่องจะขอท่านพ่อก่อนเจ้าค่ะ” ใบหน้าน่ารักดุจตุ๊กตากระเบื้องแย้มยิ้มอย่างออดอ้อน มีหรือที่ใครจะกล้าขัดใจ “หืม อิงเอ๋อร์อยากได้สิ่งใดกระนั้นหรือ” มือหนาลูบลงที่เส้นผมสีดำขลับของบุตรสาวคนโต “ข้าอยากให้น้องย้ายมาอยู่ที่เรือนของข้าเจ้าค่ะ” “ไม่ได้!” สายตาทุกคู่ก็ย้ายไปที่เสียงหวานซึ่งขัดขึ้นมาแทบจะทันทีที่เด็กน้อยเอ่ยจบ “ฮึก ทำไมไม่ได้หรือเจ้าคะท่านแม่” เซี่ยลี่อิงเริ่มใช้มารยาบีบน้ำตาออกมาจนใบหน้านวลแดงเรื่อไปหมด ผู้เป็นพ่อรู้สึกปวดใจจนต้องตวัดสายตาดุดันสาดใส่ร่างบอบบางของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา “นั่นสิ ทำไมถึงไม่ได้” ก็แค่บุตรีคนเล็กย้ายไปอยู่กับพี่สาว “หลินเอ๋อร์ยังเล็กนักเจ้าค่ะ” เมื่อรู้สึกตัวว่าวู่วามเกินไป หลิวมี่เอินจึงเปลี่ยนท่าทีมาเป็นห่วงใยแทน “แต่ข้าก็ย้ายไปอยู่คนเดียวตั้งแต่ 4 หนาวนะเจ้าคะ ตอนนี้หลินเอ๋อร์ก็ 5 หนาวแล้ว โตกว่าข้าในตอนนั้นเสียอีก” เจ้าตัวเล็กเอียงคอถามอย่างใสซื่อ ทำเอาอีกฝ่ายหลุดสายตาเกลียดชังออกมาอีกครั้ง แต่ก็เพียงแว๊บเดียวเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD