พัณณิตาเดินหน้ามุ่ยวนเวียนไปมาในห้องนอนโอ่โถงของชายหนุ่มซึ่งดูน่าอยู่กว่ากระท่อมไม้หลายเท่า แต่แล้วปากเล็กๆ ก็เบ้ออกอย่างนึกหมั่นไส้ จากนั้นปลายเท้าก็จ้ำอ้าวไปที่เตียงกว้าง ก่อนจะจัดการเขวี้ยงหมอนใบโตไปกองอยู่กับพื้นห้อง ลากผ้าห่มโยนให้มาอยู่ใกล้ๆ กัน แล้วเจ้าหล่อนก็ขึ้นไปกระโดดหย็อยๆ อยู่บนเตียง จนกระทั่งสาแก่ใจแล้ว ถึงค่อยมาปู้ยี่ปู้ยำผ้าห่มและหมอนที่ถูกทิ้งขว้างต่อ
“ฮึ่ม! นึกว่าเป็นหน้าไอ้ยักษ์นั่นละกัน ตายซะเถอะ”
ว่าแล้วปลายเท้าก็ทั้งเตะทั้งถีบ สารพัดที่จะทำให้ตัวเองมีชัยชนะ จนต้องมานั่งเหนื่อยหอบแฮกๆ หันรีหันขวางดูรอบตัวที่เงียบเชียบ ก่อนจะพุ่งตัวไปยังหน้าต่าง แล้วชะโงกหน้ามองด้านล่าง
“ถ้าฉันโดดลงไปนี่ ต้องขาหักแน่ๆ”
พูดจบก็ส่ายหัวเพียงนิด พร้อมกับลบความคิดที่จะหนีทางหน้าต่างทิ้ง จากนั้นมุมปากสวยก็ยกยิ้มน้อยๆ รีบก้าวเร็วๆ ไปที่ประตู หมุนลูกบิดเบาๆ แล้วถึงกับตาโตถลนออกนอกเบ้า
“ไอ้โง่นั่นไม่ล็อกข้างนอก เชอะ! คราวนี้แหละ ยัยลูกแก้วจะหนีให้ดู และต้องหนีให้รอดด้วย”
จบคำก็ค่อยๆ ดึงประตูให้เปิดกว้าง ชะโงกหน้าออกไปมองด้านนอก และเมื่อเห็นว่าเงียบสงัดก็ทำเอาคนที่คิดหนีนึกลิงโลดอยู่ในใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากห้อง ก่อนจะดันประตูให้ปิดสนิทเหมือนเดิม แล้วจึงค่อยๆ ก้าวราวกับนักย่องเบาลงมาจากชั้นสองของบ้าน
ยิ่งห่างจากห้องนอนมากเท่าไร พัณณิตาก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างมากขึ้น กระทั่งเดินมาถึงโถงกว้างของบ้าน ดวงตากลมๆ ก็แลซ้ายแลขวา จากนั้นก็มุ่งหน้าออกไปยังประตูหลัง และสิ่งที่เธอคิดก็ถูกต้องที่สุดในเวลานี้ เพราะช่างปลอดโปร่งโล่งสบาย เหมาะกับการหนีซะเหลือเกิน แต่ความซวยก็บังเกิด เมื่อเสียงแป้นแล้นของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ว้าย! นั่นใครน่ะ ช่วยด้วย! ขโมยค่ะขโมย ขโมยขึ้นบ้าน” หลานสาวป้าชมนามสายสร้อยตะเบ็งเสียงร้องปาวๆ “ป้าชม! บ้านเรามีขโมย มาช่วยกันจับหน่อยเร็ว”
คนถูกทึกทักว่าเป็นขโมยอ้าปากค้าง รีบยกปลายนิ้วทำปากจู๋แทบไม่ทัน
“ชู่ว์! ฉันไม่ใช่ขโมยนะ”
จบประโยคนั้น แทนที่สาวน้อยวัยยี่สิบอย่างสายสร้อยจะฟัง ปากเล็กๆ กลับตะโกนก้องต่อไปเรื่อยๆ จนร่างสูงกำยำของคนที่ดื่มเบียร์อยู่หน้าบ้านต้องวิ่งอ้อมมาด้านหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นร่างเล็กที่เด็กรับใช้ในบ้านชี้กราดว่าเป็นขโมยจึงตวัดดวงตาขุ่นๆ มองอย่างเอาเรื่อง
“สายสร้อย” ชายหนุ่มเรียกหลานป้าชมด้วยใบหน้าตึงๆ
“คุณแฟรงค์คะ ขโมยค่ะ จับส่งตำรวจเลยนะคะ” เอ่ยบอกพร้อมยิ้มหวาน สาวน้อยแทบละลายไปกับความหล่อเหลาของเจ้านายหนุ่ม หากสายสร้อยก็ทำได้แค่มองตาปริบๆ เท่านั้น เพราะรู้ดีว่าตัวเองต่ำต้อยเพียงใด
“อืม...ฉันรู้แล้ว ไปพักผ่อนเถอะ ส่วนขโมย เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง”
