5

3135 Words
“ทำไมเพียงออกมาเช่าห้องข้างนอกอยู่ล่ะ” ชนิตาถามเมื่อเข้ามานั่งเล่นในห้องของเพียงใจ หลังจากที่อีกฝ่ายเลิกงานแล้ว มองไปรอบๆห้องอย่างไม่ใคร่ชอบใจนัก ที่เพื่อนต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ หอพักสะอาดแต่เก่า ทั้งยังดูไม่ปลอดภัยที่หญิงสาวตัวคนเดียวจะพักอีกด้วย ยิ่งมองยิ่งไม่ชอบใจ “ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่อยากออกมาพักคนเดียวบ้างเท่านั้นเอง” บอกโดยไม่สบสายตาคนถาม เพื่อนที่คบกันมานานรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายต้องมีปัญหากับญาติผู้ใหญ่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นไม่ออกมาอยู่แบบนี้หรอก “ป้าสาว่าอะไรเพียงงั้นเหรอ” “เปล่า ท่านจะว่าอะไรเพียงได้ล่ะ” “ถ้างั้นเพียงย้ายไปอยู่กับน้ำตาลดีกว่าอย่าอยู่แบบนี้เลยนะ” “ไม่เอา” เพียงใจปฏิเสธทันควัน “ไปเหอะ น้ำตาลไม่สบายใจเลยที่เห็นเพียงมาเช่าหออยู่แบบนี้ เมื่อตอนพวกเราเดินเข้ามากัน ข้างหน้านั่นมีพวกผู้ชายที่นั่งกินเหล้ามองตามด้วยนะ สายตาน่ากลัวออกจะตายไป” เพียงใจอดค้อนเพื่อนรักไม่ได้ ก่อนหน้านี้ยังทำท่าก๋ากั่นจะลุย จะจีบวิชญ์ให้ได้อยู่เลย ทีอย่างนี้ล่ะมากลัว แต่ฟังแล้วรู้สึกหวั่นใจตามอีกฝ่ายไม่ได้ เพียงใจละมือจากถุงอาหารที่ดึงออกมาเทใส่ชาม ถามเสียงตะหนกนิดๆ “จริงเหรอ” “จริงสิ” เพียงใจที่นึกหวั่นๆเมื่อแรกย้ายมาพักที่นี่ เลยยิ่งจิตตกไปใหญ่ แต่ก็ยังไม่อยากไปอยู่กับชนิตาอยู่ดี เธอผัดเพื่อนพร้อมกับปดว่าอีกระยะหนึ่งคงย้ายกลับไปพักกับอรสาดังเดิม พร้อมกับขอบอกขอบใจอีกฝ่ายที่มีน้ำใจกับเธอเสมอมา แล้วชวนเพื่อนให้กินข้าวด้วยกัน ชนิตาไม่ได้รังเกียจอาหารธรรมดาพื้นๆกลับชอบกินเสียอีก แต่ที่ทำท่าทีรังเกียจ เพราะห่วงเพียงใจ ไม่อยากให้อยู่แบบนี้ กินอาหารจนเรียบร้อย อิทธิขับรถมารับน้องสาวของตนในเวลาต่อมา วันหยุดยาวติดกันสามวันที่มาถึงนี้วิชญ์อนุญาตให้พนักงานหยุดพักได้ต่อเนื่องทั้งสามวัน ชนิตาจึงชวนเพียงใจให้เข้าไปที่กรุงเทพด้วยกัน บอกว่าให้มาเป็นเพื่อนทำธุระด้วยหน่อย แต่จนตอนนี้ยังไม่เห็นชนิตาทำธุระอย่างที่บอกไว้ มาถึงลากเธอไปช่วยเลือกของจำพวกเสื้อผ้าแล้วหาร้านอาหารอร่อยๆอย่างที่คนชวนต้องการนั่งกิน ค่ำหน่อย ชนิตาที่มากับเพียงใจสองคนออกปากชวนให้ช่วยพาไปที่ที่หนึ่ง เพราะอิทธิไม่ได้มาด้วยไม่อย่างนั้นคงอดแน่นอน เพียงใจนั่งมองชนิตาที่สนุกสุดเหวี่ยงในผับมีชื่อย่านกลางเมืองด้วยสีหน้าเรียบสงบ ก่อนจะเอ่ยปากชวนเป็นรอบที่เท่าไรนั้นสุดจะนับได้ “น้ำตาล กลับเถอะ” “เดี๋ยวก่อนสิเพียง กว่าน้ำตาลจะขอพี่อิทธิออกมาได้ นะ ขอน้ำตาลเต้นอีกหน่อย”บอกด้วยใบหน้าทะเล้นนิดๆที่ทำเอาคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ แล้วเลยแกล้งว่าให้ “เก็บกดมาจากไหนเนี่ย” “จะจากไหน ก็จากพี่อิทธิน่ะสิ” บอกหน้ามุ่ยใส่เธออยู่ต่างประเทศกับบิดาที่ไปเปิดร้านอาหารที่นั่น ท่านเข้มงวดมากจนชนิตาอึดอัด ครั้นจะทำตัวเหลวไหลก็ไม่กล้า กลัวท่านผิดหวัง เมื่อได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง ด้วยอายุที่มากขึ้นเลยคิดว่าตัวเองน่าจะโตพอที่จะรับผิดชอบตัวเองได้ แต่อิทธิก็ยังครอบน้องไว้ใต้อาณัติ ชนิตาจึงคล้ายกับเด็กเก็บกดกลายๆ ครู่เดียวมีเสียงทักจากชายคนหนึ่งที่ด้านหลังของสองสาว “มากันสองคนเหรอครับ” ชายคนหนึ่งที่เพียงใจเห็นว่านั่งมองมาจากทางโต๊ะของอีกฝ่ายตรงเข้ามาพูดคุยด้วย แต่ชนิตาที่แค่อยากมาปลดปล่อยไม่นึกสนใจจึงทำเมินไป คนทักรู้สึกเสียหน้าทันทีทั้งยังมีท่าทีคุกคาม ตวาดเสียงเกรี้ยวกราดใส่ “คุยด้วยทำเป็นหยิ่งนัก เดี๋ยวจับปล้ำในนี้เลยนี่”ชายคนนั้นว่าอย่างคนมีโมโหเมื่อสาวที่หมายตาไม่มีท่าทีเล่นด้วย “มีอะไรกัน” อีกเสียงทักมาจากอีกทาง เรียกสายตาของชายแปลกหน้าและสองสาวเพียงใจกับชนิตาได้ถูกจังหวะพอดี ชายคนนั้นเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่เป็นใคร ถึงกับหน้าถอดสี เรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อย ชนิตาค่อยยิ้มได้ เรียกเขาด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา “พี่วิชญ์!” / “คุณวิชญ์” ชายร่างยักษ์หงอลงไปในทันทีที่เห็นคนมาใหม่ ชนิตามองเขาด้วยสายตาเป็นประกายวาววับปนขัดเขินเล็กน้อย “นี่เด็กพี่หรือครับ” ชายคนที่มีท่าทีหาเรื่องในตอนแรกนั้น ตัวใหญ่กว่าวิชญ์ แต่รัศมีน่าเกรงขามของวิชญ์มีมากกว่า เขาไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวใครแม้แต่น้อย วิชญ์ไม่ได้ตอบอะไรเมื่อทางนั้นถามมาแต่ส่งสายตาประมาณว่า ‘ใช่’ กลับไปให้ เท่านั้นก็ทำเอาชายร่างยักษ์ขี้เมานั่นจ๋อยลงไปไม่เป็นเลยทีเดียว “ขอโทษด้วยครับพี่วิชญ์ ขอโทษด้วยนะครับสาวๆ ผมชื่อตองนะครับ ตัวจริงใจดี ไม่ขี้โวยวาย เมื่อกี้ผมเมา ยกโทษให้ผมด้วยครับ” วิชญ์พยักหน้าให้อีกฝ่ายว่าไปได้ ชายคนนั้นจึงจากไปแล้วไม่มองมาที่โต๊ะของพวกเธออีกเลย ไม่นานวิชญ์บอกขึ้นด้วยรอยยิ้มราวกับผู้ใหญ่ใจดี “มาเที่ยวที่แบบนี้ ไม่ควรมากันแค่สาวๆนะครับ” ชนิตาหน้าม่อยลงบอกเสียงอ่อยๆ “คิดแต่จะมาสนุกน่ะค่ะ ไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้” “คราวหน้าถ้าอยากมาอีก บอกผมสิ ผมมาด้วยได้นะ” วิชญ์ว่าเสียงเหมือนจะอบอุ่นจนเพียงใจอยากถอดแว่นออกมาขยี้ตา เคาะหูสักที ว่าตาไม่ฝาด หูไม่ได้เพี้ยนเมื่อครู่นี้ “จริงหรือคะ” ชนิตาถามอายๆ และวิชญ์ก็จ้องตาหญิงสาวที่ดูอ่อนเดียงสาด้วยท่าทีจริงจังบอกเสียงนุ่มละมุนหู “ครับ” เพียงใจเลิกคิ้วมองชายหญิงสองคนตรงหน้าราวกับว่าเธอกำลังนั่งดูละครหลังข่าวที่พระนางเกี้ยวพาราสีกันอยู่ ก่อนจะเบือนหน้าออกไปมองบรรยากาศของร้านแทน รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยไม่ต่างจากเมื่อครู่ที่คราวนี้เคลือบมาในคราบของสุภาพบุรุษ เหมือนขนมสีสวยดูดีแต่ข้างในผสมไปด้วยยาพิษอ่อนๆที่กินเข้าไปคงแย่เอาการไม่น้อยมีเดียวล่ะ วิชญ์นั่งร่วมที่โต๊ะกับสองสาวด้วย เขาเฝ้าชนิตาอยู่ตลอดเวลา ส่วนชนิตาเองไม่กล้าสุดเหวี่ยงแบบก่อนหน้านี้แล้วคงเพราะเขินอายสายตาคมเข้มของชายที่ตนสนใจอยู่ด้วยละมัง เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาวิชญ์ถามขึ้น “พักที่ไหนกันครับ” “โรงแรม...ค่ะ” ชนิตารีบตอบ ซึ่งก็เป็นโรงแรมชื่อดังแถบริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไกลจากสถานบันเทิงตรงนี้พอสมควร “อย่างนั้นหรือครับ บังเอิญจังที่เดียวกันเลย” “อุ้ย จริงหรือคะ” ชนิตาถามด้วยใบหน้าเขินๆ หันหลังให้วิชญ์แล้วอ้าปากทำท่ากรีดร้องแบบไร้เสียงกับเพียงใจ รีบหันกลับมาเมื่อวิชญ์ชวน “เอารถมาหรือเปล่าครับ” “ไม่ได้เอามาค่ะ ไม่รู้ทางเลยนั่งแท็กซี่มาน่ะค่ะ” วิชญ์ยิ้มแบบผู้ชายอบอุ่นแล้วถาม “อยากกลับหรือยัง” “กลับก็ดีค่ะ จริงๆแล้วน้ำตาลไม่ค่อยชอบที่แบบนี้เท่าไรหรอกนะคะ เสียงดังหนวกหูออกค่ะ” วิชญ์ชวนต่อ “กลับกันเลยดีไหม” “ดีค่ะ” ได้ยินเขาถามมาแบบนั้น ชนิตารีบคว้ากระเป๋าแล้วทำหน้าตาแบบเด็กดีตอบรับทันที เดินตามวิชญ์เมื่อเขาเชื้อเชิญ นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เพียงใจได้ขึ้นรถคันหรูของวิชญ์ รถหรูคันนี้ของเขานั้นมีไว้สำหรับพวกสาวๆสวยๆที่เขาควงเพื่อออกหน้าออกตา และแน่นอนว่าไม่ได้มีรายชื่อของเพียงใจอยู่ในด้วย             ห้องพักของวิชญ์อยู่ชั้นบนสุดฝั่งริเวอร์วิว ซึ่งสวยมากจนชนิตาเคลิ้มแล้วเคลิ้มอีก แต่เพียงใจไม่มีเวลามองว่ามันสวยเพราะมัวแต่พะวงว่าวิชญ์จะทำอะไรต่อไป             “ไวน์หน่อยไหมครับ” เขาชวนเมื่อเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว             ชนิตารีบตอบรับเมื่อวิชญ์ชวน “ก็ดีค่ะ”             “น้ำตาล!” เพียงใจเข้ามากระซิบเรียกเมื่อเห็นวิชญ์เดินแยกไปเตรียมเครื่องดื่มให้             ชนิตากระซิบถามกลับ “อะไร”             “เคยดื่มด้วยเหรอไวน์น่ะ พี่อิทธิรู้เข้าโดนเอ็ดยาวแน่”             “เคยดื่มสิ พี่อิทธิไม่ว่าหรอกน่า เพียงก็อย่าเอาไปฟ้องก็แล้วกันนะ เข้าใจไหม” ชนิตายอมทุกอย่างเพื่อที่ว่าจะได้อยู่กับเขานานๆ เขาชวนดื่ม เขาว่าอย่างไรแบบไหนก็อือออตามเขาไปหมด อยากให้เขาพึงพอใจตนเอง และแล้วเพียงใจก็เห็นเพื่อนรัก คนที่ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์แม้แต่ครั้งเดียวนอนเอียงตัวพิงเธอที่โซฟาตรงกลางห้องนั่น วิชญ์มองด้วยสายตาที่ไม่มีใครเห็นแล้วปลีกตัวเดินออกไปรับสายสนทนาของเขาที่เรียกมาเมื่อครู่ เพียงใจมองสภาพของเพื่อนแล้วให้หนักใจยิ่งนัก ก่อนจะจัดท่าให้ชนิตานอนราบลงบนโซฟา ตัดสินใจเดินไปที่ระเบียงตรงที่วิชญ์ยืนอยู่ เธอรีรออยู่ครู่เพราะเห็นว่าเขายังคุยสายไม่จบ แต่ก็มองเขาผ่านกระจกอยู่ตลอดเวลา จนเห็นเขาเก็บโทรศัพท์และยืนมองบรรยากาศนิ่งตรงระเบียง ค่อยเลื่อนบานประตูกระจกออกไปคุยกับเขา ปิดประตูลงแล้วออกปากถามไปตรงๆ “ท่าทางคุณ...เหมือนจะชอบเพื่อนของฉัน” วิชญ์หันกลับมาสบตาเธอแล้วยิ้มแบบที่ไม่ใช่ยิ้มของชายหนุ่มอบอุ่นที่มีมาตลอดขณะที่มีชนิตาอยู่ด้วย แต่มันเป็นยิ้มแบบที่เห็นแล้วอดหนาวยะเยือกไม่ได้ เขาว่า “ถ้าใช่ล่ะ” “น้ำตาลไม่เคยคบใครมาก่อน ไม่เคยมีแฟน ถ้าคิดจะคบกับใครสักคน ฉันในฐานะเพื่อนที่รักและหวังดีที่สุดก็อยากให้ได้เจอคนดีดีที่คิดจริงจังด้วย” “แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมจะไม่จริงจังกับเพื่อนของคุณ” “คุณคบกับคุณแอนนิตานี่คะ” วิชญ์หัวเราะในลำคอก่อนว่า “แบบนั้นไม่เรียกคบหรอกหนูน้อย” “ถ้าคุณยืนยัน...กลัวแต่จะแค่เล่นๆนี่สิ” ท้ายประโยคเสียงเบาลงคล้ายวิตกอยู่ในใจลึกๆ พึมพำกับตนเองมากกว่าจะบอกเขา “บางทีเพื่อนของคุณเองก็อาจจะแค่อยากคบแบบเล่นๆเหมือนกันก็ได้นี่” เขาว่ายิ้มๆ “น้ำตาลไม่ใช่คนแบบนั้น” “เอาเถอะอย่างน้อยๆผมก็ไม่ได้สำส่อนจนติดโรค แล้วก็ไม่ใช่พวกชอบเซ็กซ์วิตถารด้วย” ได้ยินวิชญ์ตอกกลับมาแบบนั้น เพียงใจก็เกือบหายใจไม่ทั่วท้อง พยายามตั้งสติแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อที่จะได้ไม่แสดงท่าทีตกใจให้เขาเห็น เขาพูดแบบนี้แสดงว่าวิชญ์ได้ยินที่เธอใส่ร้ายเขาให้ชนิตาฟังเมื่อวันนั้นวันที่ชนิตาแวะมาหาเธอที่สำนักงาน ตอนนั้นมัวแต่นึกห่วงเพื่อน ลืมไปเสียสนิทว่าอาจมีคนได้ยิน และแล้วก็แจ็คพอตเมื่อเจ้าตัวมาได้ยินคำให้ร้ายของเธอเสียเอง พนันกันได้เลยว่าจากที่เหม็นขี้หน้าของเธออยู่แล้ว วิชญ์อาจรู้สึกมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เผลอๆอาจเกลียดหน้าเธอไปเลยก็ได้ วิชญ์มองหน้าอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก เขาเพิ่งเคยเห็นว่าเพียงใจหน้าถอดสีก็คราวนี้เอง แล้วทำทีเป็นย่างสามขุมเข้าไปหาถามเหมือนเค้นผู้ร้ายตัวฉกาจ “คุณไปเอาเรื่องแบบนี้มาจากไหนกันเพียงใจ” หัวสมองของเพียงใจช็อตเพราะตกใจไปชั่วขณะ พอเห็นว่าวิชญ์คุกคามเข้าหาก็ถอยหนีไปทันที แต่แล้วเธอพบว่าตนเองไปไหนไม่รอดเมื่อไปชนกับที่กั้นของระเบียงอีกฝั่ง วิชญ์ไม่ยอมลดละ เขาเดินเข้าไปจนชิดแล้วกักเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา แขนที่ใหญ่กว่าของเธอเกือบเท่าผสมกลิ่นกายที่เพียงใจไม่เคยเห็นว่ามันจะหอมเลยสักนิด แล้ววิชญ์ก็ยื่นหน้าเข้ามาจนใกล้ เพียงใจต้องเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น  แว่วเสียงหัวเราะของเขาในลำคอก่อนเขาจะว่าขึ้นเยาะๆ “หรือกุเรื่องเพราะอยากกำจัดคู่แข่ง” ได้ผลทีเดียวเมื่อว่าไปแบบนั้น เพียงใจหันกลับมาเผชิญหน้า เธอลืมไปว่าเขาอยู่ใกล้มากแค่ไหนและตอนนี้ใบหน้าของเขาและเธออยู่แทบชิด จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นกายของเขาที่เธอคุ้นกลิ่นมานานแรมปี เพียงใจเม้มปากแน่นเผลอกลั้นลมหายใจแล้วเค้นเสียงบอกเขา “คู่แข่งอะไรของคุณ” “ก็...คู่แข่งหัวใจไง อย่าบอกนะว่าทำงานกับผม แต่ไม่ได้คิดอะไรด้วยเลยน่ะ” “ฮึ!” เพียงใจแค่นเสียงหมิ่นใส่เขาบ้าง เพราะในใจของเธอไม่ได้คิดอะไรอย่างที่เขากล่าวหามาเลยแม้แต่นิดเดียว “หลงตัวเองเกินไปหรือเปล่าคะ” “ไม่ได้คิดก็ดี กลัวแต่จะคิดน่ะสิ” เขาพึมพำบอกเสียงเบา ไม่จำเป็นต้องตะเบ็งบอกเลย แถมตอนนี้ปากของเขายังขยับพูดอยู่จนชิดกับริมฝีปากของเธอ สายตาของเขาหลุบมองที่ริมฝีปากบางเฉียบด้วยสายตาลุ่มลึกแปลกๆ จนเพียงใจออกร้อนวูบไปหมดทั้งใบหน้าลามไปทั่วทั้งตัว ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวที่วิชญ์จะแสดงท่าทีเจ้าชู้กับเธอแบบนี้ เพราะเธอเองแทบเรียกได้ว่าไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาตีสนิทชิดใกล้ วิชญ์เป็นคนแรกที่ทำให้เธอใจสั่น เพียงใจเม้มปากตนเองหนี ตอนนี้ด้านหลังของเธอเบียดอยู่กับราวสแตนเลสจนเจ็บร้าวไปหมด จะยกมือขึ้นดันเขาให้พ้นออกไปก็คล้ายกับว่าเรี่ยวแรงมันหดหายไปเสียสิ้น คงเพราะความชิดใกล้แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ “เพียง อยู่นี่หรือเปล่า” เสียงเลื่อนบานประตูกระจกดังพร้อมกับเสียงเรียกชื่อของเธอ ทำให้เพียงใจค่อยคืนสติกลับมา ฮึดสู้ดันเขาออกไปให้พ้นจากตัว ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาราวกับว่าสนุกนักกับสิ่งที่ทำอยู่ เพียงใจก้าวไปหาชนิตาแล้วชวนเสียงสั่นๆ “น้ำตาล กลับห้องกันเถอะ” “อือ กลับกัน แล้วคุณวิชญ์ล่ะ” ชนิตาเสียงยานคางแบบคนที่พยายามครองสติให้อยู่ “อยู่นี่ครับ” แทนที่เขาจะอยู่เงียบๆ วิชญ์กลับส่งเสียงบอกชนิตาให้รู้ว่ายืนอยู่ที่ระเบียงอีกคน แต่เพราะว่าชนิตามึนเกินไป จึงไม่ได้เอะใจถึงเรื่องนั้น จะมีอะไรน่าสงสัยระหว่างเพียงใจกับวิชญ์ ทั้งสองคนเป็นเจ้านายกับลูกน้อง คงต้องมีเรื่องอะไรให้คุยกันบ้าง แล้วจึงพากันกลับห้องพักของตนเองในเวลาต่อมา วิชญ์ยิ้มแล้วเดินมารินไวน์ดื่มต่ออีกหน่อย เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับนายวิชญ์ คอยดูทีของเขาบ้างเถอะ เพียงใจมองตาเพื่อนก็รู้ว่าชนิตาไม่ได้แค่ชอบวิชญ์ ตอนนี้เรียกว่าคลั่งไคล้เลยน่าจะเหมาะกว่า เช้าวันถัดมาวิชญ์อาสาที่จะพาพวกเธอไปเที่ยว แถมเขายังรู้ใจชนิตาอีกด้วยว่าต้องการไปเที่ยวที่ไหน ชนิตายิ้มหวานแต่เช้าที่วิชญ์โทรเข้ามาบอกโปรแกรมของวันนี้ ทันทีที่วิชญ์ออกปาก ชนิตาก็ตกลงที่จะไปเที่ยวตามนั้นในทันที “น้ำตาลอยากจะบ้า” มองตามสายตาของชนิตาแล้ว ถามเหมือนอ่อนแรง “อะไรอีก” “คุณวิชญ์น่ารักจังเลย อบอุ่นมากๆ เวลาพูดก็น่าฟังทุกคำ โอย ... ทำไมน้ำตาลถึงเพิ่งได้พบเขาก็ไม่รู้นะ” เพียงใจถอนหายใจเบื่อๆ จะมีใครเห็นอีกมุมของวิชญ์แบบเธอบ้าง เขาไม่ใช่แบบที่ชนิตาคิด ไม่ได้น่ารัก ไม่ได้อบอุ่น นั่นแค่ฉากบังตาสาวๆก็เท่านั้น แต่เธอจะพูดอย่างไรดี เพื่อนจึงจะเชื่อคำของเธอ เดี๋ยวจะหาว่าเธอใส่ร้ายเขาเพื่อกำจัดคู่แข่งอะไรนั่นแบบที่เขาเคยกล่าวหาอีก ในใจลึกๆก็กลัวว่าชนิตาจะมองเธอแบบนั้นเช่นกัน “ทางนู้นมีน้ำตาลสดแบบที่เขาเพิ่งทำเสร็จ ลองชิมดูครับ” วิชญ์เดินหิ้วถุงพลาสติกบรรจุน้ำแข็งอัดเต็มส่งให้ชนิตาอย่างเอาใจ เจ้าตัวอมยิ้มแววตาเป็นประกายอย่างมีความสุขทีเดียวแล้วรับมาดื่มตามที่เขาเชิญชวน “อื้อม์...หอม ชื่นใจจริงๆด้วยค่ะคุณวิชญ์” “ผมสั่งไว้ให้ไปดื่มกันที่ห้อง คิดไว้แล้วว่าคุณน้ำตาลคงชอบ” ได้ยินแบบนั้น ชนิตาก็บิดม้วนไปมา ก้มหน้าเพราะเขินอาย พอเงยหน้าขึ้นพบว่าวิชญ์มองมาอยู่ตลอดยิ่งทำให้อายหนักเข้าไปใหญ่ เพียงใจมองอากัปกิริยาของเพื่อนแล้วยกขวดน้ำเปล่าในมือขึ้นเปิดฝาดื่มบ้าง บ่นเบาๆ “เลี่ยน” “อะไรนะเพียง” ชนิตาได้ยินเสียงเพื่อนพูดเลยหันมาคุยบ้าง เพราะไม่อยากให้เพียงใจรู้สึกว่ามาเป็นส่วนเกิน เพียงใจเลยยิ้มบางๆ บอกปัด “เปล่าจ้ะ” “ไปกันเถอะครับ ทางนู้นเรายังไม่ได้เดินไปกันเลย ไหวไหมครับ เหนื่อยไหม” ถามพร้อมกับช่วยชนิตาถือของ โดยมีสายตาคู่หนึ่งมองตามอย่างไม่สบายใจนัก วิชญ์กำลังมาเหนือเมฆ เธอจะหาทางช่วยเพื่อนอย่างไรดี หรือบางทีอาจไม่ต้องช่วยอะไรเลยก็ได้ วิชญ์และชนิตาคงชอบพอกันจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงจะสบายใจอย่างที่สุด แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ    
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD