“เพราะอิงเอ๋อร์เก่งกว่าหลินเอ๋อร์อย่างไรล่ะ น้องยังติดแม่ ถ้าเกิดอยู่ๆ ให้ย้ายไปนอนแปลกที่คงร้องไห้ทั้งคืนเป็นแน่” สตรีตรงหน้าทั้งชมทั้งอ้างจนเด็กน้อยอยากจะเบะปากใส่
“หลินเอ๋อร์ อยากไปนอนกับพี่รึไม่” นางไม่สนใจคำป้อยอจากคนพลิกลิ้นเก่งเยี่ยงนั้นหรอก
“อยากเจ้าค่ะ!” เด็กน้อยรับคำอย่างแข็งขัน ก่อนจะมีวงแขนนุ่มนิ่มของมารดาอุ้มนางขึ้นมา
“หลินเอ๋อร์จะทิ้งให้แม่นอนคนเดียวอย่างนั้นหรือ” หลิวมี่เอินใช้มารยาเรียกคะแนนสงสารจากบุตรีคนเล็ก
“อืออ ไม่เจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์ไม่ไปแล้ว” เห็นแววตาเศร้าหมองของมารดาเซี่ยลี่หลินจึงเปลี่ยนใจทันที
“แต่ที่เรือนพี่มีของเล่นเยอะแยะเลยนะ” เอาสิ ถ้าเรื่องหลอกล่อนางก็ไม่แพ้กันหรอกนะ อย่าให้นางต้องงัดท่าไม้ตายมาใช้เชียว
“จริงหรือเจ้าคะ!” เจ้าตัวน้อยสองจิตสองใจ ฝั่งหนึ่งก็พี่สาวและของเล่น อีกฝั่งก็มารดา
ขณะที่เห็นความลังเลในสายตาน้องสาวนางก็เข้าใจแล้วว่าความผูกพันที่อีกฝ่ายบ่มเพาะไว้เริ่มเกาะกุมจิตใจของเด็กน้อยเสียแล้ว ดังนั้นเซี่ยลี่อิงจึงได้แต่สบถในใจ ก่อนจะกัดฟันใช้แผนสุดท้ายที่ตนไม่คิดเลยว่าอายุอานามชีวิตก่อนก็ 20 หนาวแล้ว ต่อให้ย้อนกลับมาตอน 7 หนาวแล้วอย่างไร การกระทำนี้ก็น่าอายจนมิอาจทำใจได้อยู่ดี
ตุบ!
ร่างเล็กในชุดสีส้มอ่อนสดใสทิ้งตัวลงกับพื้นดังตุบ ก่อนจะเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาไปมาพร้อมกับแหกปากร้องลั่น
“ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม! ข้าจะให้น้องไปอยู่ด้วย ฮืออออ” เสียงหวีดร้องแหลมแทงเข้าหูจนคนในห้องต้องขมวดคิ้ว
“ข้าเหงามาก ข้าอยากให้น้องไปอยู่ด้วยกัน แงงงงงง” สองแขนสองขาขยับเร็วรี่ ถีบอากาศไปมาไม่ยอมหยุด หยาดน้ำใสสั่งได้ของนางพร่างพราวลงมาเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
“ฮึก แงงง หลินเอ๋อร์จะหาพี่หญิง พี่หญิง” เห็นพี่สาวของตนร้องไห้จ้าเด็กน้อยก็ร้องไห้ตามมาติดๆ คิ้วเรียวของหลิวมี่เอินขมวดมุ่น อยากจะหยิบไม้มาฟาดนังเด็กเหลือขอนี่เหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่านางยังมีแผนการใหญ่รออยู่ล่ะก็!
ฟึบ!
“หยุดร้องได้แล้ว พ่อจะให้น้องไปอยู่กับเจ้า” เสียงเข้มเอ่ยประโยคที่เด็กน้อยรอคอยก่อนจะอุ้มร่างเล็กขึ้นมาในอ้อมกอด เซี่ยลี่อิงหยุดการกระทำน่าอายนั่นทันทีที่ได้ตามต้องการ
“แต่ว่า-”
“ไม่ต้องพูดแล้ว นี่คือคำสั่งของข้า ขนของของคุณหนูเล็กไปไว้ที่เรือนของคุณหนูใหญ่ให้หมด นับตั้งแต่นี้ให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันจะได้ไม่เหงา” เซี่ยซือจงตัดรอนจนหญิงสาวมิอาจเอ่ยปากค้านได้ สุดท้ายจึงต้องยอมให้เรื่องราวออกนอกแผนการของตนไปเสียก่อน
“เจ้าค่ะ” ข้ารับใช้ทั้งหมดรับคำสั่งก่อนจะเร่งรีบไปจัดการ
บรรยากาศมื้อเช้าเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่เหล่าข้ารับใช้ได้แต่งุนงง ถึงอย่างนั้นก็รู้แล้วว่าอำนาจของจวนจริงๆ แล้วอยู่ที่ใครกันแน่ ซึ่งตัวการยังคงฉีกยิ้มพร้อมคีบอาหารเอาใจบิดาไม่ว่างเว้น ทำเอาเสนาบดีเซี่ยถึงกับเติมข้าวถ้วยที่สองเลยทีเดียว ส่วนอีกฝั่งของโต๊ะเซี่ยลี่อิงคล้ายจะเห็นเค้าลางโทสะที่พร้อมระเบิดอยู่รอมร่อนั่นชัดถนัดตา ซึ่งแน่นอนว่านางรู้สึกอิ่มเอมยิ่งนักที่ได้ขัดแข้งขัดขาสตรีผู้นี้
หลังจบมื้ออาหารเจ้าของจวนก็ต้องเข้าวังไปประชุมเช้าตามหน้าที่ ก่อนไปยังบอกเด็กๆ ว่าจะซื้อขนมมาฝาก ชายหนุ่มรู้สึกยินดียิ่งที่บุตรีทั้งสองมาส่งเขาหน้าจวนเป็นครั้งแรก ซึ่งเซี่ยซือจงเมินใครบางคนจนแทบเรียกว่าไร้ตัวตนเลยทีเดียว เซี่ยลี่อิงมองประเมินสถานการณ์ทั้งหมดพลางขบคิดให้กระจ่าง การกระทำของบิดาขีดเส้นชัดเจนยิ่ง เกรงว่าสตรีผู้นี้จะหลงรักบิดาของนางแต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วยจึงพาลมาลงที่มารดาเป็นแน่
“เจ้าจะไม่อยู่กับแม่จริงหรือหลินเอ๋อร์” หญิงสาวพยายามโน้มน้าวอีกครั้งแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเด็กน้อยส่ายหัวพร้อมกอดแขนพี่สาวแน่น
“ท่านแม่อยากให้ข้าเหงาและโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวหรือเจ้าคะ ฮึก” เจ้าจิ้งจอกน้อยเล่นงิ้วฉากใหญ่ที่หน้าจวนเสียแล้ว เสียงใสสั่นเครือประกอบกับใบหน้างดงามรื้นน้ำตาช่างดูน่าสงสารจนบ่าวไพร่บริเวณนั้นเริ่มซุบซิบกัน
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ถ้าเจ้าเหงาก็ไปเล่นที่เรือนของแม่ก็ย่อมได้” คนงามดึงเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมกอดเพื่อปลอบประโลม ใครจะรู้ว่าภายใต้ท่าทางรักใคร่นั่นสตรีผู้นี้มาดหมายบางสิ่งเอาไว้ในใจ
“ท่านแม่รักข้าน้อยกว่าน้องสาวใช่รึไม่เจ้าคะ ฮึก ยามข้า 4 หนาวท่านก็ไล่ข้ามาอยู่คนเดียวแล้ว แต่นี่น้องสาว 5 หนาวท่านยังไม่ยอมให้น้องแยกเรือน ฮือออ อีกทั้งพอข้าขอให้น้องมาอยู่ด้วยท่านก็ไม่ยอม” เซี่ยลี่อิงสะอึกสะอื้นพลางปาดน้ำตาป้อยๆ จนดวงตากลมแดงก่ำไปหมด
“ท่านแม่ไม่รักพี่สาวหรือเจ้าคะ ฮือออ” เห็นพี่สาวร้องไห้เด็กน้อยก็เริ่มก่อสงครามน้ำตาอีกรอบจนหลิวมี่เอินได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วอดกลั้นความโมโหเอาไว้ เพราะยามนี้สายตาสอดรู้สอดเห็นทำให้นางมิอาจเผยพิรุธได้
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ พอแล้วๆ กลับเรือนของเจ้าทั้งสองเถิด ถ้าเหงาก็มาหาแม่ที่เรือนรู้รึไม่ เหมยเหม่ย พาคุณหนูทั้งสองกลับดีๆ” เพราะกลัวสิ่งที่พยายามมาจะสูญเปล่า หญิงสาวจึงได้แต่ปล่อยมือจากเหยื่อตัวน้อยเสียก่อน เอาไว้ค่อยหาทางนำหมากกลับขึ้นกระดานทีหลังก็ยังไม่สาย
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะท่านแม่” เด็กน้อยทั้งสองรับคำ ก่อนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยจะจับจูงน้องน้อยให้เดินตามตนไป นางรู้อยู่แล้วว่าหากนางร้องไห้น้องสาวจะร้องตาม ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่เป็นมาตั้งแต่ชีวิตก่อนแล้ว
เดินมาจนถึงเรือน ของทุกอย่างก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบแล้ว เมื่ออาบน้ำและทานมื้อเที่ยงเสร็จนางก็สั่งให้ทุกคนออกไปจากห้อง เหลือทิ้งไว้เพียงสองพี่น้องที่กำลังปีนขึ้นเตียงนอนด้วยขาที่สั้นทำให้ลำบากเล็กน้อย
“ฮึบ พี่หญิงดันก้นหลินเอ๋อร์อีก” สภาพเซี่ยลี่หลินน่าขบขันนักเมื่อเจ้าตัวน้อยดิ้นกระแด่วๆ ให้พี่สาวดันขึ้นเตียง ปกติสาวใช้จะอุ้มพวกนางแต่ในเมื่อสั่งให้ออกไปหมดจึงต้องช่วยเหลือตนเองกันแทนแล้ว
“อื้มม ดันอยู่ ฮึบ” แขนเรียวดุจกิ่งหลิวใช้แรงจนเหนื่อยหอบ แต่สุดท้ายน้องสาวก็ขึ้นเตียงได้อย่างปลอดภัย
“เหตุใดเราไม่เอาเก้าอี้มาเหยียบแทนนะ” เซี่ยลี่อิงแทบจะตบหน้าผากตนเองแก้ความโง่งม เก้าอี้เหยียบก็มีอยู่ใต้เตียงไฉนถึงลืมไปได้
ครืดดดด
เสียงลากเก้าอี้ตัวเตี้ยสำหรับเด็กใช้ปีนเตียงออกมาก่อนจะเหยียบแล้วปีนขึ้นเตียงอย่างง่ายดาย
“หลินเอ๋อร์ เจ้าตั้งใจฟังพี่ให้ดีนะ” เมื่อนั่งเผชิญหน้ากันเรียบร้อย นางจึงยื่นมือไปจับมือเล็กของน้องสาวพร้อมเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง
“เจ้าค่ะ!” เด็กน้อยที่มองพี่สาวเป็นคนเก่งที่สุดในสายตาพยักหน้าหงึกหงักอย่างน่ารัก ในยามนี้นางยังชื่นชมพี่สาวเพราะสตรีผู้นั้นเพิ่งเริ่มปลูกฝังว่าพี่สาวของตนเก่งทุกอย่าง เพื่อไว้ใช้ยามโตจนรู้ความจะได้เปรียบเทียบให้ความรู้สึกชื่นชมแปรเปลี่ยนเป็นริษยา นับว่าเป็นแผนการที่แยบยลยิ่ง
“ต่อจากนี้ไปไม่ว่าใครจะพูดอะไรเจ้าอย่าได้สนใจ และเชื่อพี่เพียงคนเดียวเท่านั้นรู้หรือไม่” เซี่ยลี่อิงไม่ต้องการให้น้องกลายเป็นหมากของใครอีกจึงเป็นกังวล
“แม้แต่ท่านแม่หรือเจ้าคะ” เซี่ยลี่หลินเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“ใช่ แม้แต่ท่านแม่” ดวงตากลมมีประกายความแค้นพาดผ่านเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“แบบนั้นจะดีหรือเจ้าคะ” ตั้งแต่เกิดเด็กน้อยล้วนอยู่กับมารดามากกว่าผู้ใด จึงมีท่าทางลังเลอยู่มาก
“หลินเอ๋อร์ พี่สาวผู้นี้ของเจ้าเก่งที่สุดใช่รึไม่” เด็กหญิงมองน้องสาวของตนอย่างรักใคร่ นางยังจำเสียงหวานที่เอ่ยในตอนนั้นได้ว่าให้ดูแลบิดาและน้องให้ดี
“ใช่เจ้าค่ะ! พี่สาวเก่งที่สุด!” แก้มยุ้ยกระเพื่อมตามความคึกคักเชิญชวนให้มือบางเอื้อมไปบีบอย่างหมั่นเขี้ยว