“ขโมยที่ไหนหรือครับ” แบรดร้องถามหลังจากวิ่งเร็วๆ มาดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด โดยที่ด้านหลังนั้นมีสองหนุ่มลูกน้องเดินตามติด “ใครที่ไหนกล้าบุกรุกสวนแฮคตัน ผมจะได้จัดการฆ่าไม่เลี้ยง”
“ไปพักเถอะแบรด ขโมยสาวแบบนี้ฉันจัดการเองได้” ชายหนุ่มว่าแล้วก็พยักพเยิดให้ลูกน้องดูแม่โจรสาว จากนั้นก็ก้าวเร็วๆ ไปคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของพัณณิตาพลางบีบเต็มแรง
“ริอ่านเป็นขโมย นิสัยเสีย”
“ไอ้...” คนคิดหนีได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“แยกย้ายกันไปพักได้แล้ว และคราวนี้ต่อให้มีเสียงโวยวายขนาดไหนก็ไม่ต้องใส่ใจ”
สั่งเสียงกร้าวแล้วก็จัดการลากคนตัวเล็กกลับสู่ด้านใน ปล่อยให้แบรดและลูกสมุนต้องส่ายหน้าน้อยๆ ส่วนหลานสาวป้าชมกำลังอ้าปากกว้าง จ้องมองภาพเจ้านายสุดหล่อกับหญิงสาวแปลกหน้าเจ้าของเรือนร่างสะโอดสะองตาไม่กะพริบ กระทั่งได้ยินเสียงกระแอมของหนุ่มผมทองทั้งสามคนดังพร้อมๆ กัน ถึงได้วิ่งตรงดิ่งเข้าห้องพักของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย!”
ร่างอรชรร้องลั่น เพราะเมื่อเปิดประตูห้องได้ เธอก็ถูกคนตัวโตเหวี่ยงจนก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้นไม้สักเย็นๆ พัณณิตานิ่วหน้าด้วยความเจ็บจุก ตวัดดวงตาเอาเรื่องกราดมองร่างสูงกำยำที่เพิ่งปิดประตูปังจนบ้านหลังใหญ่เกือบสั่นสะเทือน
“ไอ้บ้า! เหวี่ยงมาได้ ฉันเจ็บนะ”
“สมน้ำหน้า!” แทนที่จะเห็นใจ คนเย็นชากลับเหยีดปากนึกหมั่นไส้ “ลุกขึ้นได้แล้ว อย่าทำสำออยให้มากนัก ฉันไม่ใช่ไอ้แบรดถึงจะได้เห็นใจคนอย่างเธอ แต่ถ้าไม่ลุกละก็ ก็เชิญนั่งอยู่ท่านั้นห้ามขยับให้เห็นเชียว”
“เรื่องอะไรจะนั่งให้เมื่อยละ”
หญิงสาวตอบกลับมาหน้าตาย ก่อนจะกัดฟันทนความเจ็บปวดแล้วประคองตัวเองก้าวช้าๆ ไปนั่งบนโซฟาตัวยาวหน้าเตียง
คนตัวโตเหล่ตามองเพียงนิดแล้วส่ายหน้า ก่อนจะมุ่งปลายเท้าไปคว้าผ้าเช็ดตัวผืนโตพาดบนไหล่กระด้าง จากนั้นก็หายเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยให้คนตัวเล็กก่นด่าไล่หลังอย่างสะใจ
“สาธุ ขอให้ลื่นพื้นห้องน้ำหัวฟาดไปเลย”
มือทั้งสองข้างประกบกันแล้วเป่าเพี้ยงออกไป ขณะที่อีกใจหนึ่งนั้นก็นึกอยากจะคว้าอะไรสักอย่างปาไปที่ประตูนั้นด้วยความหมั่นไส้คนตัวยักษ์ที่จับเธอมากักขัง ก็ไม่รู้ว่าจะจับมาทรมานหรือว่าจะฆ่าให้ตายกันแน่
“ไม่นะพี่เก้า ลูกแก้วยังไม่อยากตาย”
สิ้นเสียงรำพันถึงคนเป็นพี่ คนถูกลักพาตัวก็ทำตาปริบๆ ก่อนจะหันไปมองดวงจันทร์ซึ่งลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า พร้อมกับภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลก ขอให้ตัวเองแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ขอให้เธอได้กลับไร่พัทรพงศ์การันต์โดยเร็วที่สุด
