ภายในจวนฟ่างที่กว้างขวางโอ่อ่ากำลังคึกคักไปด้วยบ่าวสาวรับใช้หลายสิบคนที่กำลังช่วยกันประดับตกแต่งจวนแห่งนี้ด้วยสีแดงอันเป็นมงคล
วันนี้แม่ทัพใหญ่ฟ่างได้จัดงานเลี้ยงรับขวัญบุตรสาวที่เพิ่งผ่านเรื่องร้ายฟื้นจากความตายอีกครั้ง งานเลี้ยงในวันนี้ฟ่างเสวียนสวี่เชิญเพียงเหล่าทหารชั้นน้อยใหญ่ที่สนิทสนมกรำศึกด้วยกันมาร่วมยินดี
ทว่าชาวบ้านที่รู้เรื่องน่าเหลือเชื่อนี้ต่างอยากมาแสดงความยินดีด้วย เจ้าของจวนจึงมีน้ำใจสั่งข้ารับใช้นำโต๊ะไม้มาต่อเป็นทางยาวที่หน้าจวนฟ่างเพื่อให้ชาวบ้านมาร่วมดื่มกิน
"เหตุใดต้องจัดอะไรให้วุ่นวายเช่นนี้"
เจินเม่ยแง้มหน้าต่างไม้มองดูเหล่าคนรับใช้ที่วิ่งวุ่นจัดงานในคืนนี้
"พ่อเจ้าน่ะสิคงดีใจมากที่ลูกสาวคนโปรดฟื้นกลับมาอย่างปลอดภัย"
เจินซู่ยกถ้วยชารสเลิศขึ้นจิบด้วยอารมณ์หงุดหงิด
"ท่านแม่ไม่คิดว่าเรื่องนี้ประหลาดหรือเจ้าคะ"
เจินเม่ยนอนคิดทั้งคืน คืนนั้นนางทดสอบเองกับตาแล้วว่าโรคหัวใจอ่อนแอของฟ่างเซียนเซียนกำเริบและหมดลมหายใจไปตั้งแต่ยามโฉ่ว[1]แล้ว เหตุใดคนที่ขาดอากาศหายใจนานขนาดนั้นถึงกลับฟื้นขึ้นมาได้ แถมยังดูปกติเหมือนคนทั่วไปจนไม่อยากเชื่อสายตาตน
"ประหลาดไม่ประหลาดแล้วเยี่ยงไร ตอนนี้ลูกสาวคนโปรดนางฟื้นกลับมาแล้ว เจ้าต้องคิดหาวิธีรับมือเอาไว้ให้ดี"
เจินซู่กลัวอยู่อย่างเดียว กลัวว่าฟ่างเซียนเซียนจะเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้เสวียนสวี่ฟัง หากเป็นเช่นนั้น สองแม่ลูกที่เข้าไปพูดจาเสียดแทงให้โรคร้ายฟ่างเซียนเซียนกำเริบแถมยังไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยต้องถูกลงโทษเป็นแน่
"ท่านแม่กลัวคนขี้ขลาดเช่นนางหรือ"
ได้ยินแล้วก็อดขบขันความหวาดระแวงไม่เข้าท่าของมารดาไม่ได้
แต่ไหนแต่ไรมา ฟ่างเซียนเซียนถูกพวกนางกลั่นแกล้งสารพัดมิเห็นมีสักครั้งที่เรื่องเหล่านั้นถึงหูฟ่างเสวียนสวี่
"แม่รู้สึกใจคอไม่ดี เจ้าจำแววตาที่นางมองมาที่พวกเราไม่ได้หรือไง"
หลังจากที่เฟิงซูเหยาฟื้นขึ้นมาในร่างฟ่างเซียนเซียนได้แค่หนึ่งเค่อ จู่ ๆ นางก็มีความทรงจำประหลาดของเจ้าของร่างช่วงเวลาก่อนที่นางจะสิ้นใจขึ้นมาให้เห็น ทำให้เฟิงซูเหยาจ้องมองสองแม่ลูกด้วยสายตาชิงชังอย่างที่เจ้าของร่างมิเคยทำหรือแสดงออกมาก่อน
"ก็แค่สายตาของครึ่งผีครึ่งคน ท่านแม่จะไปใส่ใจนางทำไม"
เจินเม่ยกล่าวอย่างไม่มีความเคลือบแคลงหรือหวาดระแวงอันใด ร่างสะโอดสะองนั่งลงบนเก้าอี้ผ้าเนื้อหนา เอื้อมมือหยิบกาน้ำชาเทใส่แก้วก่อนยกขึ้นจิบ
"ก็จริงของเจ้า แม่คงคิดมากไปเอง"
แม้จะพูดปลอบใจตนเอง ทว่าอาการใจหวิวยังคงมีอยู่
"โอ้ยหนวกหู! ไม่รู้จะจัดงานอะไรให้มันเอิกเริกเช่นนี้!"
เจินเม่ยโวยวายเสียงลั่นเมื่อด้านนอกเริ่มจุดประทัดเฉลิมฉลองงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
"อดทนไว้ก่อนลูกแม่ อีกไม่กี่วันพ่อเจ้าก็กลับค่ายทหารแล้ว ถึงเวลานั้น แม่จะให้เจ้าระบายให้เต็มที่ไปเลย"
มารดานิสัยใจคอเป็นเช่นไร บุตรสาวที่คลอดออกมานิสัยใจคอเลาะร้ายยิ่งกว่าผู้ให้กำเนิดเป็นเท่า เจินเม่ยกรีดยิ้มอย่างร้ายกาจเมื่อนึกถึงวันข้างหน้าที่จะได้ใช้ร่างฟ่างเซียนเซียนรองมือรองเท้าให้หนำใจ
"เช่นนั้นคืนนี้ข้าต้องเล่นบทพี่สาวผู้แสนดีต่อหน้าท่านพ่อใช่หรือไม่เจ้าคะ"
เจินซู่หัวเราะร่วนเมื่อประโยคนั้นช่างถูกคอเสียจริง ไม่เสียแรงที่นางเบ่งคลอดออกมา เวลาใช้แก้แค้นจึงได้สาแก่ใจเช่นนี้
เรือนหลานฮวา
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เมื่อวานยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายความโศกเศร้าทว่าบัดนี้กลับถูกจัดตกแต่งห้องหับใหม่เพื่อขับไล่ความอัปมงคลก่อนหน้า
เฟิงซูเหยานั่งเหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกสำริดเคลือบด้วยทองคำได้พักใหญ่ ๆ
ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาช่างสวยสดราวเทพธิดาก็มิปาน ความเรียวรีของดวงตารับกับคิ้วโก่งสวย นัยน์ตาสีรัตติกาล ริมฝีปากจิ้มลิ้มน่าสัมผัส ขาดแต่ร่างกายนี้ที่นางรู้สึกว่าอ่อนแออยู่หลายส่วนจนไม่กล้าขยับเขยื้อนเพราะกลัวจะแตกหักเอาได้
"อึก!"
จู่ ๆ หัวใจดวงน้อยก็รู้สึกปวดหน่วงขึ้นมาคล้ายถูกมีดแทงลงกลางกล่องดวงใจ
ช่างเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยก่อนที่เฟิงซูเหยาจะเหลือเพียงวิญญาณแล้วมาตื่นใหม่ในร่างนี้
"คุณหนูเป็นอันใดเจ้าคะ"
อาถังเห็นอาการผิดปกติของคุณหนูสามจึงเร่งเดินเข้ามาคุกเข่าดูอาการใกล้ ๆ สีหน้าเฟิงซูเหยาในตอนนี้ซีดเผือดริมฝีปากสั่นเพราะกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้
"ข้าไม่เป็นอะไรแค่เจ็บตรงนี้นิดหน่อย"
เฟิงซูเหยายกมือเชิงไล่สาวรับใช้ออกห่างเพราะนางไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอนี้
"คุณหนูเจ็บหน้าอกอีกแล้วใช่ไหมเจ้าคะ"
ถามออกไปใจก็วูบหวั่นกลัวจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นอีก
"เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าแข็งแรงดี"
แม้ก่อนหน้าเฟิงซูเหยาจะซักถามสาวรับใช้นางนี้ได้ความแล้วว่าร่างกายฟ่างเซียนเซียนอ่อนแอเพราะโรคหัวใจมาแต่กำเนิด ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกเมื่อสักครู่มิได้เกิดจากโรคเก่าของเจ้าของร่างกายนี้
มันเจ็บเหมือนตอนที่นางใช้มีดแหลมคมแทงขั้วหัวใจตนเองเพื่อปลิดชีพต่อหน้าคนรักที่หักหลังตนในตอนนั้นมากกว่า
"อึก!"
ยิ่งคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เฟิงซูเหยาต้องมาอยู่ในร่างกายผู้อื่นหัวใจนางยิ่งเจ็บแปลบทวีคูณจนต้องข่มกัดปากได้กลิ่นคาวเลือดเพราะปริแตก
"ข้าตามท่านหมอให้ดีหรือไม่เจ้าคะ"
อาถังร้อนใจปนเป็นห่วงอาการคุณหนูนางเสียเหลือเกิน
"ไม่ต้อง เจ้ารีบเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ข้าเถิด"
อีกไม่กี่เพลาก็จะถึงเวลาเลี้ยงฉลองแล้ว เฟิงซูเหยาไม่อยากเป็นเจ้าของงานที่ทำตัวสายให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเจ้าของร่างกายคนก่อน
จากที่ฟังอาถังเล่าคร่าว ๆ เกี่ยวกับคุณหนูสามฟ่างเซียนเซียนแล้วช่างต่างจากนางคนละขั้ว
หากเปรียบเปรยฟ่างเซียนเซียนที่จิตใจอ่อนโยนคงเหมือนเทพธิดาบนแดนสวรรค์ ส่วนตนนั้นเป็นเพียงนางมารน้อยมือเปื้อนเลือดมาอย่างโชกโชน
"คุณหนูปล่อยผมก่อนดีไหมเจ้าคะ"
เฟิงซูเหยามองตนเองผ่านกระจกสำริดตรงหน้าอีกครั้ง ผมที่รวบตึงปล่อยเหมือนหางม้าคือทรงผมที่บุรุษผู้หนึ่งบอกว่าเหมาะกับใบหน้าของนางยิ่งนัก
"ตามใจเจ้าเถิด"
อะไรที่คนผู้นั้นชื่นชม บัดนี้นางจะละทิ้งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตนเองเสีย
เปลี่ยนทุกอย่างยกเว้น....
"เรียนคุณหนูสามนายท่านให้มาตามไปที่งานเลี้ยงเจ้าค่ะ"
เสียงสาวใช้นางหนึ่งดังขึ้นด้านนอก เฟิงซูเหยาพยักหน้าเพื่อปล่อยหน้าที่ตอบคำถามนี้แก่อีกคนจัดการแทน
"อีกหนึ่งเค่อข้าจะพาคุณหนูเข้าไปในงาน ฝากเจ้าช่วยเรียนนายท่านให้ที"
"ทราบแล้ว"
เสียงฝีเท้าสาวใช้นางนั้นไกลออกไปแล้ว เฟิงซูเหยานั่งมองเส้นผมสีดำสนิทปล่อยสยายถึงเอวบางด้วยหัวใจที่ล่องลอย
'ข้าช่วยเจ้าสางผมดีหรือไม่'
'ข้าชอบเจ้ารวบผมเช่นนี้ดูเป็นสตรีอาจหาญเหมาะแก่การอยู่ข้างกายข้า'
ความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูออกมาให้เจ็บช้ำน้ำใจ ปิ่นปักผมในมือถูกกำจนหักเป็นสองท่อนอย่างไม่รู้ตัว
"คุณหนูบาดเจ็บไหมเจ้าคะ"
อาถังตกใจที่เห็นปิ่นไม้เนื้อดีถูกหักเพียงแค่กำมือเดียว
เหตุใดคุณหนูนางถึงมีเรี่ยวแรงเยอะถึงเพียงนี้
"เสร็จแล้วใช่หรือไม่"
เฟิงซูเหยามิได้สนใจน้ำเสียตกใจปนเป็นห่วงนั้นของสาวใช้นางนี้ นางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปเลือกชุดที่แขวนไว้
"ข้าชอบสีนี้"
สีแดงฉูดฉาดที่ถูกแขวนไว้มานานนมแต่ไม่เคยถูกใช้งานถูกมือแน่งน้อยของเฟิงซูเหยาหยิบมาสวมใส่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม
"คุณหนูแน่ใจหรือเจ้าคะว่าจะใส่ชุดนี้"
ความจริงแล้วฟ่างเซียนเซียบชอบเสื้อผ้าสีนี้มาก หากแต่มันคือสีโปรดของฮูหยินรองเจินซู่ ทุกครั้งที่นางสวมใส่ชุดสีแดงลงบนเรือนร่างมักจะถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงใจร้ายทำให้พักหลัง ๆ ฟ่างเซียนเซียนหวาดกลัวจะโดนทำร้ายจึงไม่เคยสวมใส่อาภรณ์หรือเครื่องประดับที่มีสีนี้อีกเลย
