เพียงใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเมื่อใกล้ถึงที่หมายเพราะหลับมาเกือบตลอดทางจึงไม่ทันได้รับสายเรียกเข้าจากคุณลุงอานนท์ ท่านคงมีธุระด่วนจึงโทรหาเธอหลายสายขนาดนี้
พอโทรกลับอีกฝ่ายกลับไม่รับสายของเธอ เพียงใจเดินทางจากกรุงเทพคนเดียวด้วยรถตู้โดยสารประจำทางเพราะชนิตาจะอยู่ต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ วิชญ์เองบอกว่าเขามีธุระต้องจัดการที่กรุงเทพอีกเกือบๆหนึ่งสัปดาห์ บางทีทั้งคู่คงกลับมาพร้อมกัน คิดมาถึงตรงนี้ชักไม่สบาย วิชญ์มีความคิดไม่ดีอะไรกับเพื่อนของเธอหรือไม่
ลงรถแล้วเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณลุงอานนท์โทรหาอีกรอบ จึงกดรับสายในทันที “ค่ะคุณลุง มีอะไรจะเรียกใช้เพียงหรือคะ”
“หนูเพียง มาดูอรสาที”
“ป้าสาเป็นอะไรหรือคะ”
“หมดสติไปตั้งแต่เมื่อคืนวานแน่ะหนู”
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ”
ปลายสายบอกชื่อโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในจังหวัด เพียงใจจึงต้องหอบหิ้วกระเป๋าใบโตตรงไปที่นั่นทันทีเช่นกัน ในใจนึกห่วงกังวลไปสารพัดว่าอรสาจะป่วยหนักหรือไร ปกติท่านออกแข็งแรงดี ถึงแล้วรีบตรงไปยังห้องหมายเลขที่อรสานอนพักรักษาตัวอยู่
“ป้าสา”
หญิงสาวเรียกอีกฝ่ายอ่อนใจเมื่อเห็นสภาพไร้ซึ่งเครื่องสำอางและอาภรณ์สวยสดแบบที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของอรสา เจ้าของชื่อยกมือขึ้นกวักเรียกพร้อมกับอ้อนเสียงอ่อนแหบโหยเล็กน้อย
“เพียง กลับบ้านเราเถอะลูก”
เพียงใจตรงไปจับมือคนเป็นป้า ถามด้วยสีหน้ากังวลกว่าเดิม “ป้าสาเป็นอะไรคะ ทำไมถึงต้องมานอนโรง’บาลด้วย”
อรสาเงียบไม่ยอมตอบ เป็นคุณลุงอานนท์เองที่เล่าให้เพียงใจฟังว่าอรสามีโรคประจำตัวจำพวกเบาหวานและความดันโลหิตสูง แถมยังดื้อไม่ไปรับยา ไม่ไปหาหมอ บอกอีกว่าอรสาเครียดจัดตั้งแต่เธอออกไปพักอยู่ข้างนอก เพียงใจเลยได้แต่รับฟังเท่านั้น รอดูอรสาอยู่ครู่ใหญ่ ตั้งใจจะนอนเฝ้าแต่คุณลุงอานนท์บอกให้เธอกลับไปพักผ่อนเพราะท่านจ้างพยาบาลพิเศษเอาไว้เฝ้าอรสาแล้ว
เพียงใจจึงต้องกลับเข้าหอพักของตนเองในเวลาต่อมา
ฉุกคิดได้ว่าที่คุณลุงอานนท์มาคอยดูแลป้าสาเช่นนี้ คุณสำลีทราบหรือไม่ ภรรยาตนเองไม่สบายเคยดูแลแบบนี้ไหม
ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างไม่สบายใจนักและหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทาง เช้าวันรุ่งขึ้นเพียงใจตื่นสายเล็กน้อย สำหรับตนเองนั้นคิดว่าเวลาหกโมงเช้าเช่นนี้สายแล้ว แต่สำหรับบางคนยังถือว่าเช้าอยู่มาก จัดแจงภารกิจส่วนตัวเสร็จคว้ากระเป๋าออกจากห้องในเวลาต่อมา
เมื่อวานนี้หลังจากได้พบกับอรสา เธอรู้สึกว่าท่านอาการไม่ได้หนักหนาเท่าไรนัก แพทย์เพียงแต่ให้น้ำเกลือเท่านั้น เช้านี้จึงตัดสินใจเข้าไปเยี่ยมคุณสำลีก่อนเพราะคงจะอยู่กับอรสายาวทั้งวัน
ถึงหน้าบ้านหลังใหญ่แล้ว ชะม้อยทักเธอด้วยสีหน้าดีใจตรงรี่มาเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว
“หายไปไหนหลายวันเชียวหนู คุณท่านถามถึงแน่ะ”
“ติดธุระนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“นี่คุณวิชญ์ก็ไม่อยู่ ท่านเลยยิ่งเหงา” ชะม้อยคล้ายบ่นมากกว่าจะเล่าให้ฟัง ขณะเดินนำเข้ามาในบ้านแล้วพาตรงไปจนถึงห้องพักของคุณสำลี เคาะสองสามครั้งค่อยเปิดออกพร้อมบอกกล่าวให้ผู้เป็นนายรับรู้
“คุณท่านคะ แม่หนูคนที่ถามหามาเยี่ยมแล้วค่ะ”
เพียงใจยิ้มกว้างกว่าทุกทีที่เคยยิ้มมาในชีวิตแล้วตรงเข้าไปทักทายคุณสำลีอย่างนอบน้อมเจียมตัว “สวัสดีค่ะคุณท่าน”
“นึกว่าไม่อยากมาดูคนแก่เสียแล้ว” เสียงคุณสำลีคล้ายจะงอนเล็กน้อย เพียงใจจึงได้คงรอยยิ้มเอาไว้เช่นนั้น บอกเสียงนุ่มนวลกับท่าน
“หนูติดธุระค่ะเลยไม่ได้มาเยี่ยม คุณท่านรับประทานอะไรหรือยังคะเช้านี้”
ชะม้อยที่ยืนอยู่ข้างๆรีบบอก “ยังเลยค่ะ เพิ่งเตรียมอาหารเสร็จกำลังให้เด็กยกมาให้ค่ะ”
เพียงใจรู้มาจากชะม้อยว่าคุณสำลีไม่ได้นอนนิ่งๆอยู่แต่ที่เตียงตลอดเวลาอีกแล้ว จึงพาท่านลุกย้ายมานั่งรถเข็นพาออกไปรับแดดอ่อนๆยามเช้าที่ระเบียงข้างนอก แม้จะไม่ได้นอนนิ่งๆบนเตียง แต่ก็ไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากพอจะเดินไปไหนมาไหนได้สะดวกนัก
หญิงสาวรบเร้าให้คนเพิ่งฟื้น ช่วยเหลือตนเอง เริ่มจากอาหารเช้า ด้วยการให้ตักอาหารกินเอง คุณสำลีไม่อิดออด พอได้คนกระตุ้นไม่ตามใจทุกเรื่องแบบชะม้อยเลยดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง โดยมีเพียงใจคอยพูดคุยเรื่องข่าวสารดีดีให้ฟังไปพลางขณะรับมื้อเช้า
เรียบร้อยจากอาหารตรงหน้าแล้วจึงเข็นรถพาท่านออกไปที่สวนพร้อมกับชวนคุยไปด้วย นานร่วมชั่วโมงถึงพาท่านเดินในระยะทางสั้นๆ คุณสำลีมีท่าทางกลัวอยู่บ้าง แต่พอพ้นก้าวที่สามท่านดูมั่นใจมากยิ่งขึ้น
“นี่ถ้าคุณวิชญ์มาเห็นต้องบ่นแน่ๆเลยนะป้า” สาวใช้วัยรุ่นบอกกับชะม้อยเมื่อเห็นว่าคุณท่านลุกออกมาเดินบ้างแล้ว
“จะบ่นเรื่องอะไรนังหนู”
“คุณวิชญ์อะไรก็ไม่ให้คุณท่านทำน่ะสิ จะให้แต่นอนอย่างเดียวเลย”
“ต้องลุกเดินแบบนี้นั่นแหละย่ะ ถึงจะหาย นอนแต่บนเตียงซมกันพอดี”
ชะม้อยว่าอย่างเห็นด้วยกับทางเพียงใจมากกว่า เข้าใจว่าบุตรชายน่ะห่วงมารดา กลัวว่าลุกออกมาเดินเล่นแล้วจะล้มลงไปอีก ไหนจะพากันตามใจคุณสำลี พอท่านไม่มีกะจิตกะใจอยากขยับตัว ทุกคนเลยเหมือนจะเห็นด้วยคล้อยตามเสียอย่างนั้น
แต่เพียงใจกลับทำในสิ่งตรงข้ามกับที่ทุกคนคิด เด็กคนนั้นพาคุณท่านออกจากที่เดิมๆ กระตุ้นให้คุณท่านช่วยเหลือตัวเอง นี่ขนาดว่ามาไม่กี่ครั้งคุณท่านของเธอยังดูสดใสขึ้นจนสังเกตเห็นได้ หากมาบ่อยอีกหน่อยรับรองว่าคุณท่านของชะม้อยต้องหายอย่างแน่นอน
“หนูจะมาได้อีกเมื่อไร”