“ไอ้บ้าเอ๊ย! จับผิดตัวแล้วยังจะหน้าด้านไม่ปล่อยฉันไปอีก” บ่นอุบพลางถอนใจ “ยัยดาว เธอจะรู้บ้างไหม ว่ามีอีตาบ้าที่ไหนก็ไม่รู้คิดอาฆาตมาดร้ายเธอ แต่ฉันดันโชคร้ายถูกจับมาแทน ดูสิบอกความจริงก็ไม่เชื่อ ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย”
ว่าแล้วกำปั้นน้อยๆ ก็ทุบลงศีรษะตัวเอง ก่อนจะขยี้หนักๆ จนเส้นผมยุ่งเหยิงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้าง เพราะประตูห้องน้ำที่ปิดตายมาประมาณยี่สิบนาทีถูกเปิดออกกว้าง พร้อมกับปรากฏร่างสูงกำยำอวดโชว์อกแกร่งซึ่งเกาะพราวไปด้วยละอองน้ำ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงผ้าเช็ดตัวพันเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ พัณณิตาพยายามบังคับสายตาไม่ให้เผลอสำรวจรูปร่างสลักเสลานั้น แต่หน้าท้องลอนกล้ามหนั่นแน่นก็ปะทะสายตาอยู่ดี
“ดูพอหรือยัง”
สิ้นเสียงทุ้มแกมเยาะหยัน พัณณิตาก็ขยับตัวนั่งตรง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีไปมองดวงจันทร์บนนภา แต่ทว่าหัวจิตหัวใจกลับกระหวัดไปยังหน้าท้องเป็นลอนกล้ามไร้ไขมันของยักษ์หน้าเข้มอยู่ดี
“ไปอาบน้ำสิ” เสียงทุ้มดังกังวาน ขณะที่มือหนาก็คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาซับตามเนื้อตัว หมายจะไล่หยดน้ำเกาะกายให้แห้งเหือด “ผมอนุญาตให้คุณหยิบเสื้อที่แขวนอยู่ในตู้ตรงโน้นมาใส่ได้ตามสบาย เอาไว้พรุ่งนี้จะให้แบรดไปจัดการเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องใช้ที่ควรมีให้”
“นี่นายจะไม่ปล่อยฉันไปจริงๆ เหรอ”
คนร่างบางหันกลับมาถาม แต่แล้วก็ต้องรีบก้มมองเพียงปลายเท้าตัวเอง นั่นเพราะคนบ้าอำนาจยังอยู่ในสภาพเกือบเปลือยเช่นเดิมไม่มีผิด แถมยังเดินวนไปเวียนมาชวนให้เธอใจสั่นอีก
ด้านแฟรงค์ก็ชะงักปลายเท้าซึ่งกำลังย่ำเดิน ขณะที่มือซึ่งเช็ดเนื้อตัวนั้นค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ อึดใจเดียวก็ขยับตัวเดินมาใกล้ร่างเล็ก โน้มตัวลงมามองคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ไม่วาง
“เท่าที่คิดออกตอนนี้ ผมไม่มีทางปล่อยคุณไปง่ายๆ หรอก”
“จะขังไว้นานเท่าไรฮ้า! แล้วทำไมต้องขังฉันไว้ที่นี่ด้วย”
“ความพอใจล้วนๆ คุณมีปัญหาอะไรไม่ทราบ อยู่ที่นี่รับรองไม่อดตายหรอกน่า ไปอาบน้ำได้แล้ว”
“นายไม่ต้องมาสั่ง เพราะฉันไม่อาบเด็ดขาด” เชิดหน้าขึ้นเถียง แต่แล้วก็ต้องรีบเบือนหนีแทบไม่ทัน เพราะห่างไปแค่คืบก็คือหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเรียงตัวกันแน่น
“ถอยไปห่างๆ เลยนะ” กัดฟันโต้ตอบ พลางขยับตัวไปชิดอีกฝั่งของโซฟาตัวนุ่ม
มุมปากของแฟรงค์ แฮคตันยกยิ้มน้อยๆ พลางไหวไหล่กระด้าง ก่อนจะหมุนตัวไปยังตู้เสื้อผ้า คว้าชุดนอนลายทางสีน้ำตาลเข้มมาสวมใส่ด้วยความเคยชิน เมื่อสวมเสื้อนอนเสร็จเรียบร้อย มือหนาก็กระตุกปมผ้าเช็ดตัวให้ร่วงหล่นแนบปลายเท้า คนที่เหลือบมองจึงหวีดเสียงลั่นห้อง
“กรี๊ด! ไอ้ลามก!”
