“คิดอะไรอยู่ ถ้าคิดจะเอาคืนผมแล้วละก็ ช่วยวางแผนให้ดีๆ หน่อยนะ ไม่อย่างนั้น...” คนจ้องจับผิดก้าวไปใกล้ยกมือทาบกับเรียวแขนเล็ก แล้วค่อยๆ ลูบไล้อย่างยั่วยุอารมณ์โกรธ “คงไม่ได้เสียใจอย่างเดียวแน่”
ทิ้งท้ายประโยคไว้ให้คนตัวเล็กได้ขบคิดเพียงเท่านั้น แฟรงค์ แฮคตันก็ถอยห่าง และทันทีที่พ้นจากบ้านไม้กะทัดรัด มุมปากได้รูปก็ยกยิ้มน้อยๆ อย่างพึงใจ ไม่คิดฝันว่าลูกสาวนายทรงพลจะทำให้เขานึกสนุกได้มากมายขนาดนี้
คนตัวโตร่างยักษ์ก้าวออกจากบ้านไม้ไปนานนับสิบนาทีแล้ว หากหัวคิ้วทั้งสองข้างของพัณณิตาก็ยังคงย่นจนแทบจะชิดติดกันด้วยความสงสัย ประโยคทิ้งท้ายของคนบ้าอำนาจมันหมายความว่าอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวจึงยักไหล่น้อยๆ มุ่งปลายเท้าไปยังหน้าต่างบานเล็ก แล้วค่อยๆ ดันให้มันเปิดออกกว้าง พร้อมกับชะเง้อชะแง้คอมอง
“อีตายักษ์นั่นยังไม่ไปอีก”
ปากเล็กบ่นอุบ พลางถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เธอกำลังคิดจะหาโอกาสหนีจากบ้านไม้หลังนี้ ซึ่งถ้ารอดไปได้แล้วละก็ เธอจะไปแจ้งความให้ตำรวจมาจับพวกนิสัยไม่ดีนี้ไปสั่งสอนในคุกซะให้เข็ด แต่ทว่าความหวังนั้นก็ต้องพังทลาย เมื่อเห็นคนผมทองพวกนั้นเดินไปมาราวกับหน่วยลาดตระเวน
“ทำยังไงดีนะ เราจะหนีไปได้ยังไง”
พัณณิตาเดินวนไปเวียนมาพลางครุ่นคิด แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก สุดท้ายร่างอรชรก็กลับไปทิ้งก้นงามงอนลงนั่งบนแคร่ไม้ ก่อนจะยกกำปั้นน้อยๆ ทุบลงที่ศีรษะตัวเองเบาๆ เผื่อว่าหนทางหนีจะวิ่งเข้ามาบ้าง แต่แล้วทุกอย่างก็เลือนหายเมื่อบานประตูถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง ร่างอรชรจึงรีบยืดตัวตรง นั่งชูคออย่างไม่หวาดกลัว
“นายเองเหรอ”
ว่าแล้วก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะคนที่โผล่เข้ามาคือหนุ่มร่างใหญ่ซึ่งเป็นคนยกข้าวปลาอาหารมาให้ ไม่ใช่พ่อหน้ายักษ์คนที่ปากเสียจนเธอระอา โดยในมือของเขาก็มีจานผลไม้และน้ำส้มคั้นขวดโต เมื่อปล่อยให้ชายหนุ่มวางทุกอย่างที่ถือมาและเก็บจานอาหารที่อันเก่าไปถือไว้เรียบร้อย พัณณิตาก็ร้องถามทันที หมายจะตีสนิทอีกฝ่าย
“นายชื่ออะไร แล้วไอ้คนที่ปากเสียกับฉันเมื่อครู่น่ะ เขาชื่ออะไร”
แบรดพยายามกลั้นยิ้มกับถ้อยคำจิกเรียกนั้น และเพียงเห็นดวงตากลมๆ ฉายแววใคร่รู้จริงจังจึงได้เอ่ยบอก
“ผมชื่อ แบรด เอ็ดสันครับ เป็นคนสนิทของคุณแฟรงค์ แฮคตัน ซึ่งก็คือคนที่คุณผู้หญิงบอกว่าปากเสียนั่นแหละครับ ส่วนอีกสองหนุ่มนั่นเป็นลูกน้องของผม ซึ่งคุณผู้หญิงไม่จำเป็นต้องรู้จักหรอกครับ เพราะสองคนนั้นจะไม่เข้ามาวุ่นวายในนี้”
“แล้วนายพอจะรู้ไหม ว่าอีตานั่นจะขังฉันไว้ที่นี่นานเท่าไร”
“ข้อนี้ผมไม่ทราบครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
หนุ่มผมทองรีบหาทางเลี่ยง เพราะรู้ดีว่าถ้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ คงได้โดนคนด้านนอกลงทัณฑ์เป็นแน่ แต่แค่หมุนกายเท่านั้น หญิงสาวก็กระโจนมาขวางตรงหน้าทันที
“ถ้าฉันอยู่ที่นี่ ใครจะเป็นคนเฝ้าฉัน นายกับลูกน้องของนายใช่ไหม แล้วเจ้านายของนายล่ะไปไหน”
“คุณแฟรงค์คงกลับไปพักที่บ้านสวนน่ะครับ เอ่อ...คุณประภาภรณ์มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“มีสิ เลิกเรียกฉันว่าคุณประภาภรณ์เดี๋ยวนี้ เพราะฉันชื่อลูกแก้ว”
เอ่ยถึงตรงนี้ก็ฉีกยิ้มกว้างทันที ก่อนที่ประโยคต่อมาจะดังเล็ดลอดจากปากอิ่มสวย
“ไปได้แล้ว เดี๋ยวอีตายักษ์นั่นก็แยกเขี้ยวใส่หรอก”
ว่าแล้วคนที่เก็บข้อมูลได้พอสมควรก็โบกมือไล่กลายๆ ก่อนจะก้าวเร็วๆ ไปเทน้ำผลไม้ใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม จากนั้นก็ตามด้วยการจิ้มผลไม้ที่มีอยู่เต็มจานเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ปล่อยให้แบรดต้องย่นคิ้วนิดๆ ด้วยความงุนงงกับทีท่าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น
และเมื่อแบรดก้าวกลับมารายงานคนเป็นเจ้านาย ก็ได้รับดวงตาถมึงทึงแปลกๆ ชายหนุ่มจึงได้แต่ยกมือเกาศีรษะแกรกๆ ไม่นานเจ้านายบังเกิดเกล้าก็หมุนตัวเร็วๆ มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านสวนหลังใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่นับห้าร้อยเมตร ตอนนี้รอบๆ กระท่อมไม้หลังน้อยจึงเหลือเพียงสามหนุ่มผมทองยืนห้อมล้อมไม่ให้นกตัวกระจ้อยร่อยบินหนีไปได้
ขณะที่ตะวันคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ อาหารมื้อเย็นก็ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ โดยที่คนตัวเล็กก็ทำท่าทีเรียบร้อย ไม่แสดงอาการต่อต้านอย่างเช่นตอนกลางวัน เขายกอะไรมาให้ดื่ม ให้ทาน ก็จัดการจนหมดเกลี้ยง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสมองอันชาญฉลาดกำลังขบคิดหาทางหนี และแล้วแผนหนึ่งก็แวบขึ้นมาในหัว ซึ่งมันจะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อท้องฟ้ามืดมิดเท่านั้น จนกระทั่งรัตติกาลมาเยือน แผนการนั้นก็เริ่มต้นขึ้นทันที
“นี่นายแบรด ฉันปวดท้อง! ฉันจะตายแล้วนะ โอ๊ย! ปวดท้องเหลือเกิน ฮือๆ แม่จ๋า พ่อจ๋า ลูกแก้วปวดท้อง ฮือๆ”
เสียงเล็กๆ แสร้งร้องโอดโอยจะเป็นจะตายอยู่ใกล้ๆ ประตู โดยไม่ลืมหยิบฉวยแจกันใบยาวสีดำเข้มซึ่งวางอยู่บนโต๊ะมากระชับไว้มั่น หมายจะใช้มันเป็นอาวุธฟาดแบรดให้สลบ และรอเพียงไม่นาน ประตูไม้ก็ถูกเปิดกว้างสมใจ
“คุณลูกแก้ว เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
ตุ้บ!
คนตัวเล็กฟาดแจกันใบโตลงไปบนต้นคอของหนุ่มผมทองทันที เมื่ออีกฝ่ายโงนเงนยกมือกุมท้ายทอย จึงใช้โอกาสนั้นผลักร่างกำยำให้กระเด็นถอยห่าง ขณะที่ปากก็เอ่ยขอโทษเบาๆ แล้วยิ้มแหย ก่อนจะลอบมองด้านนอก โชคดีเหลือเกินที่ด้านนอกปลอดคน สงสัยอีกสองหนุ่มคงตระเวนอยู่ด้านหลัง คิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงวิ่งลิ่วออกไป แต่สองหนุ่มตาดีก็ยังหันมาเห็นจึงตะโกนไล่ตามไม่ลดละ
“คุณผู้หญิง อย่าหนีนะครับ” หนึ่งหนุ่มร้องตาม ขณะที่อีกหนุ่มวิ่งโร่เข้าไปดูอาการของคนถูกตีหัว เมื่ออีกฝ่ายนิ่วหน้าแล้วพยักพเยิดให้ไล่ตามร่างเล็ก จึงได้สืบเท้าวิ่งเร็วๆ ตามติด
“คุณผู้หญิงครับ คุณผู้หญิง”
ลูกน้องของแบรดทั้งร้องเรียกทั้งวิ่งไล่ และเพียงเห็นเงารางๆ ของร่างบางมุ่งหน้าไปยังถนนเส้นเล็ก ซึ่งจุดหมายปลายทางของมันนั้นคือที่พำนักของคนเป็นนาย ก็ถึงกับเหงื่อตก
“เรื่องอะไรจะหยุด หยุดก็โง่น่ะสิ” คนชิ่งหนียิ้มร่าขณะมุ่งหน้าหาทางออก ยิ่งเห็นแสงไฟรางๆ ดวงตาก็ยิ่งเบิกกว้างด้วยความยินดี หากเธอเจียนจะเข้าเขตบ้านหลังนั้นก็ต้องชนกับหินผาทรงพลังเข้าให้
“โอ๊ย!”
ร่างแน่งน้อยล้มลู่ลงราวกับถูกผลัก ก่อนจะครวญเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมอง และแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมานั้นก็ทำให้เห็นดวงหน้าถมึงทึงเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลไหม้อย่างชัดเจน นาทีนี้จึงได้แต่กัดปากอิ่มไว้แน่น
‘ซวยจริง หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ’ บ่นอุบในใจแล้วก็ต้องหน้าเบ้ เมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวลงมา แล้วคว้าหมับเข้าที่แขนขาว ก่อนจะรั้งแรงๆ ให้ลุกขึ้น
“เหนื่อยไหม” เหยียดปากถามแล้วก็เอ่ยต่อว่า “เธอนี่โง่หรือเปล่า คิดหรือว่าหนีออกจากกระท่อมนั้นได้แล้วจะมีปัญญาหนีออกจากที่ดินของฉันซึ่งกินพื้นที่นับพันไร่ไปได้ แต่ถึงเธอหนีรอดไปได้ก็ต้องโดนคนงานแถบชายป่าลากไปปู้ยี่ปู้ยำอยู่ดี”
“ฉันไม่ได้หนีสักหน่อย แค่ออกมาเดินเล่นเฉยๆ” คนโกหกเฉไฉตอบเขาหน้าตาย แล้วบิดมือที่เกาะกุมแขนเล็กตัวเองออก “ก็อากาศด้านนอกสดชื่นดี ฉันก็เลยไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในกระท่อมก็เท่านั้นเอง”
“ฮึ! โกหกเก่งจริงเชียว” คนตัวโตกัดฟันชม แล้วเบนสายตาไปยังเบื้องหลัง ตอนนี้ลูกน้องของเขาวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ แต่อีกหนึ่งหนุ่มที่เดินกุมท้ายทอยรั้งท้ายมานั้นทำให้คิ้วเข้มๆ ต้องวิ่งชนกัน
“นายเป็นอะไรไปน่ะแบรด”
“เอ่อ...” คนพลาดท่าถูกตีหัวถึงกับหาคำอธิบายไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง
“ฉันฟาดหัวเขาเองแหละ” พัณณิตายอมรับหน้าตาเฉย พลางไหวไหล่บางน้อยๆ “ช่วยไม่ได้ ก็อยากเชื่อคนง่ายดีนัก”
“ยัยตัวดี!” ชายหนุ่มเค้นเสียงเดือดดาล เขย่าจนร่างเล็กหัวสั่นหัวคลอน “เธอไปทำร้ายแบรดแบบนั้นได้ยังไงฮ้า! ลูกน้องของฉัน ฉันมีสิทธิ์ทำร้ายได้เพียงคนเดียวเท่านั้น มานี่เลย!”
สิ้นเสียงด่านั้น มือหนาก็จัดการลากร่างอรชรให้ก้าวตาม ปลายเท้านั้นมุ่งกลับไปที่บ้านไม้หลังโตของตัวเอง โดยไม่ลืมหันมาสั่งสองหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่
“พวกนายสองคนพาแบรดไปทำแผล แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน” สั่งเสร็จก็หันมาจ้องหน้าคนตัวเล็กที่ดิ้นเร่าๆ “ส่วนยัยนี่ ฉันจะจัดการเอง”
จบประโยคเฉียบเย็น ช่วงขาเพรียวกำยำก็ก้าวเร็วๆ ไปยังบ้านพัก แต่มีหรือที่คนตัวเล็กจะยอมง่ายๆ เธอยื้อตัวเองพลางใช้มืออีกข้างหยิกข่วนไปตามท่อนแขนกำยำเต็มแรง
“ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้า! ฉันไม่ไปกับนาย ปล่อยสิ!”
“หุบปากไปเลย ยัยตัวแสบ” คนตัวโตหันมาข่มขู่ “ไม่อย่างนั้นเธอได้หัวแตกเหมือนแบรดแน่”
“จะทำอะไรก็เชิญเลย ถ้ากล้าทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันได้ลงคอ นายก็ไม่ใช่คนแล้ว”
คนตัวเล็กร้องปาวๆ อย่างไม่ยอมง่ายๆ เช่นกัน และก็ได้ผลเพราะคนตัวโตหยุดกึกแล้วเอี้ยวตัวมาเผชิญหน้า แฟรงค์ แฮคตันถึงกับต้องยกอุ้งมืออีกข้างตบเบาๆ ที่หน้าผากของตัวเอง พยายามระงับอารมณ์โมโหไม่ให้ปะทุ และก่อนที่สองหนุ่มสาวจะทำอะไรกันมากไปกว่านี้ สุ้มเสียงอ่อนโยนของใครบางคนก็ดังขึ้น เมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น แฟรงค์ก็รีบซ่อนคนตัวเล็กไว้เบื้องหลังทันที
“ทำอะไรอยู่หรือคะคุณแฟรงค์”
ป้าชมแม่บ้านผู้ทำงานรับใช้มาร่วมสี่สิบปีจนบัดนี้อายุห้าสิบสองร้องถาม ขณะที่ปลายเท้าก็นำพาร่างอ้วนท้วนก้าวเร็วๆ เข้ามาใกล้
“แล้วนั่น...” ว่าแล้วก็ชะเง้อดูเบื้องหลังของเจ้านายหนุ่มพลางหรี่ตาแคบอย่างจับผิด
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับป้า แค่ผู้หญิงที่ผมซื้อมาเป็นของเล่นก็เท่านั้นเอง”
แฟรงค์ย้ำบางคำเป็นนัยๆ ชัดเจน พอได้ยินเช่นนั้นคนตัวเล็กก็ดิ้นเร่าๆ กำลังจะเปิดปากเถียงและยืนยันสถานะตัวเอง แต่ชายหนุ่มก็หมุนตัวมา แล้วใช้อุ้งมือปิดปากไว้ซะก่อน เมื่อปิดเสียงอู้อี้คนตัวเล็กไว้เรียบร้อยแล้ว จึงหันมาเอ่ยกับแม่บ้านเก่าแก่
“หวังว่าป้าคงไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของผมนะครับ”
ได้ฟังถ้อยคำแข็งกระด้างแบบนั้น คนที่ไม่เคยยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของเจ้านายเลยสักครั้งก็ยิ้มจืดๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องพักแต่โดยดี ถึงแม้ว่าจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นใบหน้าสวยๆ นั้นที่ไหนก็ตาม
เมื่อป้าแม่บ้านคล้อยหลังไปแล้ว ชายหนุ่มจึงปล่อยมือจากอุ้งปากคนตัวเล็ก ก่อนจะโน้มหน้าไปกระซิบใกล้ๆ
“ถ้าเธอคิดจะให้ป้าชมช่วยละก็ เธอเลิกคิดไปได้เลย เพราะคนที่นี่ไม่มีใครช่วยเธอได้อย่างเด็ดขาด” ว่าแล้วก็ยกยิ้มอย่างมีชัยพลางเอ่ยต่อ “และรู้เอาไว้อีกอย่าง ถึงแม้คนพวกนั้นจะใจดีช่วยเธอ แต่เธอก็ไม่ควรรับน้ำใจของพวกเขาหรอกนะ เพราะถ้าเธอรอด คนที่ช่วยก็ต้องตาย...”
ทว่าชายหนุ่มยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค พัณณิตาก็โพล่งแทรกเสียงเขียว
“ไอ้คนเลือดเย็น! ฉันเกลียดนายที่สุดในโลก จำเอาไว้!”
“ดี! ระหว่างอยู่ที่นี่ เธอห้ามหลงรักฉันก็แล้วกัน” แฟรงค์โต้ตอบอย่างโมโห เกิดมายังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนใช้ถ้อยคำแบบนี้กับตัวเองเลยสักครั้ง มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถเอ่ยคำว่าเกลียดออกไปได้ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ไม่รักดี
“คนอย่างลูกแก้วไม่ตาต่ำหลงเสน่ห์นายหรอก เชอะ!” เชิดหน้าขึ้น แล้วก็ต้องเบ้ปากแทบจะปล่อยโฮออกมา เมื่อข้อมือเล็กถูกอีกฝ่ายบีบแน่นจนผิวเนื้อบริเวณนั้นปวดร้าวไปหมด
สองดวงตาจ้องกันเขม็ง ไม่มีใครยอมอ่อนข้อ เมื่อจ้องจนตาแทบถลนออกนอกเบ้าอยู่นับสิบนาที คนตัวโตก็ถอนหายใจทิ้ง แล้วรั้งจูงแกมลากคนตัวเล็กมุ่งไปยังห้องของตัวเองซึ่งอยู่บริเวณชั้นสอง และเมื่อมาถึงก็ผลักเปิดประตูให้เปิดออกกว้าง แล้วเหวี่ยงร่างบางเข้าไปด้านในเต็มแรง
“อยู่ในนี้ ห้ามคิดหนี ไม่อย่างนั้นฉันฆ่าเธอหมกสวนแน่”
ว่าจบก็ปิดประตูปังใหญ่ ยืนหันหลังพิงบานประตูไว้ แผ่นหลังหนาแน่นนั้นถึงกับสั่นเทิ้ม นึกโกรธจนแทบอยากจะขย้ำคอพัณณิตาให้ขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตา ดูเหมือนตั้งแต่เจอเจ้าหล่อน ชายหนุ่มก็ต้องหมดพละกำลังมหาศาล และดูท่าทางหญิงสาวจะไม่สิ้นฤทธิ์เอาง่ายๆ เห็นทีต้องหาทางปราบให้อยู่หมัด ไม่เช่นนั้นคงต้องพ่ายแพ้ตาแก่ทรงพลนั่น ถ้ามันรู้ว่าเขาทำอะไรลูกสาวของมันไม่ได้ละก็ เขาคงถูกหัวเราะเยาะข้ามปีเป็นแน่
“ฉันจะจัดการทั้งพ่อทั้งลูกเอาให้กระอักออกมาเป็นเลือด!” เค้นเสียงออกมาแล้วกัดฟันกรอดๆ “เธอต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด ประภาภรณ์”
จบคำร่างสูงก็ก้าวเร็วๆ ลงจากชั้นสองของบ้าน มุ่งปลายเท้าไปยังตู้เย็น คว้าเอาเบียร์สองกระป๋องติดมือ ก่อนจะก้าวอาดๆ ออกไปที่บริเวณหน้าบ้าน หันมาเปิดสลักแล้วยกขึ้นดื่ม และขณะที่น้ำขมๆ ถูกกลืนลงคอ ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ก็เหลือบมองหน้าต่างของห้องตัวเองอยู่บ่อยครั้ง และทุกๆ ครั้งนั้นเต็มไปด้วยความมาดร้ายที่น่าสะพรึงกลัว