"ท่านพ่อหักห้ามใจเถิดเจ้าค่ะ"
เจินเม่ยรีบเข้าไปสวมกอดบิดาเพื่อปลอบให้เขาตัดใจจากน้องสาวผู้นี้เสีย ยังเหลือนางที่เป็นบุตรสาวอยู่อีกคนไม่รู้จะโศกเศร้าไปไย
"ท่านหมอยังไม่มาอีกรึ!"
เสวียนสวี่มิได้สนใจอ้อมกอดที่ปลอบเขาสักนิด ทำเอาเจินเม่ยกัดฟันข่มอารมณ์โมโหไว้จนสุดจะกลั้น เจินซู่ดูอาการบุตรสาวออกจึงรีบเข้ามาดึงนางให้มายืนรอด้านข้างเงียบ ๆ
"ข้ามาแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้ามาแล้ว"
เสียงหมอที่บ่าวรับใช้ไปตามเร่งฝีเท้าเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ
"เร็วเข้า รีบดูอาการเซียนเอ๋อร์เร็ว"
เพียงแค่ท่านหมอเห็นสภาพคุณหนูสามที่นอนแน่นิ่งตรงหน้าดวงตาก็เบิกกว้างพลางลอบถอนหายใจอย่างผู้รู้ ทว่าหากไม่ทำการจับชีพจรรักษาฟ่างเซียนเซียนตอนนี้คงถูกแม่ทัพใหญ่ฟ่างลงดาบบั่นคอแน่แท้ มือเหี่ยวย่นตามวัยจึงค่อย ๆ จับชีพจรที่ไร้การเต้นนั้นตามขั้นตอนทางการแพทย์ก่อนรายงานเสียงแผ่วเบา
"คุณหนูสามฟ่างนางสิ้นวาสนาแล้ว"
คำประกาศของท่านหมอเป็นที่สิ้นสุดการรักษา ฟ่างเสวียนสวี่ล้มตึงลงกับที่นอนพลางยกมือปิดหน้าเพื่อปกปิดคราบน้ำตา
"ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดหักห้ามใจด้วย"
เสียงร้องไห้ของบ่าวรับใช้ชายหญิงดังขึ้นทั้งด้านนอกด้านในเรือนหลานฮวา มีเพียงสองแม่ลูกที่แอบลอบยิ้มอยู่ในมุมอับที่ไร้คนสนใจ
"คุณหนู ท่านแกล้งอาถังเล่นใช่หรือไม่เจ้าคะ คุณหนูเซียนเซียนของบ่าวรีบตื่นมาได้แล้วเจ้าค่ะ"
อาถังทำใจกับการประกาศของท่านหมอไม่ได้ นางร้องห่มร้องไห้พลางเขย่าแขนบอบบางฟ่างเซียนเซียนหวังให้นางตื่น
"เจ้าพาอาถังออกไปก่อน"
พ่อบ้านใหญ่กุ้นสั่งบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งให้พาอาถังออกไปสงบสติอารมณ์ด้านนอก
"พ่อบ้านกุ้นช่วยข้าจัดแจงเรื่องงานศพที"
เสียงที่เปล่งออกมาของผู้เป็นบิดาแทบจะแห้งเหือด
วันนี้เขาตั้งใจจะกลับมาเพื่อพาบุตรสาวสุดที่รักออกไปชมดอกไม้ที่งานเทศกาลประจำเดือนของเมืองถังเหลียนตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับฟ่างเซียนเซียนก่อนออกไปรบเมื่อเดือนก่อน ไหนเลยจะรู้ว่าการกลับมายังบ้านเกิดตนเองในวันนี้จะเจอเรื่องร้ายเช่นนี้
ฮูหยินเอกอย่างเหวินเหม่ยเซียวจากตนไปตั้งแต่คลอดฟ่างเซียนเซียนได้สามเดือน เหตุใดมาวันนี้สวรรค์ถึงได้คร่าชีวิตที่เกิดจากตนและเหม่ยเซียวไปอีกแล้ว
จะต้องให้เขาสูญเสียบุตรสาวที่เกิดจากครรภ์เดียวกันถึงสองคนเลยหรือ
สองคน?
...ถูกแล้ว
บุตรสาวคนโตหรือคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากฟ่างเสวียนสวี่กับเหวินเหม่ยเซียวหายตัวไปหลังจากนางคลอดลูกได้เพียงสามวัน ผ่านมาสิบเก้าปีไม่ได้ข่าวคราวคงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจากคุณหนูใหญ่ผู้นั้นไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
กว่าเขาจะรักษาเยียวยาจิตใจของเหวินเหม่ยเซียวให้กลับมาเป็นปกติใช้เวลาถึงสามปีนางถึงยอมคลอดบุตรสาวอีกคนให้กับตน ไฉนเลยผ่านมาแค่สิบหกปีสวรรค์ถึงได้คร่าเอาชีวิตลูกสาวคนเล็กของเขากับเหม่ยเซียวไปอีกคนเช่นนี้
"นายท่านกลับไปพักที่ห้องก่อนดีหรือไม่"
เสียงของพ่อบ้านกุ้นทำให้เสวียนสวี่ได้สติกลับมายังปัจจุบัน
"ข้าพาท่านพี่กลับไปพักเอง พ่อบ้านกุ้นจัดการนำโลงศพมาใส่เซียนเอ๋อร์ให้ไว"
เสียงสั่งการของเจินซู่ทำให้เสวียนสวี่ไม่พอใจเล็กน้อย
การตบแต่งเทียนเจินซู่เข้ามาเป็นอนุมิใช่สิ่งที่เขาต้องการ ทั้งหัวใจเขามีเพียงเหวินเหม่ยเซียวผู้เดียว หากแต่เพราะเป็นพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้เพื่อช่วยให้เสวียนสวี่คลายเศร้าจากการจากไปของบุตรสาวและอาการของเหวินเหม่ยเซียวที่น่าเป็นห่วง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเลยพระราชทานสมรสให้เขากับเจินซู่เพื่อหวังให้เจินซู่ช่วยดูแลเขาตอนที่เหม่ยเซียวอยู่ก็เหมือนคนไร้วิญญาณ
"เจ้าอยู่คุมบ่าวไพร่พวกนี้เถอะ ข้ากลับห้องเอง"
เสวียนสวี่เย็นชาต่อนางเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นอย่างเสมอต้นเสมอปลายและเพราะเหตุนี้ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังของนางที่มีกับเลือดเนื้อของเขากับศัตรูหัวใจนางนั้นยิ่งขึ้น
"ท่านพี่รักษาสุขภาพด้วย"
เจินซู่น้อมส่งสามีอย่างอ่อนโยน แม้จะบอกว่านางตบแต่งเข้าจวนฟ่างเพราะพระราชทานสมรสของฮ่องเต้ แต่ความจริงเจินซู่แอบมีใจให้เสวียนสวี่มานานแล้ว แม้เขาจะแต่งงานกับเหม่ยเซียวนางก็มิอาจตัดใจจากชายผู้นี้ได้ และด้วยเหตุนี้ ทำให้เจินซู่ทั้งรักทั้งชังสามี
รักเพราะเขาคือรักแรกของนาง
ชังเพราะนางแทนคนตายไปแล้วอย่างเหม่ยเซียวไม่ได้
"ขนาดตายไปแล้วยังแว้งกัดท่านแม่ข้าให้ทุกข์ใจ!"
"เม่ยเอ๋อร์หยุด!"
เจินเม่ยเตรียมปรี่เข้าไปทำร้ายร่างกายผู้ที่นอนไร้ลมหายใจเพื่อแก้แค้นแทนมารดา ทว่าในนี้ยังมีสายตาคนอื่นอีกมากมายคอยจ้องจับผิดพวกนางอยู่เจินซู่จึงรีบเข้าไปห้าม
"มัวยืนมองอะไรกัน คุณหนูสามของพวกเจ้าตายไปแล้วรีบแยกย้ายกันไปจัดการศพนางสิ!"
เมื่อระบายกับคนตายไม่ได้ เจินเม่ยจึงเลือกระบายกับคนเป็นที่มีศักดิ์ต่ำต้อยกว่าตนเอง ทำเอาข้ารับใช้ถอนหายใจอย่างเอือมระอากับนิสัยเอาแต่ใจ เบ่งอำนาจของคุณหนูรองผู้นี้แล้วแยกย้ายกันไปจัดงานไว้ทุกข์ส่งฟ่างเซียนเซียนเป็นครั้งสุดท้าย
ผ่านมาแล้วหนึ่งชั่วยาม ตอนนี้โลงศพสลักด้วยลวดลายสวยงามสมกับฐานะคุณหนูสามแห่งตระกูลแม่ทัพใหญ่ได้ถูกเตรียมไว้ในห้องนอนนางเรียบร้อยแล้ว รอเพียงเสวียนสวี่บอกลาบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้าย ร่างที่ไร้วิญญาณนี้ก็จะถูกนำบรรจุลงในโลงศพทันที
"เซียนเอ๋อร์ลูกพ่อ"
แม้จะแกร่งและเด็ดเดี่ยวเพียงใด แต่หัวใจย่อมมีความอ่อนแอ น้ำตาหยดใสไหลอาบแก้มแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรอย่างมิอายสายตาผู้คน มือเหี่ยวย่นตามวัยเอื้อมไปลูบศีรษะบุตรสาวอย่างทะนุถนอม
"ต่อแต่นี้ไปเจ้ากับแม่คงเฝ้ามองดูพ่ออยู่บนสรวงสวรรค์"
ทุกคำร่ำลาช่างบาดขั้วหัวใจเหล่าบ่าวสาวรับใช้ในเรือนจนเกิดเสียงสะอึกสะอื้นดังระงมตาม
"ไม่ต้องห่วงพ่อ อีกไม่นานพ่อคงตามพวกเจ้าไป"
คำตัดพ้อนี้ทำเอาบ่าวสาวรับใช้ทั้งจวนส่ายหน้ากันถ้วนหน้า แม้ว่าแม่ทัพใหญ่ฟ่างจะอายุห้าสิบหกเข้าไปแล้วทว่าร่างกายยังแข็งแรงดี แถมยังดูหนุ่มแน่นกว่าวัยไยต้องกล่าวเช่นนั้นต่อร่างไร้วิญญาณของบุตรสาวให้ข้ารับใช้ในเรือนพากันใจคอไม่ดีเช่นนี้ด้วย
"ท่านพี่ ใกล้ได้ฤกษ์แล้วเจ้าค่ะ"
เจินซู่เอ่ยบอกสามีพร้อมรั้งเขาออกมาจากร่างไร้ลมหายใจ
"ข้าขอมองหน้าเซียนเอ๋อร์เป็นครั้งสุดท้ายให้นานกว่านี้หน่อย"
ใจหนึ่งก็เอาแต่โทษตัวเองที่นาน ๆ ทีจะได้กลับมาบ้านอยู่เล่นเป็นเพื่อนบุตรสาว หากเลือกย้อนเวลาได้ เขาจะพานางไปอยู่ค่ายทหารด้วย จะพานางไปเปิดหูเปิดตาดีกว่าให้ขลุกอยู่แต่ในจวนเพราะเป็นห่วงโรคประหลาดนั่นจะกำเริบเช่นนี้
"ร่างขาวซีดน่ารังเกียจเช่นนั้นมีอะไรให้น่ามองกัน"
เจินเม่ยพึมพำเบา ๆ อยู่ในมุมหนึ่งของห้อง นางคงลืมไปว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องถึงได้กล้าพูดจาเช่นนั้นออกไป
"นายท่าน ได้เวลานำร่างคุณหนูสามบรรจุโลงศพแล้วขอรับ"
พ่อบ้านกุ้นเอ่ยเรียกสติฟ่างเสวียนสวี่อีกครั้ง
บ่าวรับใช้สองคนประจำที่เตรียมหามร่างฟ่างเซียนเซียนลงในโลงศพที่ด้านในเคลือบไปด้วยทองคำ ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้นเสียก่อน
เปรี้ยง!
"กรี๊ด!!!"
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่มีเค้าลางของฟ้าฝน แสงของสายฟ้าที่ฟาดลงมาหน้าเรือนหลานฮวาสว่างจ้าจนทุกคนต้องหลับตา ทันใดนั้นร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงกระตุกหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะมีสาวรับใช้นางหนึ่งตาดีมองเห็นความผิดปกติของร่างฟ่างเซียนเซียน
"ผ...ผี ผีคุณหนูสาม!"
สาวรับใช้นางนั้นกรีดร้องเหมือนคนสติแตกก่อนจะสลบไป
ทั้งห้องเกิดความโกลาหลแตกตื่นตามคำบอกเล่านั้น สายตาหลายสิบคู่มองไปบนเตียงไม้ขนาดใหญ่ ก่อนจะกรูเข้าหากันด้วยอารมณ์หลากหลายแต่ออกไปทางหวาดกลัวมากกว่าเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติบนเตียงนั้น
ร่างที่เคยไร้ลมหายใจค่อย ๆ ขยับช้า ๆ เริ่มจากมือที่พาดทับกันอยู่บนหน้าอก
"คุณหนู!"
อาถังรีบปรี่เข้าไปอย่างไม่กลัวว่านั่นจะเป็นผีหรือคน
"ผ...ผี ผีเซียนเซียนแน่ ๆ"
เจินเม่ยเบิกตาโพลงด้วยความตกใจที่เห็นร่างน้องสาวขยับไปมาก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง
"เซียนเอ๋อร์!"
เสวียนสวี่ปรี่เข้าไปประคองร่างบุตรสาวที่ยังโอนเอนเพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาด้วยความดีใจ
"เป็นไปไม่ได้"
เจินซู่รีบเข้าไปหาเจินเม่ยเพื่อหยิกแขนลูกสาวว่านี่ฝันหรือเรื่องจริง ทว่าเสียงร้องเจ็บของเจินเม่ยเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้ามิใช่ความฝัน
"เซียนเซียน?"
ผู้ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาทวนชื่อของตนเองพร้อมคิ้วขมวดเข้าหากันราวเจ็บปวดส่วนใด
"ข้า.. ข้ายังไม่ตาย?"
ริมฝีปากสีซีดคช้ำขยับเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
ใช่ว่านางตกใจคนเดียวเสียที่ไหน คนทั้งห้องตกใจกับการตายแล้วฟื้นของนางยิ่งกว่า
"ใช่ เซียนเอ๋อร์ลูกพ่อยังไม่ตาย"
ชื่อนี้อีกแล้ว เหตุใดคนผู้นี้ถึงมาโอบกอดนางแล้วร่ำไห้พร้อมรอยยิ้มเช่นนี้กัน
ก่อนจะได้ไถ่ถามอันใดออกไป คนที่เพิ่งลืมตาตื่นกวาดสายตามองรอบห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ ใช้ความคิดวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
'ในเมื่อชีวิตนี้ท่านมอบให้ข้า วันนี้ข้าก็จะคืนมันให้ท่านเอง'
ความทรงจำสุดท้ายของนางมิใช่ที่นี่ และนางมิได้ชื่อเซียนเซียนอย่างที่คนผู้นี้และสตรีนางนั้นเรียกขาน ชื่อจริง ๆ ของนางคือ..
"ซูเหยา... ข้าชื่อเฟิงซูเหยา"
ริมฝีปากบางพึมพำออกมาเบา ๆ หากแต่ไม่มีใครได้ยิน มีเพียงสายตาเฉียบคมใคร่รู้ของเจินเม่ยที่เห็นนางขยับปากหากแต่จับใจความไม่ได้
"ตามท่านหมอ รีบตามท่านหมอมาดูอาการคุณหนูสามเร็วเข้า"
เสียงพ่อบ้านกุ้นตะโกนสั่งการอย่างดีใจ
บ่าวสาวในเรือนถึงกับแย่งหน้าที่นี้กันจนวุ่นวายไปหมด
"ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณเซียวเอ๋อร์ที่ส่งลูกกลับมาอยู่กับข้า"
เสียงขอบคุณสวรรค์ของแม่ทัพใหญ่ดังอย่างโล่งอก ไม่ต่างจากอีกคนที่ขอบคุณสววรค์ในใจเช่นกัน
'ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา ท่านคงส่งข้ากลับมาทวงแค้นเอาคืนคนพวกนั้น'
บุรุษที่หักหลังเฟิงซูเหยาผู้นี้อย่างเลือดเย็น!