หากคนตัวโตก็ไม่คิดจะใส่ใจกับอาการนั้น ชายหนุ่มค่อยๆ สวมกางเกงนอนอย่างช้าๆ เมื่อเรียบร้อยก็โน้มตัวลงเก็บผ้าเช็ดตัวโยนลงตะกร้า ก่อนจะเหลือบตามองคนร่างเล็กที่ตอนนี้ยังคงยกมือปิดหน้าปิดตา
“คนตัวเหม็นๆ น่าจะเฉดไปนอนนอกห้องดีไหมฮึ!”
“นายนั่นแหละที่สมควรไปนอนนอกห้อง”
ว่าแล้วพัณณิตาก็ปล่อยมือออกจากดวงตา ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน พร้อมกับที่ปลายนิ้วเรียวนั้นชี้กราด แล้วแว้ดโต้ตอบ
“นายออกไปนอนข้างนอกเลยนะ ฉันจะนอนห้องนี้และบนเตียงนี้ด้วย เชิญออกไป!”
“เธอมีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ ห้องนี้มันห้องของฉัน ส่วนเธอ...ไปนอนที่พื้นโน่น” ดวงตาสีน้ำตาลไหม้พยักพเยิดไปยังพื้นไม้เย็นๆ แล้วเอ่ยด้วยอาการตีหน้าซื่อๆ “แต่ถ้าอาบน้ำอาบท่าให้เนื้อตัวหอมนะ เธออาจจะได้นอนเคียงข้างฉันบนเตียงก็เป็นได้”
“ไอ้...”
ยังไม่ทันจะแว้ดใส่ ชายหนุ่มก็พลิกกายนอนคว่ำตัดการสนทนาไม่รับรู้รับฟังอะไรอีก ลูกแก้วแสนดื้อรั้นจึงทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเหมือนเดิม แต่แล้วก็ต้องสูดปากด้วยความเจ็บร้าวจากแรงกระแทกนั้น และในเมื่อทำอะไรคนตัวโตที่นอนเค้เก้อยู่บนเตียงไม่ได้ ปากเล็กก็ก่นด่าแผ่วเบาให้หายเจ็บใจ
“คนบ้า! ไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ ไอ้ยักษ์วัดแจ้งเอ๊ย!”
“บ่นอะไร” คนแกล้งนอนคว่ำเอ่ยลอยๆ “แล้วอย่าคิดหนีออกจากห้องนี้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นฉันฆ่าเธอทิ้งแน่”
“ฮึ!”
พัณณิตาพ่นลมหายใจทิ้ง ก่อนจะเดินไปคว้าผ้าห่มและหมอนที่ตัวเองกระทืบเร่าๆ เมื่อตอนเย็นขึ้นมาถือไว้ จากนั้นก็จัดการยกไปทำเป็นที่นอนของตนยังบริเวณอีกฝั่งของห้อง โดยเลือกให้ห่างจากคนหน้ายักษ์ให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยในสวัสดิภาพของตัวเอง เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ล้มตัวลงนอน ตวัดผ้าห่มมาคลุมมิดศีรษะ แต่นอนไปยังไม่ถึงห้านาที ร่างบอบบางก็พลิกกายไปมา
‘โอ๊ย! เหนียวตัวชะมัด จะนอนได้ยังไงเนี่ย’
ร้องลั่นอยู่ภายในอก ก่อนจะรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ยกมือขยี้ผมนุ่มๆ ให้ยุ่งเหยิงเป็นเท่าทวี พอตวัดดวงตาไปบนเตียงก็ได้เห็นร่างสูงกำยำนอนนิ่งสนิทด้วยท่าทีสบายๆ เห็นเขาหลับไปแบบนั้น คนอ่อนเพลียมาทั้งวันก็ได้แต่นึกปลง
“อาบก็ได้ เผื่อจะข่มตาหลับลงบ้าง”