ชะม้อยถามขณะออกมาส่งที่หน้าบ้านหลังจากที่เพียงใจพาเดินไปสองรอบแล้วให้นั่งพักต่อ ก่อนส่งคุณสำลีเข้าห้องในเวลาต่อมา เธอจึงขอตัวกลับ
“ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ เอาไว้ถ้าหนูสะดวกจะพยายามมาให้ได้บ่อยๆนะคะ รบกวนคุณป้าดูแลอย่างที่หนูบอกไว้ด้วย กระตุ้นท่านให้ช่วยเหลือตัวเองมากๆ หนูคุยกับคุณพยาบาลแล้วค่ะ อาการแบบนี้ถ้าได้ขยับเขยื้อนตัวเองบ่อยๆ จะหายเป็นปกติดีค่ะ”
“โอย...หนู นี่ถ้าหนูไม่มา คุณท่านไม่มีทางลุกมาเดินหรอก นี่คงถูกชะตากับหนูถึงได้บอกอะไรก็ทำ...เสียดาย” ชะม้อยฟ้องยืดยาว อดบ่นในตอนท้ายประโยคไม่ได้ ว่าเสียดายที่เป็นหลานของนังผู้หญิงร้ายกาจคนนั้น พอรู้ตัวก็ปิดปากฉับลงทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่เดินมาถึงประตูหน้าบ้าน ชะม้อยว่าต่อ “ฉันขอบใจหนูมากนะ นี่จ้ะ คุณท่านฝากมาให้”
หญิงคนสนิทของคุณสำลีส่งซองยาวสีขาวให้หลังพูดจบ เพียงใจมองแล้วยื่นมือออกไปรับมาเปิดดูก่อนส่งกลับคืน
“หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ แต่หนูมีเรื่องอยากขอร้องสักอย่าง”
ธนบัตรหลายใบในนั้นไม่ใช่สิ่งที่เพียงใจปรารถนา ที่เธอลงแรงทำไปทั้งหมดนั่นก็เพราะอยากทำอยากช่วยด้วยใจจริง ส่วนหนึ่งเล็กๆในนั้นคืออยากชดเชยที่ป้าของตนทำไม่ดีกับอีกฝ่ายด้วย
“อะไรหรือหนู” ชะม้อยย้อนถามด้วยสีหน้างงงัน
“อย่าบอกคุณวิชญ์นะคะว่าหนูมาเยี่ยมคุณท่าน”
เพียงใจละสายตาจากงานตรงหน้าเหลือบตาขึ้นมองทางคนมาใหม่ ที่นายของเธอเดินออกไปรับถึงที่รถแล้วพากันเข้าไปในห้องหลังจากนั้นทันที ส่วนจะไปทำอะไรแบบไหนเธอคร้านจะใส่ใจกับตรงนั้น ที่กังวลกว่าคือวิชญ์เลิกให้ความสนใจชนิตาหรือยัง
แล้วเย็นอีกสองวันถัดมาก็ได้คำตอบว่าเขาไม่ได้แค่เลิกให้ความสนใจในตัวชนิตาเพียงเท่านั้น แต่ยังรุกหนักมากกว่าเก่าเสียอีก เย็นวันเสาร์เช่นนี้เพียงใจมาหาชนิตาที่บ้านเพื่อชวนกันทำอะไรกินเพราะคุยกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่พอมาถึงกลับได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับไม่เต็มเสียงนัก
“ไม่เห็นเพียงว่ายังไง น้ำตาลเลยนึกว่าเพียงจะไม่มา” เหตุผลแบบเด็กๆของชนิตาไม่ทำให้เพียงใจรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ประโยคถัดมานี่เองที่ทำให้คนฟังนั่งไม่ติด “น้ำตาลก็เลย...รับนัดคุณวิชญ์ไปแล้ว”
“นัดอะไรกันน้ำตาล” เพียงใจพยายามรักษาระดับเสียงไม่ให้ดูว่าก้าวก่ายจนเกินไป
“ดินเนอร์น่ะเพียง คุณวิชญ์เป็นสุภาพบุรุษมากๆเลยนะเพียง เอาใจใส่ดูแลเทคแคร์ดีจนน้ำตาลอยากเป็นผู้หญิงคนเดียวของคุณวิชญ์” ชนิตาวางอุปกรณ์แต่งหน้าลง สายตาเคลิ้มเสียจนเพียงใจเป็นห่วง
“มีหมอที่ไหนเก่งๆมั่งไหมเพียง”
“ใครเป็นอะไร” เพียงใจถามกลับทันที
“เปล่า...น้ำตาลอยากเล่นคุณไสย์ หรือพวกมนต์ดำ ให้คุณวิชญ์รักน้ำตาล หลงน้ำตาลคนเดียว...จนวันตายไปเลย”
