หลังจากผ่านงานเลี้ยงมาได้สามวัน แม่ทัพใหญ่ฟ่างก็จำต้องกลับไปยังค่ายทหารที่ชายแดนเมืองถังเหลียน
"เจ้าแน่ใจว่าไม่ไปเที่ยวเล่นกับพ่อ"
เสวียนสวี่เอ่ยถามบุตรสาวหลังจากชวนนางไปอยู่ที่ค่ายทหารด้วย แม้จะบอกว่าที่นั่นคือค่ายทหาร ทว่าเป็นถึงค่ายของแม่ทัพใหญ่ทุกอย่างล้วนสะดวกสบายและไม่ขัดสน
"ข้าเพิ่งฟื้น อยากพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้หน่อย"
เฟิงซูเหยาปฏิเสธเสียงเรียบ
หากให้ตามติดคนผู้นี้ นางย่อมไม่ได้เติมเต็มสิ่งที่อยู่ในแผนการให้สำเร็จเป็นแน่
"ก็จริงของเจ้า แม้ว่าที่ค่ายทหารจะไม่ลำบาก แต่การเดินทางนั้นรำเค็ญ พ่อช่างไม่รอบคอบเสียจริง"
"ท่านพ่ออย่าโทษตนเองเลยเจ้าค่ะ หากข้าฟื้นร่างกายดีแล้วจะไปเยี่ยมท่านแน่นอน"
"เหตุใดครั้งนี้ลูกสาวข้าถึงได้ดูอาจหาญกล้าตอบโต้เสียงดังฟังชัดเช่นนี้"
เสวียนสวี่ตอบกลับอย่างหยอกล้อ เขารู้สึกชอบนิสัยบุตรสาวในเวลานี้มากกว่าเมื่อก่อน
"อาจเพราะการได้ตายมาแล้วครั้งหนึ่งทำให้ข้าเข้มแข็งขึ้น"
เฟิงซูเหยาเอ่ยเสียงแผ่วหากแต่แววตากลับดุดัน
"อาจจะใช่ ครั้งนี้สำหรับเจ้าแล้วคงเรียกว่าผ่านความตายมาแล้ว"
เพราะที่ผ่านมาอาการนางกำเริบไม่เคยเกินเวลาจิบชา[1] ย่อมไม่นับว่าคือการผ่านความตาย
"สายแล้ว ท่านพ่อเร่งเดินทางเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงข้า"
เสวียนสวี่เอื้อมมือลูบผมบุตรสาวอย่างทะนุถนอม ในสายตาของเขาช่างอบอุ่นผิดจากเวลามองเจินเม่ยราวฟ้ากับเหว ทำให้คนที่หลบมุมมองสองพ่อลูกหยอกล้อกันอย่างอบอุ่นฝังความชิงชังไว้ในอก รอเวลาให้เจ้าของจวนก้าวออกจากประตูไปค่อยระบายออกมา
"ฮูหยินรองกับเม่ยเอ๋อร์คงแต่งตัวยังไม่เสร็จ พ่อฝากเจ้าบอกลาพวกนางแทนด้วยแล้วกัน"
"เจ้าค่ะ เดินทางปลอดภัย"
เสวียนสวี่ส่งยิ้มให้บุตรสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ตามมาด้วยการส่งสัญญาณให้เหล่าทหารเคลื่อนกำลังกลับยังค่ายทหารเพื่อทำหน้าที่รักษาชายแดนถังเหลียนต่อ
ครั้นตรงนี้ไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว เฟิงซูเหยาจึงเตรียมกลับไปยังเรือนหลานฮวาของตนเอง สายตาเฉียบคมเห็นสิ่งผิดปกติรออยู่ตรงหน้าจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น อยากรู้นักว่าใครกันที่หลบมุมอยู่ตรงนั้นและคนผู้นั้นต้องการอะไร
นางจึงสาวเท้าเดินทำตัวปกติ เมื่อถึงมุมที่ต้องเลี้ยวเห็นปลายรองเท้าโผล่ออกมาเพื่อหวังให้นางสะดุดล้ม
เฟิงซูเหยาขำขันในใจกับการกลั่นแกล้งวิธีซ้ำซากทั่วไปของพวกนางร้ายขี้อิจฉาจึงแสร้งตามน้ำเดินสะดุดขาเจินเม่ยพร้อมกับ...
หมับ!
ตุบ!
"โอ้ย!"
เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังลั่น เฟิงซูเหยาที่ถูกขวางทางมิได้ล้มตึงลงตามที่ใจคนกลั่นแกล้งปรารถนา หากแต่เป็นเจินเม่ยที่ถูกเฟิงซูเหยาแสร้งเสียหลักแล้วผลักจนล้มลงไปกองที่พื้นแทน
"คุณหนู!"
"เม่ยเอ๋อร์"
เสียงผู้มาสมทบทั้งสองคนต่างเรียกหาคนของตนเอง
เจินซู่ปรี่เข้าไปช่วยพยุงบุตรสาวลุกขึ้นจากพื้นแข็ง ๆ แถมเย็นยะเยือก ส่วนอาถังเข้าไปจับตามเนื้อตัวคุณหนูสามของนางว่าบาดเจ็บส่วนใดหรือไม่อย่างเป็นห่วง
"เจ้ากล้าแกล้งข้า!"
ทันทีที่ถูกมารดาช่วยขึ้นมาจากพื้น มือเรียวกรีดนิ้วชี้หน้าน้องสาวต่างมารดาด้วยความเกรี้ยวกราด
"ข้าเปล่าแกล้งท่าน เมื่อครู่ข้าเห็นเหมือนมีเท้าของสัตว์โผล่ออกมาเลยตกใจ ใครจะรู้ว่านั่นคือพี่รองที่แอบอยู่ตรงหัวมุม"
เฟิงซูเหยาแกล้งหลบตาในใจกลั้นขำหลังเฉไฉเสร็จ
"เจ้าหาว่าเท้าอันเรียวสวยของข้าคือเท้าของสัตว์งั้นรึ!"
เจินเม่ยสั่นไปทั้งตัวอย่างควบคุมโทสะมิได้
นางทั้งกระทืบเท้าทั้งกรีดร้องจนคนที่อยู่บริเวณนั้นต้องยกมืออุดหู
"ข้าเห็นว่าเป็นเท้าของสัตว์จริง ๆ นะเจ้าค่ะ"
ยิ่งตอบโต้ ซูเหยายิ่งรู้สึกสะใจ
ความทรงจำของฟ่างเซียนเซียนที่ผุดขึ้นมาให้นางเห็นเรือนลาง บ่งบอกว่าสองแม่ลูกนี้ทำเลวทรามกับเจ้าของร่างที่นางอยู่ตอนนี้มากเพียงไหน แผลเป็นที่ติดอยู่บนร่างกายนี้เป็นเครื่องยืนยันชิ้นดีว่าฟ่างเซียนเซียนผู้นั้นถูกทุบตีทรมานอย่างน่าเวทนายิ่ง
"เจ้าบอกว่าเห็นเป็นเท้าสัตว์ สัตว์ชนิดใดกันที่สวมใส่รองเท้าปักลวดลายสวยงามเช่นนี้!"
เจินซู่เค้นเอาความจากลูกเลี้ยงที่วันนี้มาแปลกพิกล สายตาที่นางจ้องทั้งสองคนช่างแตกต่างจากฟ่างเซียนเซียนก่อนจะสิ้นใจราวคนละคน
นางผู้นั้นรึจะกล้าสู้สายตากับสองแม่ลูกนี้ แค่ได้ยินเสียงเจินเม่ย ฟ่างเซียนเซียนคนเดิมก็ตัวสั่นน้ำตาเล็ดแล้ว
"ฮูหยินรองอยากรู้หรือเจ้าคะว่าเมื่อสักครู่ข้าเห็นเท้าของสัตว์ใด"
เสียงกวนโทสะนั้นยิ่งทำให้คนถูกยั่วโมโหเลือดลมขึ้นหน้า อยากจะลากซูเหยามาลงไม้ลงมือให้หายแค้นเช่นทุกครั้ง
คราวก่อนในงานเลี้ยงเรื่องที่นางใส่สีโปรดของเจินซู่นางก็ยังมิได้จัดการเอาความ ทว่าเวลาสบตากับสายตารัตติกาลคู่นั้นแล้ว ทั้งเจินซู่และเจินเม่ยกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงข้างในทรวง สัญชาตญาณบางอย่างบอกพวกนางว่าหากรังแกคนตรงหน้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
"งั้นเซียนเอ๋อร์เฉลยเลยแล้วกัน เพราะสมองที่ใหญ่โตของพวกท่านคงนึกไม่ออก"
สองแม่ลูกยังคงกอดกันเกรียวไม่มีใครเอะใจว่าซูเหยาหลอกด่าพวกนางว่าสมองกลวง
"เท้าของสัตว์ที่เซียนเอ๋อร์เห็นคือเท้าของงูเจ้าค่ะ เป็นงูพิษที่ชอบแว้งกัดคนกันเอง"
พูดจบซูเหยาก็หันหลังเดินกลับเรือนหลานฮวาพร้อมอาถังสาวรับใช้อย่างไม่รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้กับสองแม่ลูกคู่นี้
"งู... ท่านแม่ งูมีขาด้วยหรือเจ้าคะ"
เจินเม่ยเอ่ยถามมารดาด้วยเสียงใคร่สงสัย
"โอ้ย! เจ้าสมองช้าตั้งแต่เมื่อใดกัน นางหลอกด่าพวกเราว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ!"
เจินซู่ฟึดฟัดด้วยความโมโหที่ถูกหลอกด่าซึ่ง ๆ หน้า
การตื่นมาของฟ่างเซียนเซียนในครั้งนี้แปลกไปอย่างมาก ทั้งวาจาสามหาวขึ้นหลายเท่า ไหนเลยจะแววตาที่ดุดันมิเกรงกลัวสิ่งใดคู่นั้นก็เปลี่ยนไปตาม แถมชอบทำอะไรที่ไม่เคยกล้าทำอย่างเช่นสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงฉูดฉาดสีโปรดของเจินซู่เดินรอบจวนนั่นอีก
"กรี๊ด!!"
เจินเม่ยเหมือนเพิ่งได้สติ นางกรีดร้องออกมาจนแทบจะดังไกลเป็นพันลี้
"ฟ่างเซียนเซียน! เจ้าจะต้องถูกข้าเอาคืนอย่างสาสม!"
เจินเม่ยกระทืบเท้าระบายอารมณ์ ค่อย ๆ เดินอย่างทุลักทุเลลูบบั้นท้ายที่ล้มกระแทกพื้นตามมารดากลับเรือนพักตนไป
[1] ประมาณ 5 นาที