วันต่อมา...
กระโจมสี่เสาขนาดพอจุคนได้สามสี่คนถูกตั้งไว้เกือบติดชายป่า เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเขตค่ายทหารแห่งนี้ เพราะเดินไปไม่กี่สิบก้าวก็เป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่ไม่ใหญ่มาก น้ำไม่เชี่ยวแต่ก็ลึกเกินจะเดินข้ามด้วยเท้าเปล่า
มองเลยไปไกลจะเป็นทุ่งหญ้าเรียบเตียนมองเห็นเชิงเขาได้ชัดถนัดตา เสียงนกนานาชนิดต่างร้องขับขานให้คนมานั่งพักเคลิ้มหลับได้เป็นอย่างดี
"อาถังข้าอยากได้สุรารสเลิศสักไห"
"คุณหนูจะเอามาทำอะไรเจ้าคะ"
"อีกประเดี๋ยวจะมีแขกมาเยือน เจ้าไปเตรียมมาไว้ให้ข้าเถิด"
อาถังอยากเอ่ยถามต่อทว่าเฟิงซูเหยากลับมัวแต่สนใจงานไม้แกะสลักตรงหน้าทำเอาสาวรับใช้ไม่กล้ากวนใจ
"เจ้าค่ะ อาถังจะรีบไปรีบกลับ"
"เอากับแกล้มติดมาด้วยสักสองสามอย่างละ"
อาถังคิ้วขมวดอีกครั้งแต่ก็น้อมรับคำสั่ง เดินออกมาจากกระโจมตรงนั้นทันที
"คุณหนูฟื้นมาครั้งนี้แปลกพิกล แกะสลักไม้ได้ด้วย"
"เจ้าพึมพำอันใดสาวน้อย"
"คุณชายไป๋"
อาถังตกใจแทบหัวใจไปอยู่ตาตุ่มเมื่อจู่ ๆ ไป๋เจิ้นหยางก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดลงมาจากต้นไม้ที่นางกำลังเดินผ่าน
"ข้าทำเจ้าตกใจรึ"
"เปล่าเจ้าค่ะ"
"เมื่อกี้เจ้าบอกว่าใครแปลกไปนะ"
นอกจากจะชอบใส่ใจรอบข้างแล้ว ไป๋เจิ้นหยางผู้นี้ยังหูดียิ่งกว่าผู้ใด อาถังบ่นกับตัวเองแต่เขาที่อยู่สูงกว่ากลับได้ยินชัดทุกคำ
"อาถังไม่ได้นินทาคุณหนูนะเจ้าคะ"
"ใจเย็น ๆ ข้าไม่จับเจ้าให้แม่ทัพใหญ่หรอก แต่ถ้ามีอะไรเด็ด ๆ มาเล่าให้ข้าฟังได้นะ ข้าเก็บความลับเก่ง"
อาถังอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ นางไม่กล้าเอ่ยปากออกไปว่าการกลับมาครั้งนี้ของคุณหนูแปลกไปราวคนละคน ทั้งขี่ม้าเป็น กล้าตีฝีปากกับฮูหยินรอง แถมยังพูดจาฉะฉาน เล่นมีด แกะสลักไม้ ทุกอย่างที่ฟ่างเซียนเซียนก่อนตายแล้วฟื้นไม่เคยทำ บัดนี้กลับทำได้หมดชนิดที่เรียกว่าชำนาญเลยด้วยซ้ำ
"เจ้าขู่เข็ญอะไรสาวใช้จวนฟ่างอีกล่ะ"
"องค์ชายสาม"
"ตามสบาย"
อี้เฟยเดินมาเจอสองคนนี้กำลังพูดคุยกันพอดี เห็นสีหน้าอาถังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงช่วยให้สถานการณ์เบาลง
"เจ้านี่นะชอบมาตอนที่ข้ากำลังเกี้ยวสตรีทุกที"
"แต่ที่ข้าเห็นเจ้ากำลังข่มขู่นางหลอกถามความลับมากกว่า"
ไป๋เจิ้นหยางจิ๊ปากเมื่อถูกจับได้
"เจ้าอยู่นี่ แล้วคุณหนูเจ้าล่ะ"
"แย่แล้ว หม่อมฉันลืมไปเลยว่าคุณหนูสั่งให้เตรียมสุรากับอาหารไว้ บอกเดี๋ยวจะมีแขกมาเยือนเพคะ"
"แขกมาเยือน? วันนี้มีใครจะเดินทางมาที่ค่ายทหารนี้หรือ"
ไป๋เจิ้นหยางหันมองหน้าอี้เฟย
"ข้าไม่รู้"
"ถ้าขนาดองค์ชายอี้เฟยไม่ทรงทราบ เกรงว่าทั้งค่ายคงไม่มีผู้ใดรู้แล้ว"
ไป๋เจิ้นหยางประชดสหายสนิท
"ข้าควรเป็นคนพูดประโยคนั้นแก่เจ้า"
เจิ้นหยางถึงกับเถียงต่อไม่ออก
"หูตาสับปะรดมากด้วยเล่ห์เช่นเจ้าไม่รู้ ผู้ใดจะรู้อีก"
"ขอบคุณศิษย์น้องที่ชม"
อี้เฟยถึงกับส่ายหน้าให้กับคนหน้าหนาอย่างเจิ้นหยางที่มิรู้ร้อนรู้หนาวแม้จะเหน็บแหนมต่อหน้าต่อหน้าก็ไม่สะเทือน
"คุณหนูเจ้าอยู่ที่ใด"
อี้เฟยเลิกสนใจเพื่อนจอมกะล่อน หันมาถามอาถังถึงเฟิงซูเหยา
"คุณหนูตั้งกะโจมอยู่ด้านนั้นเจ้าค่ะ"
"อืม"
อี้เฟยเตรียมเดินไปยังทิศทางที่อาถังบอก ทว่าเห็นทางหางตาว่ามีอีกคนจะตามมา
"สุราที่นี่มีแต่ไหใหญ่เกรงว่าเจ้าคงยกมาลำบาก ถ้าเช่นนั้นให้องค์ชายไป๋ไปช่วยเจ้าอีกแรงดีกว่า"
"หม่อมฉันมิกล้าใช้แรงงานคุณชายไป๋เพคะ"
"ใช้แรงงานที่ใดกัน ศิษย์พี่ข้าน้ำใจงาม งานแค่นี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงสักนิด จริงหรือไม่ศิษย์พี่"
พูดขนาดนี้ใครจะปฏิเสธได้
อี้เฟยนะอี้เฟย ฉลาดแสนรู้เกินไปแล้ว คงเห็นว่าเมื่อสักครู่เจิ้นหยางจะตามไปด้วยจึงได้หาเรื่องกีดกันเขาออกห่าง
แต่ก็ช่างเถอะ ปล่อยให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันลำพังดีแล้วเผื่อต้นรักในใจของศิษย์น้องผู้นี้จะตื่นขึ้นมาบ้าง
"เดี๋ยวข้านำทางเอง"
ไป๋เจิ้นหยางด่าทอทางสายตาแก่สหายสนิท หากอี้เฟยอ่านสายตานี้ออกคงพบคำว่า 'ฝากไว้ก่อน' เป็นแน่
"ขอบพระทัยคุณชายไป๋"
อี้เฟยปล่อยให้พวกเจิ้นหยางกับสาวใช้เดินห่างออกไปก่อน สายตาคู่คมจึงมองไปยังอีกฝั่ง เห็นกระโจมที่ว่าอยู่ไม่ไกลเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปจุดหมายเพื่อถามไถ่สิ่งที่อยากรู้มาตลอดทั้งคืน
"คุณหนูสามฟ่าง"
ทันทีที่เดินมาถึงกระโจมที่ว่า องค์ชายอี้เฟยจึงทักทายสตรีที่นั่งเพียงลำพังและวุ่นวายอยู่กับมีดและท่อนไม้ตรงหน้า
"องค์ชายสาม ท่านมาแล้ว"
อี้เฟยแปลกใจเล็กน้อยที่สตรีนางนี้ทักตนเหมือนกำลังรอเขาอยู่ หรือว่าสุราที่สาวใช้ผู้นั้นไปนำมาให้จะเป็นของเขากัน
"ฝีมือเจ้า?"
มือหยาบกร้านหยิบหุ่นไม้สลักคล้ายตัวบุรุษขึ้นมาเชยชม
"หม่อมฉันฝีมือยังไม่เอาไหน ทำไว้แก้เหงาเวลาใช้ความคิดเพคะ"
"งานปรานีตมาก ข้าเป็นชายชาตรียังทำเรียบร้อยไม่ได้ครึ่งของเจ้า"
"เหมือนหม่อมฉันกำลังถูกจับผิดเลยนะเพคะ"
"เหตุใดข้าต้องจับผิดเจ้า"
นั่นสิ นางผู้นี้มีอะไรซ่อนอยู่ถึงได้กล่าวเหมือนกลัวว่าเขาจะจับพิรุธนาง
"พระองค์ช่างไม่มีอารมณ์ขันดั่งเช่นเขาลือกันเลยนะเพคะ"
เฟิงซูเหยาวางมีดที่กำลังแกะสลักไม้ลง หันไปรินน้ำชาใส่ถ้วยใบใหม่ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อนำถ้วยน้ำชานั้นไปถวายแก่องค์ชายอี้เฟยอย่างนอบน้อม
"ชาอุ่น ๆ เผื่ออารมณ์จะดีขึ้นเพคะ"
มองระหว่างคิ้วครตรงหน้านางก็ดูออกว่าวันนี้อี้เฟยมีเรื่องให้กลัดกลุ้มใจอยู่
"วันนี้ท้องฟ้าโล่ง ไร้เมฆฝน เหมาะแก่การขี่ม้าท่องทุ่งหญ้านะเพคะ"
"ไม่ยักรู้ว่าคุณหนูสามจะชอบการขี่ม้าด้วย ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือเสียอีกที่วันนั้นคุณหนูสามควบม้าหนีพวกโจรนั่น"
เฟิงซูเหยาหัวเราะออกมาแต่พองามราวกับเรื่องที่อี้เฟยกล่าวเป็นเรื่องตลก
"พระองค์เคยได้ยินประโยคนี้ไหมเพคะ เวลาคนเรากลัวมาก ๆ มักจะทำอะไรแบบไม่รู้ตัวตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด"
ช่างเป็นการแก้ไขสถานการณ์ที่ไร้ที่ติ
"เช่นนั้นไม้แกะสลักพวกนั้น คุณหนูสามก็ทำได้เพราะสัญชาตญาณหรือ"
ถึงแม้จะเคยบอกว่าเคยพบพานนางไม่กี่ครั้ง ไม่เคยพูดคุยกันจริง ๆ จัง ๆ แต่อี้เฟยก็มองออกว่าฟ่างเซียนเซียนตรงหน้าเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวคนละคนที่เคยเขินอายเขาทุกครั้งที่พบเจอ
"ของเช่นนั้นหากจะฝึกก็ฝึกได้มิใช่เรื่องยาก"
เฟิงซูเหยายังคงตอบคำถามได้อย่างไร้ข้อกังขาใดให้องค์ชายอี้เฟยจับผิดได้
"เช่นเดียวกับจี้หยกนี่"
อี้เฟยไม่อยากรอช้า ความอยากรู้ทำให้เขาป้อนคำถามเฟิงซูเหยาเสียงเรียบ
"จี้หยกนี้มีอะไรเหรอเพคะ หรือว่าพระองค์ไม่ชอบ"
เฟิงซูเหยายังคงเล่นลิ้น ทำเสียงทีเล่นทีจริงมองจี้หยกห้อยเอวที่นางเป็นคนมอบให้เขาเมื่อคืน
"ข้าเพียงสงสัยคำที่สลักอยู่บนจี้หยกนี้"
"หรือว่าพระองค์ทรงอ่านไม่ออก"
อี้เฟยกำลังจะเอ่ยปากโต้แย้ง ทว่าเสียงหัวเราะเบา ๆ กลับดังขึ้นเสียก่อน
"หม่อมฉันล้อเล่นเพคะ แค่อยากเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าพระองค์บ้าง แต่หากล่วงเกินไป เซียนเซียนขอประทานอภัยเพคะ"
ร่างบางย่อเล็กน้อยสำทับคำพูด
"เจ้าหมายถึงแผนร้ายจากผู้ใดกัน แล้วเหตุใดจึงมอบจี้นี้ให้ข้า"
องค์ชายอี้เฟยคร้านจะเหย้าแย่เล่นกับสตรีตรงหน้า เมื่อคืนเขานอนครุ่นคิดทั้งคืนแล้วยังคิดไม่ออก ตอนนี้จึงไม่อยากให้เสียเวลามากไปกว่านี้เพื่อถามความจริงจากปากสตรีตรงหน้า
"พระองค์เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่หรือไม่เพคะ"
เฟิงซูเหยาเกริ่นเสียงเศร้าเล็กน้อย
แม้อยากจะเก็บเรื่องปาฎิหาริย์นี้ไว้กับตนคนเดียวแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ นางต้องการตัวช่วยในการแก้แค้นในครั้งนี้ และคนที่จะเป็นบันไดสู่การแก้แค้นที่ดีที่สุดของนางคือบุรุษผู้องอาจตรงหน้า ผู้ที่มีศัตรูคนเดียวกันกับนาง
"หมายถึงเจ้า?"
อี้เฟยเป็นคนฉลาดเขาฟังคำถามนางก็รู้แล้วว่าอีกคนต้องการจะสื่ออะไร เพียงแค่เขาไม่ใช่คนใจร้อนผลีผลามเช่นไป๋เจิ้นหยาง
"เพคะ เช่นหม่อมฉัน และการตายแล้วฟื้นในครั้งนี้ทำให้หม่อมฉันได้ความสามารถพิเศษมา"
ความสามารถพิเศษงั้นรึ พูดแล้วช่างน่าขำ นางก็แค่แต่งนิทานเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตนเท่านั้น
"ความสามารถพิเศษ?"
"เพคะ หม่อมฉันสามารถมองเห็นถึงอดีตของผู้คน รวมถึงอนาคต"
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองพูดอะไรออกมา"
อี้เฟยพยายามนิ่งสงบเพื่อจับพิรุธอีกคน แต่ดูเหมือนแม่นางฟ่างผู้นี้ไม่มีอะไรให้เขาจับผิดได้สักอย่าง
"ตั้งแต่พระองค์ถูกขับออกจากวัง นอกจากองค์ฮ่องเต้ไม่เหลียวแล พี่น้องร่วมสายเลือดยังเมินเฉย แต่กลับถูกปองร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าจากผู้ใดและเพราะอะไรเพคะ"
"..." คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
เรื่องที่เขาถูกปองร้ายมีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่รู้ เหตุใดแม่นางฟ่างผู้นี้ถึงได้กล่าวออกมาราวรู้เห็น