"ไม่เหมาะกับข้ารึ"
เฟิงซูเหยาที่มีดวงตามั่นใจเต็มเปี่ยมมองสาวใช้ผ่านกระจกสำริดตรงหน้า ทำเอาอาถังถึงกับหลบสายตาคู่นั้นอย่างไม่รู้ตัว
"เหมาะเจ้าค่ะ คุณหนูสวมชุดสีนี้แล้วงดงามยิ่งนัก"
แม้ในใจจะรู้สึกว่าการกลับมาครั้งนี้ของฟ่างเซียนเซียนมีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปราวคนละคน ทว่าอาถังกลับรู้สึกว่าแบบนี้เหมาะกับคุณหนูนางมากที่สุด
เคยโอนอ่อนยอมสองแม่ลูกนั้นข่มเหงมานักต่อนัก ครั้งนี้หากคุณหนูนางฮึดสู้ขึ้นมาบ้างอาถังผู้นี้จะยอมสู้ตายเคียงข้างนางเอง
"ไปกันเถอะ ข้าพร้อมแล้ว"
"เจ้าค่ะ" อาถังนำหน้าคุณหนูนางเพื่อพาไปยังเรือนใหญ่ที่ใช้จัดงานในค่ำคืนนี้
ท่าทางเชิดราวพญาหงส์ของเฟิงซูเหยาช่างแปลกตาต่อสายตาเหล่าข้ารับใช้เป็นอย่างยิ่ง ทุกท่วงท่าการเดินที่ดูสง่างามดึงดูดสายตาแขกเหรื่อในงานจนไม่มีใครละสายตาจากนางได้
"เซียนเอ๋อร์มาแล้ว"
ฟ่างเสวียนสวี่เรียกบุตรสาวอย่างดีอกดีใจ การกระทำออกนอกหน้านี้สร้างความขุ่นเคืองให้กับสองแม่ลูกที่ถูกลดตำแหน่งลงไปนั่งต่ำกว่าหัวหน้าตระกูลหนึ่งขั้นเกือบเทียบเท่าแขกเหรื่อคนอื่น ๆ
"เซียนเอ๋อร์ขออภัยที่มาสาย"
เฟิงซูเหยาย่อตัวเล็กน้อยด้วยกริยางดงามอ้อนช้อยต่อหน้าผู้นำตระกูลและแขกคนอื่น ๆ สร้างความเอ็นดูต่อคนในงานจนเกินหน้าเกินตาบุตรสาวอีกคน
"ท่านแม่ข้าทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ!"
เจินเม่ยกำมือแน่นอย่างหมั่นไส้น้องสาวต่างมารดาที่ทำตัวโดดเด่นกว่านาง
"ใจเย็น ๆ นี่งานฉลองของน้องสาวเจ้า ท่องเอาไว้"
ใช่ว่าเจินซู่จะชอบสักเท่าไรที่ลูกศัตรูหัวใจแย่งความรักจากเสวียนสวี่ไปครอบครองเพียงคนเดียว แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นวันของนาง เจินซู่จะยอมถอยหนึ่งก้าว ค่อยคิดรวบบัญชีวันหลังก็ยังมิสาย
"จอกนี้ข้าขอดื่มให้กับสวรรค์ที่ส่งเซียนเอ๋อร์กลับมาอยู่ข้างกายข้า"
เสียงกังวาลของแม่ทัพใหญ่ฟ่างดังขึ้นพร้อมจอกสุราหมักเลิศรส
"ท่านพ่อ เซียนเอ๋อร์ขอดื่มด้วยคน"
เสวียนสวี่ตกใจที่ได้ยินบุตรสาวเอ่ยขอดื่มสุราทั้ง ๆ ที่นางมิเคยดื่มสักครั้ง
"ข้าหมายถึงชาเจ้าค่ะ"
คนฉลาดไหวพริบดีอย่างเฟิงซูเหยาแก้สถานการณ์ได้อย่างไร้คนสงสัย
"ยกน้ำชาให้คุณหนูสาม"
ซูเหยารับถ้วยน้ำชาทำจากหยกเนื้อดีขึ้นมาถือไว้ สองพ่อลูกไหว้ขอบคุณฟ้าดินก่อนดื่มของเหลวในมือจนหมดจอก
"คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ข้าขอดื่มให้คุณหนูสามอายุมั่นขวัญยืนอยู่เป็นขวัญกำลังใจแก่ท่านแม่ทัพใหญ่ไปจนผมเปลี่ยนสี"
นายกองทหารผู้หนึ่งกล่าวแสดงความยินดีจบ นายกองคนอื่น ๆ ก็พากันร่วมแสดงความยินดีกับปาฎิหาริย์ในครั้งนี้จนถ้วนหน้า กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วยามซูเหยาก็หาเรื่องออกจากงานสังสรรคที่มีแต่คนแปลกหน้าเพื่อเก็บตัวเงียบ ๆ ในสวนดอกไม้คนเดียว
[1] 1.00 – 2.59 น.