4

2656 Words
            เพียงใจได้ห้องพักราคาน่ารักน่าชังพอที่จะเจียดเงินเดือนที่มีไม่มากจ่ายไปได้และอยู่แบบไม่ลำบากเท่าไรนัก เนื่องจากเป็นหอพักที่สร้างเอาไว้นานแล้วแต่ยังคงรักษาความสะอาดเอาไว้ได้ดี ที่ตั้งห่างจากตลาดไปค่อนข้างไกลและอยู่คนละฝั่งกับบ้านของอรสา ในห้องมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน เธอจึงไม่ต้องจัดหาสิ่งใดเข้ามาเพิ่มอีก จัดของจนเสร็จก็กะจะเดินออกไปหาซื้อของใช้ส่วนตัวที่ร้านสะดวกซื้อ ขณะหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงตะกร้า ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเอง             “เพียง”             เพียงใจหันไปตามต้นเสียงทันที ก่อนทักทายกลับ “คุณเคน”             เคนมีท่าทีประหม่าเล็กน้อย ถามด้วยแววตาแฝงความห่วงใย “มาทำอะไรแถวนี้ครับ”             “เพียงย้ายมาเช่าห้องข้างนอกอยู่น่ะค่ะ คุณเคนไปไหนมาคะ”             “พี่มาหาญาติน่ะ” คนพูดน้อยแบบเคน สามารถคุยกับเพียงใจที่พูดน้อยพอกันอยู่นาน ยิ่งคุยโหนกแก้มของเคนก็ยิ่งออกสีระเรื่อมากยิ่งขึ้นด้วยความรู้สึกซ่อนเร้นในใจ เพียงใจจึงร่ำลาแล้วเดินออกจากร้านสะดวกซื้อกลับไปยังทิศทางเดิม เคนเองก็เดินไปยังรถเช่นกัน พอเปิดประตูขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เสียงจากเบาะด้านหลังก็ดังขึ้น “ทำไมเพียงใจถึงไปเดินถ่อมๆตรงนั้น”             “เห็นว่ามาเช่าห้องอยู่ข้างนอกครับ”             วิชญ์ไม่ถามอะไรอีก เขาสั่งให้เคนออกรถแล้วตรงเข้ากรุงเทพทันที แค่เห็นเพียงด้านหลังแวบเดียวเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร บอกตนเองว่าไม่ได้ใส่ใจกับแม่นั่นนัก เพราะเห็นทีไรรำคาญตารำคาญใจทุกที แล้วก็นึกหงุดหงิดใจอีกเรื่อง เมื่อเขาเล่นงานอรสาไม่ได้ หญิงคราวแม่นั่นเอาเงินมาจากไหนไปคืนให้กับบ่อน ก่อนบดกรามจนขึ้นสันนูน คงไม่พ้นพ่อเขาอีกแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ยิ่งแค้นใจ เขาจะจัดการอย่างไรกับผู้หญิงสองคนนี่ดี             อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์วิชญ์และผู้ช่วยของเขาเข้าไปจัดการธุระในกรุงเทพ งานที่มีไม่หนักหนานักพอที่เพียงใจจะจัดการได้ และแอนนิตาก็ไม่ได้เข้ามาในสำนักงานอย่างที่เธอนึกหวั่น จนถึงวันหยุดจึงแต่งตัวออกไปยังโรงพยาบาลที่เคยไปเมื่อคราวก่อน             “ท่านกลับบ้านไปแล้วค่ะ”             ได้คำตอบจากพยาบาลประจำชั้นก็ไม่รีรอ เพราะรู้ดีว่าวิชญ์ยังไม่กลับจากกรุงเทพ จึงตรงไปเยี่ยมคุณสำลีที่บ้านของท่าน บ้านหลังใหญ่แวดล้อมด้วยต้นไม้ยืนต้นหลากหลายชนิด ร่มรื่นและเงียบสงบเป็นที่ตั้งของจุดหมาย เพียงใจยื่นมือออกไปกดกริ่งเรียกไม่นาน ก็มีคนวิ่งออกมาเกาะรั้วถาม มองเธอตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า แววตาไม่ไว้ใจนัก             “มาติดต่ออะไรคะคุณ”             “คุณสำลีกลับมาหรือยังคะ”             “ท่านกลับมาแล้วค่ะ มีอะไรหรือเปล่า”             “ขอเข้าไปเยี่ยมท่านได้ไหมคะ”             “เอ่อ คุณเป็นใคร คุณชะม้อยไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน” อีกฝ่ายว่าเสร็จก็ตั้งท่าจากจะจากไป แต่แล้วชะม้อยก็เดินออกมาเมียงมองดูเมื่อเห็นว่าเป็นเธอ ก็ว่า             “หนูน่ะเองเข้ามาได้เลยค่ะ เปิดประตูสิหน่อย” ท้ายประโยคหันไปสั่งสาวใช้ที่อายุห่างกันรอบกว่าๆ             “ขอบคุณค่ะ” เพียงใจโล่งอกทีเดียว เธอเดินตามชะม้อยเข้าไปในห้องพักของคุณสำลี ที่ห้องนั่นเปิดโล่งให้อากาศระบาย เหมาะสำหรับคนป่วยพักฟื้นอย่างคุณสำลี เพียงใจวางของฝากในมือลงแล้วเข้าไปยืนมองใกล้ๆทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะคุณท่าน”             สายตาของคุณสำลีเลื่อนลอยคล้ายไม่อยากรับรู้ว่าใครจะไปจะมา เพียงใจมองแล้วเข้าไปใกล้อีกนิดแนะนำตัวเอง “หนูชื่อเพียงใจนะคะ ทราบว่าคุณท่านกลับมาบ้านแล้วเลยขอเข้ามาเยี่ยมค่ะ” อีกฝ่ายยังคงนอนนิ่งแล้วปิดเปลือกตาลง เพียงใจลอบถอนใจหน่อยหนึ่งแล้วจึงร่ำลาจากมา ก่อนกลับเข้าหอพักเลยแวะซื้อส้มตำไก่ย่างแถวนั้นเข้าไปกิน ให้บังเอิญได้เจอกับงามพิศแล้วจึงลองสอบถามถึงอาการของคุณสำลี จึงได้คำตอบจากปากของคนเป็นพยาบาลว่า             “แกไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ คนตรอมใจน่ะ ใจไม่สบาย กายก็จะป่วยตามไปแบบนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าไม่ยอมลุกขึ้นมา ก็จะเป็นคนป่วยนอนยาวเลยละทีนี้” “แล้วจะทำยังไง ให้อาการของท่านดีขึ้นได้คะ” “ใครจะช่วยท่านได้เล่าหนู ถ้าตัวของท่านไม่ช่วยตัวเอง” “หนูสงสารท่านค่ะ อยากให้ท่านหาย” งามพิศไม่ได้ถามหาเหตุผลว่าทำไมเพียงใจจึงมุ่งมั่นอยากให้คุณสำลีอาการดีขึ้น ถ้าเพราะว่าเป็นมารดาของเจ้านายก็ไม่น่าจะทุ่มเทถึงปานนี้ แล้วแนะนำการดูแลอาการของคุณสำลีไปอย่างละเอียด เพียงใจรับฟังพร้อมกับจดจำเอาไว้อย่างตั้งอกตั้งใจ วันรุ่งขึ้นก็แวะไปอีก “อีกสองช้อนค่ะคุณท่าน” เสียงที่ไม่เคยออดอ้อนใคร บอกกับคุณสำลี ขณะยกช้อนรอป้อนเข้าปาก คุณสำลีเหลือบตามองที่ชามแทนเพราะท่านได้ยินคำนี้มาหลายครั้งแล้วก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “นี่หลอกคนแก่ให้กินข้าวหรือแม่หนู” เพียงใจยิ้มรับแต่ก็ยังไม่หยุดคะยั้นคะยอท่านให้รับอาหารจนเกือบหมดชามค่อยยิ้มออก ชะม้อยเองก็ยืนกุมมือมองมาด้วยสายตาราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยประกายตาของความสุขใจเล็กน้อยที่เห็นเจ้านายกินอาหารได้เกือบหมดชาม พักให้ข้าวเรียงเม็ดดีถึงได้พาท่านย้ายออกไปนั่งรับลมที่ระเบียงด้านนอก แล้วเริ่มพูดคุยกระตุ้นคนป่วย “คุณท่านยังแข็งแรงอยู่มากเลยนะคะ อาการที่เป็นก็ไม่ร้ายแรง ถ้าลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง ทำใจให้สบายๆ ปล่อยวางเสียบ้าง หนูว่าคุณท่านน่าจะมีความสุขมากกว่านี้ค่ะ” ครู่ต่อมาเสียงแหบๆเพราะไม่ค่อยได้ออกปากคุยกับใคร ด้วยว่าหัวใจแห้งเหี่ยวตรอมตรมค่อยถามขึ้นบ้าง “ทำแบบนี้ทำไม” เพียงใจย้ายมานั่งข้างๆท่าน แล้วถามท่านกลับ “ทำอะไรคะ” คราวนี้คุณสำลีเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูกร้าวเล็กน้อย “เธอเป็นหลานของอรสานี่” เพียงใจอึ้งไปชั่วครู่ “ใช่ค่ะ หนูเป็นหลานของป้าสา” “อย่าบอกนะว่าสมเพชฉัน แล้วทำทุกอย่างนี่เพื่อไถ่โทษให้ป้าของเธอ” เสียงคุณสำลีฟังดูเยาะหยันเต็มทีก่อนค่อน “เรื่องแบบนี้ขอโทษแทนกันได้ด้วยหรือไง” “หนูไม่รู้ว่าจะไถ่แทนกันได้ไหม แต่หนูอยากมากราบขอโทษแทนป้าของหนูค่ะ” ว่าจบทรุดตัวนั่งที่พื้น แล้วกราบลงที่เท้าของคุณสำลีอย่างรับผิด คนบนรถเข็นเมินไม่มอง แล้วว่าเสียงอ่อนลง “เอาเถอะ พาฉันกลับห้อง ฉันอยากพัก” เพียงใจเงยหน้าขึ้นมองท่านแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง ตอบรับ “ค่ะ” หลังส่งคุณสำลีกลับขึ้นเตียงเรียบร้อยแล้ว จึงร่ำลาเพื่อกลับมาที่พัก ออกจากบ้านหลังใหญ่ได้ไม่ถึงสามก้าวดีก็ต้องรับสายเรียกเข้า พอยกขึ้นดูก็เห็นว่าเป็นอิทธิ ทันทีที่กดเชื่อมต่อสัญญาณ อีกฝ่ายรีบถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงร้อนรน “อยู่ไหนเพียง” “มีอะไรหรือคะพี่อิทธิ” ปลายสายไม่บอกอะไรมากนัก ได้แต่สั่งเสียงเครียดกลับมา “มาหาพี่ที่ร้านหน่อย” วางสายลงแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ จึงรุดไปที่ร้านของอิทธิอย่างเร่งด่วน เพียงแค่เหยียบย่างเข้าไปในร้าน เธอถูกสวมกอดจากทางด้านหลังเสียแน่น กลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคยโชยเข้าจมูกของเธอ กระตุ้นความทรงจำที่มีต่อเจ้าของกลิ่น “น้ำตาล...” เพียงใจครางชื่อเพื่อนรักออกมาทันที พร้อมกับหันมาประจันหน้ากัน จับมือถามด้วยสีหน้าดีใจอย่างที่สุด “กลับมาเมื่อไร ทำไมไม่โทรบอกกันบ้าง คิดถึงมากๆเลยรู้ไหม ดูสินี่...สวยขึ้นตั้งเยอะแน่ะ” ชนิตายิ้มหวานตามแบบฉบับของเจ้าตัวแล้วแกล้งโอด “โอ้ย เบาๆหน่อย นี่จ้าของฝาก”             “ไม่เอาแล้วของฝาก คิดถึงน้ำตาลจะแย่ พี่อิทธินี่ก็เก่งนะ หลอกจนเราหลงทางไปตั้งไกลนึกว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก”             “จะมีอะไรเล่า ถึงมีอย่างเราจะมาช่วยอะไรพี่ได้” อิทธิแกล้งว่า             เพียงใจยิ้มน้อยๆ แต่ภายในใจเบิกบานอย่างที่สุดแล้วจึงเดินตามแรงของชนิตาเข้าไปนั่งคุยกันที่โต๊ะด้านใน             “แล้วนี่เพียงทำงานที่ไหน ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่าที่ว่าเพื่อนป้าสาฝากให้ทำน่ะ”             “อือ” เพียงใจรับคำสั้นๆไม่อยากเอ่ยถึงนัก             “อยู่ตรงไหนเหรอ น้ำตาลอยากไปดูว่าเพียงทำงานอะไร ที่ไหน กับใคร ไว้ใจได้หรือเปล่า” ได้ยินอีกฝ่ายสาธยายยาวขนาดนั้น เพียงใจก็ยิ้มรับ ชนิตาและเธอต่างมีความหวังดีจริงใจให้กันมาโดยตลอด เป็นอิทธิเสียเองที่อดแซวไม่ได้ “ทำไมต้องขนาดนั้นด้วยยัยตาล”             “อ้าวพี่อิทธิ ก็เผื่อว่าไปเจอเจ้านายชีกอ น้ำตาลจะได้อัดให้หมอบไปเลยน่ะสิคะ” ว่าพร้อมท่าทางประกอบด้วย             อิทธิแกล้งเบ้หน้าใส่คนเป็นน้อง ค่อนจนเพียงใจเองเห็นด้วย “โตกว่าลูกแมวหน่อยเดียวจะไปอัดใครหมอบ โดนเองเสียละไม่ว่า”             ชนิตาเรียกพี่ชายอย่างเคืองๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่สนเพราะเห็นแบบนั้นจริงๆ “พี่อิทธิ!” เพียงใจนั่งยิ้ม หัวเราะไปกับสองพี่น้องอยู่จนดึก มองดูเวลาก็อดออดไม่ได้เมื่อมันผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน อิทธิและชนิตาพาเพียงใจกลับมาส่งที่หอพัก อดหูชาไม่ได้เมื่อชนิตาไม่เห็นด้วยเลยที่เธอออกมาพักคนเดียว ก่อนลงรถยังมีงอนเธอเสียอีกแน่ะ เพียงใจยืนโบกมือลาคนบนรถแล้วจึงกลับเข้าห้องในเวลาต่อมา               เสียงรองเท้าส้นแหลมดังกระทบพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอไปตลอดทางยาวที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานที่เพียงใจบอกเอาไว้ว่าทำงานที่นี่ หญิงสาวร่างงามระหงเดินไปจวบจนเกือบสุดเส้นทางก็บังเอิญที่ประตูห้องห้องหนึ่งเปิดผางออกมาพอดีพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่เบื้องหลังประตูนั่น             ชนิตาหวีดร้องอย่างตกใจ พร้อมกับว่าจะเสียหลักล้มลงไป “ว๊าย!” แต่แล้วชายคนนั้นก็เข้ามาประคองเอาไว้ได้ทัน พร้อมกับเอ่ยเสียงสุภาพ “ขอโทษครับ”             ทันทีที่ได้สบตากับอีกฝ่าย ชนิตาถึงกับเคลิ้มไป บอกเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย“อะ...เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ชายคนนั้นช่วยให้ยืนได้ดังเดิม แล้วจึงทำท่าคล้ายจะผละไป ชนิตารีบยกมือรั้งพร้อมเรียกเขา “ดะ... เดี๋ยวค่ะคุณคะ”             ชายคนนั้นหันมาเลิกคิ้วถามอย่างสุภาพดังเดิม “ครับ?”             “คือ...คือว่าน้ำตาลมาหาเพื่อน...เห็นว่าทำงานที่นี่ ไม่ทราบว่าคุณพอจะรู้จักเธอไหมคะ”             “ชื่ออะไร ทำงานแผนกไหนครับ”             “น้ำตาลไม่แน่ใจว่าอยู่แผนกไหน” ชนิตาละสายตาจากชายคนนั้นคล้ายงึมงำกับตนเองมากกว่าจะคุยกับเขา แล้วเงยหน้าตอบ “ชื่อเพียงใจน่ะค่ะ”             ได้ยินชื่อของคนที่หญิงสาวตามหา ชายหนุ่มที่ยืนสนทนาด้วยก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ชื่อ ‘เพียงใจ’ ในสำนักงานแห่งนี้มีเพียงคนเดียว เขาวาดมือออกกว้างแล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มดูขรึมลง บอกอย่างสุภาพดังเดิม “อ้อ ทางนี้เลยครับ”             ชายหนุ่มคนนั้นเดินนำไปยังห้องที่ดูคล้ายกับจะเป็นในส่วนของผู้บริหาร เขาเปิดประตูให้ชนิตาเข้าไปก่อน พอเห็นว่าเพื่อนรักนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานถัดจากห้องที่ปิดประตูไว้ ด้านหลังเป็นหน้าต่างบานเลื่อนที่เปิดรับลม ก็ดีใจที่หาตัวเพื่อนจนพบลืมคนนำทางพามาในทันที             “เพียง” เพียงใจเงยหน้าขึ้นมาพอดี ถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “มาได้ไงเนี่ย แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา” ชนิตายิ้มซุกซนให้ เจ้าตัวนึกอะไรได้ก็หันกลับไปที่ประตูแต่ตรงนั้นไม่มีร่างสูงสง่าของชายหนุ่มที่เธอพึงใจเสียแล้ว ก่อนจะหันกลับมาที่เพียงใจแล้วบอกยิ้มๆ “เมื่อกี้น้ำตาลเจอผู้ชายคนหนึ่ง หล่อมากเลย เขาเปิดประตูออกมาเกือบชนน้ำตาล แล้วก็พาน้ำตาลมาหาเพียง แต่นี่ไปไหนแล้วก็ไม่รู้...” บอกเสร็จหันกลับไปทางเดิมมองหาอีกครั้งแต่ก็ไร้เงาของเขาแล้ว             เพียงใจที่หูตาไวพอควรเห็นว่าเป็นใครเมื่อครู่นี้ที่มาพร้อมกับชนิตาก็ว่า “นั่นแหละคุณวิชญ์ เจ้านายเพียงเอง”             ได้ยินอย่างนั้น ชนิตายิ้มกว้างตายิบหยี ใบหน้าสวยออกระเรื่อเล็กน้อย กระซิบกระซาบบอกเพียงใจ “น้ำตาลว่า น้ำตาลชอบเขาเข้าแล้วล่ะเพียง”             เพียงใจถอนหายใจยาวยืดอย่างเหนื่อยอ่อน พร้อมเรียกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงคล้ายเตือนสติ “น้ำตาล…น้ำตาลเพิ่งเจอเขานะ” แล้วเริ่มสาธยายความไม่ดีของอีกฝ่ายทันที หวังว่าคงลบภาพชายในหัวของชนิตาได้บ้าง             “คุณวิชญ์น่ะควงผู้หญิงออกเยอะแยะนะน้ำตาล”             “แค่ควงกัน ไม่ใช่แฟนหรอกเพียง”             “แต่เขา…” เพียงใจนึกถึงวันที่เปิดเข้าไปแล้วเจอวิชญ์กับแอนนิตากำลังเหมือนจะจูบกันในห้องทำงานของเขาด้วยซ้ำ แต่ก็พูดไม่ออก             “น้ำตาลไม่สนใจหรอก ผู้หญิงพวกนั้นอาจแค่คบหาแบบฆ่าเวลาไง เพลย์บอยนิดๆแบดบอยหน่อยๆ น้ำตาลชอบ น้ำตาลไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น น้ำตาลจะลุยล่ะ น้ำตาลชอบผู้ชายแบบคุณวิชญ์”             “เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเลยนะน้ำตาล คุณวิชญ์ขี้ตืด ขี้เหนียว คบผู้หญิงไปทั่ว แล้วก็มีข่าวด้วยว่าเขาสำส่อนจนติดโรค แถมยังเป็นพวกชอบเซ็กซ์วิตถารอีก” คราวนี้เหมือนจะได้ผลชนิตาได้ยินแบบนั้นแล้วก็หน้าถอดสีในทันที ถามเสียงอ่อย             “จริงเหรอเพียง”             เพียงใจตัดสินใจพยักหน้ารับ แม้จะต้องโป้ปดแต่เพื่อปกป้องเพื่อนรักแล้วเธอยอม วิชญ์ไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับชนิตาเลยสักนิด             คนที่ถูกลือว่าสำส่อนจนติดโรคและชอบเซ็กซ์วิตถารยืนบดกรามจนเห็นสันนูนด้วยความฉุนเคืองที่ตรงพื้นใต้บานหน้าต่างด้านหลังของโต๊ะทำงานเพียงใจที่ยกพื้นสูงราวสองเมตร ห้องทำงานของเขามีทางเข้าอยู่สองทาง หลังจากส่งหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นไปหาเพื่อนที่เป็นลูกน้องของตนเอง เขาเลยเดินออกไปสั่งงานลูกน้องที่ข้างนอกก่อนจะเดินผ่านมาพอดี ด้วยว่าบริเวณนั้นเป็นพื้นยกสูงสองสาวจึงไม่ทันเห็นว่าคนที่กล่าวถึงยืนฟังบทสนทนาอยู่ที่เบื้องล่าง นึกไว้แล้วว่าเพียงใจร้ายกาจ นี่ถึงกับขนาดเอาเขาไปพูดได้ขนาดนี้เชียวหรือ เขารู้แล้วว่าจะดัดหลังยัยนี่ยังไง กีดกันเขาดีนักใช่ไหม วิชญ์ยิ้มมุมปากอย่างมาดร้ายแล้วผละออกมาในที่สุด          
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD