"แม่ทัพใหญ่ฟ่างบอกเจ้า?"
"ท่านพ่อเป็นคนเช่นนั้นหรือเพคะ" เฟิงซูเหยาย้อนกลับ
ถึงแม้ชาติก่อนนางจะไม่รู้จักแม่ทัพใหญ่ฟ่างเสวียนสวี่เป็นการส่วนตัว แต่กิตติศัพท์เรื่องความจงรักภักดีและเก็บความลับเก่งของเขาเลื่องชื่อ คำถามของอี้เฟยจึงตอบได้เพียงข้อเดียวคือแม่ทัพฟ่างไม่มีทางนำเรื่องในกองทัพหรือเรื่องส่วนตัวเขามาเล่าสู่ผู้อื่นฟังแน่นอน
"เจ้ากำลังจะบอกว่าที่พูดมาคือความสามารถพิเศษที่เจ้าได้มาหลังฟื้นจากความตาย"
ไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาก็ไม่อยากคิดว่ามันไม่สามารถเป็นจริงได้
"ตอนพระองค์สิบห้าพรรษา เคยถูกลอบทำร้ายครั้งหนึ่งด้วยลูกดอกอาบยาพิษ แผลเป็นที่ใต้อกข้างขวาเป็นเครื่องยืนยันว่าหม่อมฉันพูดเรื่องจริง"
อี้เฟยถึงกับตกใจที่เฟิงซูเหยารู้ความลับเรื่องนี้ของเขาได้อย่างถูกต้อง
จะไม่ให้นางรู้ได้เช่นไรในเมื่อมือสังหารเมื่อปีนั้นคือนางเอง
เพราะความหัวอ่อนเชื่อมั่นให้ใจผู้สั่งการทำให้นางยอมพลีชีพเป็นมือสังหารองค์ชายสามผู้ที่เป็นขวากหนามในการเป็นใหญ่บนแผ่นดินถังแห่งนี้
"นอกจากครั้งนั้น ยังมีครั้งล่าสุดเมื่อหนึ่งเดือนก่อน พระองค์กำลังล่าสัตว์อย่างสุนทรีทว่ากลับมีโจรภูเขากลุ่มหนึ่งเข้ามาลอบสังหาร วันนั้นพระองค์รอดมาได้เพราะสตรีลึกลับนางหนึ่ง"
"เจ้าเป็นใครกันแน่"
ครั้งนี้อี้เฟยรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ฟ่างเซียนเซียนตัวจริง วิชาแปลงโฉมมีให้เห็นทั่วยุทธภพ เรื่องนี้คงต้องพิสูจน์ถึงจะรู้แจ้งว่าตัวจริงหรือตัวปลอม
พรึ่บ!
เพียงเสี้ยววินาทีอี้เฟยออกหมัดเพื่อคว้าตัวสตรีตรงหน้ามาพิสูจน์ เฟิงซูเหยารู้ทันนางไม่หลบ ปล่อยให้บุรุษผู้ใคร่สงสัยจับตัวนางได้
อี้เฟยโอบกอดร่างบางนั้นไว้ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างเอื้อมไปลูบไล้ตามกรอบหน้าสวยเพื่อหาเนื้อหนังที่คิดว่าใช้แปลงโฉมทว่ากลับไม่พบความผิดปกติใด
"องค์ชายสามล่วงเกินหม่อมฉันแล้ว"
พึ่บ!
อี้เฟยได้สติจึงปล่อยเฟิงซูเหยาออกจากอ้อมกอด
'นางคือฟ่างเซียนเซียนตัวจริง หรือว่าที่นางบอกว่าได้ความสามารถพิเศษมาจะเป็นเรื่องจริง'
"โอ๊ย! หม่อมฉันเห็นบางอย่างอีกแล้วเพคะ"
อี้เฟยหรี่ตาจ้องจับผิดสตรีใบหน้าสวยที่จ้องตาเขาไม่หลบ
"คำทำนายของราชครูในปีที่พระองค์เกิด"
หากเป็นเรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้เพราะคำทำนายนั้นถูกป่าวประกาศทั่วทุกแคว้นทั่วบ้านทั่วเมือง
"เรื่องนั้นมีอะไร" อี้เฟยหยั่งเชิงถามดู
"เรื่องนั้นมีคนอยู่เบื้องหลังเพคะ"
"เจ้ากล่าวอะไรออกมาไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าหรือไร"
"พระองค์อย่างทรงกริ้ว หม่อมฉันแค่ทำตามสวรรค์สั่งมา"
สวรรค์ที่ชื่อเฟิงซูเหยา...
"หากพระองค์ทรงรักอดีตองค์ฮองเฮา พระองค์ต้องสืบเรื่องนี้คืนความเป็นธรรมให้พระมารดาของพระองค์"
"..."
"และหม่อมฉันยินดีช่วยพระองค์สืบหาความจริงเรื่องนี้"
ทุกคำพูดที่เฟิงซูเหยาเล่าออกมาทำให้อี้เฟยประหลาดใจยิ่งนัก ทว่าเพราะมีความเกี่ยวพันธ์กับมารดาที่จากไปทำให้เขาเริ่มไขว้เขวในคำสอนของมารดา
"เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าหากเรื่องที่พูดมาไร้หลักฐาน ข้าสามารถฆ่าล้างตระกูลฟ่างของเจ้าได้"
"หม่อมฉันพูดเรื่องจริง ขึ้นอยู่ที่พระองค์จะกล้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเองและอดีตฮองเฮาหรือไม่"
ดวงตารัตติกาลจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตาสีเหล็กกล้าของบุรุษตรงหน้า อี้เฟยราวถูกมนต์สะกด เขาอยากรู้ว่าสิ่งที่สตรีผู้นี้พูดมีความจริงมากน้อยเท่าใด
"เจ้าจะช่วยข้าได้อย่างไร"
นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งจะมีกำลังอันใดมาช่วยเขาสืบหาความจริง
"ขอเพียงเชื่อใจหม่อมฉันและให้หม่อมฉันอยู่เคียงข้างพระองค์"
น้ำเสียงของเฟิงซูเหยาทั้งหนักแน่นรวมทั้งแววตามุ่งมั่นดุดันจนบุรุษอย่างเขายอมแพ้
"อยู่เคียงข้างข้า?"
"เพคะ พระองค์กับหม่อมฉันจะต้องจัดงานแต่งกันหลอก ๆ หลังจบเรื่องนี้ทางใครทางมัน"
"รู้หรือไม่เจ้าพูดสิ่งใดอยู่"
"หม่อมฉันรู้ดีเพคะ การเป็นหญิงหม้ายหลังหย่าร้างจะถูกขับออกจากตระกูล"
นี่คือกฎหมายของเมืองถังเหลียน เพื่อให้ครอบครัวปองดองรักใคร่ หากคู่ใดแต่งงานแล้วหย่าร้างในเวลาต่อมา ฝ่ายหญิงจะถูกขับออกจากตระกูลเพราะขาดคุณสมบัติการเป็นภรรยาอย่างไม่มีข้อแม้
"เจ้ากล้าเอาศักดิ์ศรีของสตรีมาเดิมพัน งั้นข้าเองก็จะเชื่อผู้ที่สวรรค์ส่งกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเช่นเจ้าดู"
เฟิงซูเหยายิ้มในใจ
สมแล้วที่เป็นองค์ชายสามผู้ฉลาดหลักแหลม แผนการแก้แค้นของนางขยับขึ้นมาแล้วหนึ่งขั้น ความตื่นเต้นที่จะได้เอาคืนคนที่หลอกลวงนางทำให้เฟิงซูเหยาแทบจะรอดูวันหายนะของเขาไม่ไหวแล้ว
"เรื่องหมั้นหมาย หวังว่าพระองค์จะกระทำเร็วไวนะเพคะ"
เพราะนางไม่รู้ว่าจะทนรอแก้แค้นตามแผนการได้นานแค่ไหนเช่นกัน
"สุรารสเลิศมาแล้ว"
เสียงไป๋เจิ้นหยางดังแทรกขึ้น ด้านหลังเขามีอาถังและต้าลู่ตามมาพร้อมของกินเต็มไม้เต็มมือ
"มาได้เวลาพอดี ข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งแก่พวกเจ้า"
ทั้งสามคนที่มาใหม่ถึงกับมองหน้ากัน ส่วนเฟิงซูเหยาทำตัวเก้อเขินหลบสายตาของคนอื่น ๆ ที่มองนางสลับกับองค์ชายอี้เฟย
"อย่าบอกนะว่าพวกข้าหายไปไม่กี่เพลาพวกท่านก็ปลูกต้นรักกันแล้ว"
ไป๋เจิ้นหยางพูดแหย่เล่นตามประสาคนช่างจ้อ ทว่าสิ่งที่อี้เฟยตอบกลับมาทำเอาทั้งสามคนที่มาใหม่ถึงกับตกตะลึง
"ข้ากับแม่นางฟ่างจะหมั้นหมายกัน"
เฟิงซูเหยาตกใจเล็กน้อยที่องค์ชายสามผู้นี้ตัดสินใจเร็วขนาดนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นผลดีสำหรับนางอยู่
"คุณชายล้อพวกเราเล่นหรือขอรับ" ต้าลู่ถามอย่างไม่อยากเชื่อหู
"เรื่องนี้ใครเขาเอามาพูดเล่นกัน"
หมับ!
มือหนาเอื้อมไปดึงเฟิงซูเหยาเข้ามาสวมกอดต่อหน้าสายตาทั้งสามคู่
"ข้ากับฟ่างเซียนเซียนจะหมั้นหมายกันเร็ว ๆ นี้ ฝากพวกเจ้าเตรียมตัวจัดงานรื่นเริงด้วย"
คงมีเพียงอาถังผู้เดียวที่ยิ้มเขินแสดงความยินดีกับคุณหนูนาง เพราะเจิ้นหยางกับต้าลู่เอาแต่มองอี้เฟยอย่างจับผิด
สนิทกันจนมองตาก็รู้ความคิดอีกฝ่ายจะให้เชื่อได้อย่างไรว่างานแต่งในครั้งนี้เกิดจากความรักของบุรุษเย็นชาเช่นเขาได้
"อาถังยินดีกับคุณหนูด้วยนะเจ้าคะ"
น้ำตาแห่งความดีใจอันใสซื่อของสาวรับใช้พรั่งพรูออกมา
หลังจากนี้อาถังคงนอนตายตาหลับแล้ว มีองค์ชายสามปกป้องคุณหนูนาง สองแม่ลูกนั้นก็ทำอันใดฟ่างเซียนเซียนของนางไม่ได้อีก
"เจ้าพาเซียนเซียนกลับที่พักก่อนเถอะ ตอนนี้ลมเริ่มแรงแล้ว"
อี้เฟยเปลี่ยนเรียกชื่อเฟิงซูเหยาให้ดูสนิทสนมขึ้น
"เพคะ คุณหนูกลับที่พักก่อนเถอะเจ้าค่ะ"
"เซียนเอ๋อร์ทูลลา"
สตรีทั้งสองนางเดินออกจากกระโจมนี้แล้ว เหลือเพียงบุรุษสามคนที่ยังคงอยู่ที่เดิม
"เจ้ากับแม่นางฟ่างกำลังวางแผนทำเรื่องอะไรกันแน่" ไป๋เจิ้นหยางเอ่ยถามศิษย์น้องเสียงเรียบ
เขารู้จักนิสัยคนผู้นี้ดี กี่ปีแล้วที่ฟ่างเซียนเซียนแสดงออกว่ามีใจให้แต่อี้เฟยก็ไม่เคยสนใจ แค่ปล่อยให้อยู่กันลำพังเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปทั้งสองก็ปลงใจจะหมั้นหมายกันเสียแล้ว
หากเป็นบุรุษเจ้าสำราญเช่นเขาก็ว่าไปอย่างจะไร้ข้อสงสัยในเรื่องนี้ทันที
"เก็บความสงสัยเจ้าไว้ศิษย์พี่ ข้ายังมีงานให้พวกเจ้าทำ"
ใช่ว่าอี้เฟยจะไร้ข้อสงสัยในตัวฟ่างเซียนเซียนผู้นั้น เขายังคงมีแผนการในใจเช่นกัน
"คุณชาย"
ต้าลู่เกือบลืมเหตุผลที่ตนมาพร้อมกับไป๋เจิ้นหยางเสียแล้ว
"อะไร"
"จดหมายจากตำหนักองค์ชายห้าขอรับ"
ต้าลู่ยื่นจดหมายที่ถูกประทับตราส่วนตัวขององค์ชายห้าอี้ซินให้เจ้านายเขา
"จดหมายว่าอย่างไรบ้าง"
ไป๋เจิ้นหยางเห็นคิ้วที่ผูกปมของสหายรักหลังจากอ่านจดหมายนั้นจบจึงเอ่ยถาม
"องค์ชายอี้ซินจะมาที่ค่ายทหารในอีกสองวัน"
เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ องค์ชายห้าผู้ที่สงบนิ่ง ชอบเรียนอักษรขับขานกาพย์กลอนจะมาที่ทุรกันดารเช่นนี้ด้วยเหตุอันใด
"ยี่สิบปีไม่เคยย่างกรายมาพบปะ เหตุใดครั้งนี้ถึงได้อยากมา" สิ่งที่ไป๋เจิ้นหยางพูดทำให้อี้เฟยยิ่งคิดหนัก
เหตุใดตอนนี้เขารู้สึกว่าความสงบรอบตัวเขากำลังลดลง มีแต่ความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นแทน