“อาการหนักแล้วนะเนี่ย” เพียงใจมองเพื่อนด้วยสายตาติดกังวล เพราะชนิตาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“น้ำตาลก็ว่าอย่างนั้น เพียงไม่เป็นน้ำตาลเพียงไม่เข้าใจหรอก แล้ว...เพียงจะไปด้วยกันไหม” ท้ายประโยคชนิตาหันมาถามด้วยใบหน้าแหยๆ คงกลัวเธอโกรธละมัง แต่เพียงใจโกรธใครยาก เจ้าตัวยิ้มหน่อยๆแล้วบอกปัดอย่างนุ่มนวล ไม่อยากให้เพื่อนคิดมาก
“น้ำตาลไปเถอะ”
“ไม่โกรธน้ำตาลนะ”
“อื้อ...โกรธอะไรล่ะ ได้แต่ห่วงนี่แหละ”
“จะมาห่วงอะไรกัน น้ำตาลไปกับคุณวิชญ์ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกน่า”
เพียงใจอยากบอกเพื่อนเหลือเกินว่าเพราะไปกับวิชญ์นี่แหละที่ทำให้เธอห่วง
ร่ำลากันแล้วค่อยเดินกลับออกมาจากบ้าน พอดีสวนกับรถของวิชญ์ที่ขับเข้าไปข้างใน เขาไม่ได้มองมาที่เธอ เพียงใจมองตามท้ายรถของเขาไปด้วยสายตาไม่ใคร่สบายใจนัก ลางสังหรณ์ย้ำเตือนเธออยู่ตลอดว่าวิชญ์ไม่ได้จริงจังกับชนิตา แต่แล้วก็บอกให้ตัวเองเลิกคิดในแง่ร้าย บางทีเธออาจกังวลมากเกินไป เพราะชนิตาใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่เสียเมื่อไร ตรงกันข้าม ชนิตาสวยหวาน รู้จักแต่งตัว ฐานะชาติตระกูลก็ดี เทียบกับแอนนิตาแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ถือเอาความเป็นเพื่อนสนิท เธอให้ภาษีชนิตามากกว่าแอนนิตาด้วยซ้ำ หากวิชญ์เลือกหนึ่งในสองคนนี้มาเป็นคู่ครอง เธอคิดว่าชนิตาเหมาะสมกว่าด้วยประการทั้งปวง ขอแค่เขาจริงจัง จริงใจอย่างที่บอกก็พอ
แอนนิตาเดินหอบถุงอาหารพะรุงพะรังสองมือเข้ามาในสำนักงาน เพียงใจเห็นแต่ไกลๆแล้ว เลยเลิกมองหันกลับมาเพ่งจอพิมพ์รายงานด่วนต่อไป วิชญ์กำลังมีโครงการใหญ่ที่เกาะฟ้าคราม ที่ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กห่างจากเกาะช้างในจังหวัดตราดไปทางทิศเหนือเกือบๆสามกิโลเมตร ที่นั่นยังไม่มีใครเข้าไปทำกิจการใดๆทั้งสิ้น วิชญ์ศึกษารายละเอียดพร้อมกับได้ผู้ร่วมลงทุนเป็นคนมีอิทธิพลที่เป็นพรรคพวกกันอยู่แถบนั้น และเขากับเคนจะลงไปดูพื้นที่ของเกาะในอาทิตย์หน้านี้
ได้ยินเคนเล่าว่าที่นั่นเดินทางไปมาลำบาก ด้วยว่าอยู่ไกลจากใครพวก วิชญ์ค่อนข้างกังวลกับเรื่องเดินทาง การไปครั้งนี้คงมองหาวิธีการในเรื่องนี้ด้วย ระยะหลังๆมานี้เพียงใจรู้รายละเอียดในเรื่องงานเท่าๆกับที่เคนรู้ เคนปล่อยงานของตนเองมาให้เธอเกือบหมด แทบเรียกได้ว่าเธอเป็นผู้ช่วยของวิชญ์เกือบเท่ากับเคนก็ว่าได้
“นี่เธอ ลุกขึ้นมาช่วยฉันหน่อยสิ”
เพียงใจเงยหน้ามองคนพูดแล้วบอกอย่างสุภาพ
“สักครู่นะคะ” แล้วเอื้อมมือไปกดอินเตอร์คอมเรียกหาแม่บ้าน “ป้าหราอยู่ไหมคะ เพียงรบกวนหน่อยค่ะ”
ไม่นานจากนั้น แม่บ้านวิ่งเข้ามาที่โต๊ะของเพียงใจ แอนนิตาที่หิ้วของมาเต็มสองมือส่งสายตาชิงชังให้เพียงใจอย่างเปิดเผย เพราะต้องการให้เพียงใจลุกขึ้นมาช่วยแต่นี่กลับสั่งคนอื่นมาทำแทน แอนนิตาเลยกระแทกถุงใส่มือแม่บ้านของสำนักงานที่เพียงใจเรียกให้มาช่วย ก่อนสะบัดก้นเดินไปทางห้องของวิชญ์ ไม่ลืมสั่งเสียงแหลม
“จัดของใส่จาน แล้วยกเข้ามาด้วย”
คล้อยหลังแอนนิตาแล้ว ป้าหราหันมาสบตากับเธอ เพียงใจเลยสำทับอีกที “ตามที่คุณเขาบอกนั่นแหละค่ะ”
น่าแปลกที่ไม่นาน แอนนิตาเดินฉับๆออกมาจากห้องเพียงลำพัง ใบหน้าสวยที่ตกแต่งมาอย่างดีบูดบึ้งต่างจากตอนเข้าไปลิบลับ ที่สำคัญไม่มีวิชญ์ตามออกมาแบบทุกทีเสียด้วย เพียงใจมองตามหลังแล้วก้มหน้าทำงานต่อ จัดแจงเอกสารเรียบร้อยแล้วถือแฟ้มเดินไปส่งให้วิชญ์ในห้อง รอจนเขาอ่านรายละเอียดเรียบร้อย ลงลายมือชื่อ จึงรับคืน แต่ยังไม่ออกไปในทันที วิชญ์มองท่าทีเรียบสงบนั้นแล้วจึงถามขึ้น
“มีอะไรอีก”
เพียงใจเหลือบมองเวลาเมื่อเห็นว่าเลยเวลางานมาชั่วโมงกว่าแล้วจึงตัดสินใจคุยกับเขาตรงๆอีกครั้ง ที่ไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องของชนิตา
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ”
“ว่ามาสิ”
“เรื่องของน้ำตาล”
วิชญ์ที่ตอนแรกหน้าเครียดอยู่ค่อยคลายลงแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “น้ำตาล? ทำไม”
“ฉันอยากแน่ใจว่าคุณจะไม่หลอกเพื่อนของฉัน”
“ทำไมผมต้องหลอกเพื่อนของคุณด้วย”
“ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจและอยากคบหากับน้ำตาลจริงๆ ฉันจะขอบคุณคุณมาก แต่หากว่าคิดเล่นๆ …”
วิชญ์ยิ้มมุมปากก่อนว่า “อื้อม์...จะพูดแบบไหนดีคุณถึงจะเข้าใจ เอาอย่างนี้ ผมคิดว่ามันเป็นความพึงพอใจของผมกับเพื่อนของคุณนะ ให้เข้าใจแบบนั้นก็แล้วกัน ผมกับเขาจะคบกันจริงๆหรือแค่เล่นๆ แล้วคุณมาเกี่ยวอะไรด้วย”
วิชญ์จงใจส่อเสียด คนอย่างเขาคงไม่มีเพื่อนแท้ละมัง แต่ไม่ใช่แบบที่เธอกับชนิตาเป็น เพียงใจรักและหวังดีต่อเพื่อน อะไรที่มองเห็นว่าจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด เจ็บช้ำใจจึงไม่อยากให้ไปข้องแวะกัน และเธอก็มองเห็นว่าวิชญ์เป็นสิ่งไม่ดีที่กำลังเข้ามาในชีวิตของชนิตา
“ฉันห่วงน้ำตาล กลัวจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนไม่ดี”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ”
วิชญ์ย้อนถาม สายตาตวัดมองกลับคล้ายมีแววไม่พอใจบ้างแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ วิชญ์ก็รู้ว่าเพียงใจกล่าวหาเขาว่าเป็นคนไม่ดีที่มีเล่ห์เหลี่ยมไว้หลอกคนอื่น
เขาเป็นแบบนั้นเสียที่ไหน!
เพียงใจถอนหายใจยาวก่อนพูดเหมือนคนหมดหนทาง
“และถ้าคุณไม่ได้จริงจังจริงๆ ฉันขอร้องเถอะนะคะ อย่าให้ความหวังเพื่อนฉันเลย”
“นี่เรากำลังเจรจาตกลงเรื่องผลประโยชน์หรือไง” วิชญ์ถามหมิ่นๆ ก่อนว่าต่อ “คิดว่าตัวเองมีอะไรมาแลกล่ะ”
“คุณต้องการอะไรล่ะคะ...”
“เดี๋ยวนะ ก่อนจะเข้าใจผิด ถ้าคิดเอาตัวเข้าแลก บอกเลยว่าแบบนี้ …” วิชญ์ปรายตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาหมิ่นๆแบบเดิมแล้วว่าต่อ “...อย่าเอาไปแลก ไม่มีใครอยากแลกด้วยหรอก” วิชญ์ย้อนคืนอย่างเจ็บแสบนัก แต่เพียงใจยังคงสีหน้าราบเรียบดังเดิม วิชญ์เลยจบการเจรจาด้วยการไล่กลายๆ “มีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็เชิญ”
เพียงใจจำใจถอยกลับมาจากห้องทำงานของเขา
การพูดคุยกันเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย วิชญ์ไม่ยอมถอยออกมาจากชนิตา หากว่าจริงจังทำไมไม่พูดออกมาตรงๆ ทำแบบนี้เธอกลัวใจเขานัก และก็กลัวว่าชนิตาจะผิดหวังอีกด้วย
ถัดจากนั้นมาอีกไม่กี่วันขณะเข้างานมาได้ครู่เดียว ป้าแม่บ้านเข้ามาเลียบๆเคียงๆถาม “รู้ข่าวคุณเคนหรือยังคะ”
“มีอะไรหรือคะป้าหรา”
“ก็โดนพวกที่ไหนไม่รู้ซ้อมจนซี่โครงหัก ตอนนี้นอนอยู่ในไอซียูน่ะสิคะ”
ตกใจอยู่ได้ไม่นาน วิชญ์เดินผ่านเข้ามาพร้อมเรียกให้ตามเข้าไปในห้อง เพียงใจตามเข้าไปแล้วหลังจากสั่งงานเสร็จ เขาถามขึ้นแบบเดียวกับป้าหราไม่ผิดเพี้ยน
“รู้เรื่องเคนแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
“เธอคงต้องไปแทนเคน เดี๋ยวกลับไปเก็บกระเป๋า บ่ายโมงเราจะออกเดินทางกัน” เพียงใจรับคำอย่างไม่อิดออดแล้วตรงกลับไปที่หอพักเพื่อเก็บเสื้อผ้าตามที่เขาสั่งการทันที พอกลับมาที่สำนักงานก็พบว่าแอนนิตาอยู่ที่นี่ด้วย
“นะคะ ขอนิต้าไปด้วย”
“ผมไปทำงานนิต้า”
“นิต้าสัญญาว่าจะไม่กวนค่ะ”
เพียงใจมองชายหญิงสองคนที่กำลังโต้เถียงกระเง้ากระงอดด้วยสายตาชนิดหนึ่ง ที่ทำเอาวิชญ์หน้าชาไปถนัด แล้วเลี่ยงออกไปรอที่รถ โดยมีวิชญ์มองตามอย่างไม่ใคร่พอใจนัก
เธอไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดแต่แววตาที่ใช้กับเขาเมื่อครู่ มันทำให้วิชญ์คันยุบยับในหัวใจยิ่งนัก ร้ายจริงๆยัยแว่น!
เพียงใจเดินออกมาพร้อมความคิดที่ว่า เขาทำทีเป็นสนใจชนิตาเพื่อนของเธอ และก็ยังนัวเนียสนิทสนมกับแอนนิตาอยู่ เธอไม่เห็นความเหมาะสมของเขากับชนิตาเลยสักนิด กลัวนักว่าชนิตาจะช้ำใจเพราะคนมากรักแบบนี้
ไม่รู้ว่าวิชญ์สลัดแอนนิตาจนหลุดมาได้อย่างไร เขากระโดดขึ้นรถขับเคลื่อนสี่ล้อแล้วกระชากตัวออกสู่จุดหมายโดยไม่มีการพูดจาใดๆตลอดทาง
หากคุยก็มีเพียงเรื่องงานเท่านั้น เพียงใจคิดว่าเธอควรคุยกับเขาอีกครั้ง และขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะคุยในเรื่องของชนิตา เธอไม่วางใจจริงๆที่เขามาตอแยเพื่อนของเธอแบบนี้ ชนิตาหัวอ่อนและไม่ทันเหลี่ยมของวิชญ์แน่ๆ เธอทำงานกับเขามาพักใหญ่ คิดว่าตนเองรู้จักเขาดี วิชญ์กำลังเล่นเกมหรืออาจมีแผนร้ายอะไรอยู่ในหัวก็เป็นได้
เกาะฟ้าครามเป็นเกาะที่มีหาดทรายสวยขาวละเอียดและสะอาดที่สุดในแถบทะเลภาคตะวันออก น้ำทะเลสีฟ้าครามสมกับชื่อของเกาะ ด้านหลังมีทะเลสาบสองแห่งด้านหน้ามีแนวปะการังที่น่าดำน้ำลงไปดูอย่างยิ่ง ทั้งยังมีฝูงปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายรอบแนวปะการังอีกด้วย
บนเกาะมีบ้านสไตล์ลอฟท์ที่วิชญ์สั่งให้ก่อสร้างเอาไว้สำหรับเป็นที่พักของเขา หากเริ่มมาจัดการกับกิจการที่นี่ บ้านชั้นเดียวสร้างด้วยแบบแปลนแบบง่ายๆด้านในมีสามห้องนอน และห้องครัวที่มีเครื่องใช้ทุกอย่างครบครันทันสมัย ตู้แช่ขนาดใหญ่มีอาหารแช่แข็ง อาหารสด ผลไม้ เครื่องดื่มเอาไว้พร้อมสรรพ
วิชญ์ดูไม่สบอารมณ์นัก คงเพราะฉุกละหุกมากจากที่แพลนเอาไว้ว่าจะมาพร้อมกับเคนแต่กลายเป็นว่าต้องเปลี่ยนคนติดตามมาเป็นเธอแทน คนงานไม่มีเพราะไม่ได้ติดต่อเอาไว้ เขากะว่ามากับเคนแบบลุยๆ กิน อยู่ แบบง่ายๆ แต่เมื่อเปลี่ยนคนติดตาม อะไรๆในสายตาของเขาก็ดูไม่ถูกใจไปเสียหมด
วิชญ์จัดแจงธุระยาวสามวันติดๆกันจวบจนวันนี้ที่ธุระเสร็จสิ้นพอดี
“แยกไปพักผ่อนเลยก็ได้ อาหารมีแบบแช่แข็งในฟรีซ อาบน้ำแล้วมาอุ่นกินเอาเองนะ ผมจะไปพักเหมือนกัน” วิชญ์บอกจบตรงไปยังห้องของเขาทันที เพียงใจมองตามหลังเขาจนลับตาแล้วเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นพื้นที่ห้องครัว
วันนี้เขาและเธอแวะดูงานรอบเกาะทั้งวัน มื้อเช้ามื้อเที่ยงกินรวบเป็นมื้อเดียว และตอนนี้เลยหกโมงเย็นมาพอสมควรแล้วจึงเลือกทำอาหารง่ายๆสามอย่างวางไว้บนนั้น ค่อยเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกมาอีกรอบพบว่าวิชญ์นั่งรออยู่แล้วที่โต๊ะ ข้างๆมีกระป๋องเบียร์วางอยู่ห้าหรือหกกระป๋องเธอไม่แน่ใจเพราะไม่ทันสังเกต ได้ยินเขาเร่งเหมือนคนขี้หงุดหงิด
“นั่งลงสิ”
เพียงใจทำตามไม่อิดออดเพราะเธอเองก็หิวแล้วเช่นกัน ต่างคนต่างก้มหน้ากินอาหารจนหมดเกลี้ยงทั้งโต๊ะในเวลาไม่นานโดยไม่มีการพูดจาอะไรทั้งสิ้น เพียงใจรอจนเขาจัดการอาหารของตัวเองแล้วถึงลุกขึ้นจัดแจงเก็บของ ตั้งใจว่าหลังจากนี้ค่อยแยกเข้าห้องเพื่อเตรียมตัวเก็บสัมภาระกลับขึ้นฝั่งในวันรุ่งขึ้น วิชญ์เดินไปหยิบเบียร์ออกมาเปิดจิบอีกกระป๋อง เธอไม่ได้หันไปมองแต่ได้ยินเสียงเปิดดังก้องอยู่ในความเงียบนั่น
ฉับพลันได้ยินเขาถามขึ้น “น้ำตาล...ทำอาหารได้แบบนี้ไหม”
เพียงใจละมือจากงานตรงหน้าเอี้ยวมามองเขาหน่อยหนึ่งแล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ไม่แน่ใจค่ะ”
วิชญ์ยิ้มแล้วมองที่แผ่นหลังของหญิงสาว นึกอยากกวนคนเล่นๆ แก้เซ็ง โดยเฉพาะคนตรงหน้านี่ เขาอยากปั่นหัวให้ตัวตนที่ฉาบไว้บังตาหลุดออกนัก เขารู้ว่าเพียงใจไม่น่าใช่คนเงียบๆเรียบๆหงิมๆ ก็ดูเอาเถอะ ถึงขนาดกล้าใส่ร้ายเขาให้ชนิตาฟังขนาดนั้นได้ รับรองต้องมีอะไรในตัวแม่นี่มากกว่านี้อย่างแน่นอน แล้วนึกขึ้นได้ว่าเขากับเพียงใจมีเรื่องไม่ลงรอยกันเรื่องไหนบ้าง ก่อนว่ายวนๆขึ้น “นี่ผมสนใจเพื่อนคุณจริงๆนะ ทำไมถึงกีดกันผมนัก หรือว่า...คุณเป็นพวกเลสเบี้ยน แอบชอบเพื่อนตัวเอง”
เพียงใจฉุนกึกขึ้นมาทันที เธอจะเป็นหรือไม่เป็นอย่างที่เขากล่าวหาแล้วอย่างไร แต่เขาไม่มีสิทธิ์มาพูดจาวิเคราะห์เธอแบบนี้ สนุกนักหรือไง ในเมื่อไม่เกรงใจกัน เธอก็จะไม่เกรงใจเขาบ้าง “ฉันเป็นอะไรแบบไหนแล้วทำไมคะ คุณควรจะเลิกยุ่งกับเพื่อนฉันเสียที คนอย่างคุณน่ะอ้าปากก็เห็นถึงตับไตไส้พุงแล้ว”
วิชญ์ผิวปากหวือ เขากำลังสนุกที่เพียงใจต่อปากต่อคำกลับมา ก่อนยอกย้อนคืน “อย่างนั้นเชียว เห็นว่ายังไงล่ะคนเก่ง”
“ก็เห็นว่า...คุณจะหลอกเพื่อนของฉัน”
“ก็แล้วถ้าหลอกจริง”
เพียงใจมองตอบมาด้วยสายตาประมาณว่า ‘คิดไว้แล้วไม่ผิด’ วิชญ์จึงยั่วตามมาอีก ชักสนุกที่เห็นว่าสีหน้าเพียงใจไม่สบอารมณ์ “แล้วคุณจะทำไม”
ได้ยินเหมือนว่าเขายอมรับในเรื่องชนิตา ก็ถึงกับงันไป พูดไม่ออก “ฉัน…”
“นั่นสิ คุณจะทำยังไง หรือนี่ยังคิดว่าตัวเองสวยพอจะเอาตัวเข้าแลกได้”
คนเราพอถูกหยามมากเข้า ลูกบ้าก็จะมีขึ้นมาอย่างที่ว่าสติคอยควบคุมเหือดหายไปในฉับพลัน เพียงใจก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอย้อนเขากลับเช่นกัน “ก็ถ้าได้”
“เอ้ามาเลย ลองดู ถ้าทำให้ผมพอใจได้ ผม...อาจจะหยุด”
วิชญ์ไม่เคยพูดจาแบบนี้กับเธอ ไหนจะสายตาที่เขาใช้มองนั่นอีก ประกายตาคมเจิดจ้ายิ่งท้าทายให้เพียงใจหลุดตัวตนของตนเองออกมา หรือความจริงแล้วเธอไม่ได้ต้องการปกป้องชนิตาเพียงอย่างเดียว แต่สาเหตุลึกๆหลักๆคือสิ่งที่สะสมพอกทับความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกันนั่นมากกว่า
เพียงใจยิ้มหวานหยดส่งให้เขา เธอเดินเข้าไปจนใกล้แล้วเงื้อมือขึ้นสูงตวัดตบใบหน้าของวิชญ์ด้วยแรงทั้งหมดที่มี เร็วเสียจนมองแทบไม่ทัน ก่อนจะตอกเขากลับไปบ้าง “ในที่สุดคุณก็ผุดนิสัยเน่าๆออกมาจนได้ ฉันนึกไว้แล้วไม่ผิด เสียดายจริงๆที่น้ำตาลไม่ได้เห็นสักที”
วิชญ์ตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธที่ถูกฝ่ามือน้อยๆนั่นตบจนขึ้นรอยปื้นแดงทั่วทั้งซีกแก้มข้างนั้น เขาดุนลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนแค่นยิ้ม ดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วดึงข้อมือน้อยๆรั้งให้เพียงใจเข้ามาจนชิด แต่เธอดิ้นมือข้างที่ว่างข้างหนึ่งยกขึ้นหมายจะต่อยเข้าให้อีกทีหลังจากที่ตบไปได้ทีหนึ่งแล้ว เธอออกแรงสู้เขายิบตาทีเดียว ถ้าสู้ไม่ได้ก็แค่ตายเท่านั้น ตวาดถามเสียงสั่นเล็กน้อย
“จะทำอะไร”
วิชญ์จับเอาไว้ได้ทั้งสองมือแล้วบีบจนเธอปวดร้าวราวกับกระดูกจะแตก เขาออกแรงกระชากรั้งให้เข้ามาชิด เรือนกายบดเบียดกันแนบแน่นแม้เพียงอากาศยังแทรกผ่านไปไม่ได้ วิชญ์ว่าด้วยน้ำเสียงดุดันห้วนห้าว ผิดจากที่เป็นเขาแบบทุกที
“จะทำอะไรน่ะเหรอ ถามเป็นพวกไร้เดียงสาไปได้ มันไม่ได้ทำให้คุณดูดีมีราคาขึ้นหรอกนะ”