คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงเหมาะกับงานเฉลิมฉลองวันประสูติขององค์ชายสามอี้เฟยยิ่งนัก
"บุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ช่างมีวาสนา สวรรค์เมตตาคุ้มครองเสียจริง กลับมาจากความตายไม่พอ ยังรอดพ้นเงื้อมมือกลุ่มโจรนั่นได้อีก"
ไป๋เจิ้นหยาง องค์ชายแห่งแคว้นไป๋พ่วงตำแหน่งศิษย์ร่วมสำนักที่กลายมาเป็นสหายสนิทกับองค์ชายอี้เฟยกล่าวชื่นชมความโชคดีของคุณหนูสามตระกูลฟ่างหลังจากที่นางฝ่าความตายหนีจากโจรพวกนั้นมาถึงค่ายทหารได้อย่างปลอดภัย
"นับว่าสวรรค์เมตตากระหม่อมมาก เซียนเอ๋อร์คือแก้วตาดวงใจของกระหม่อม หากสิ้นนางไป กระหม่อมคงไม่มีกำลังใจจะอยู่ต่อ"
นึกย้อนไปแล้วแม่ทัพใหญ่ฟ่างก็ใจหายใจคว่ำ บุตรสาวออกจากจวนเดินทางมาหาตนที่นี่หากแต่ไม่มีผู้ใดรายงาน ดฝโชคดีแค่ไหนที่ครั้ฃนี้โจรพวกนั้นไม่คร่าชีวิตนางไปอย่างไม่หวนกลับ
ส่วนเรื่องที่ทั้งค่ายต่างรู้ดีคือเขานั้นรักใคร่บุตรสาวคนสุดท้องมากกว่าคนอื่น ต่อให้ถูกนินทาว่ารักลูกไม่เท่ากันเสวียนสวี่ก็มิเคยสนใจ เพราะรู้แก่ใจตนดีว่าสิ่งที่ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องจริง
แต่ถึงแม้จะบอกว่าเขารักฟ่างเซียนเซียนมากกว่าผู้ใด เสวียนสวี่ก็มิเคยทอดทิ้งเจินเม่ยบุตรสาวคนรองให้ลำบากสักครั้ง แถมยังตามใจนางจนเสียผู้เสียคนถึงขั้นทำให้ข้ารับใช้ในจวนเอือมระอากับความเอาแต่ใจของนาง
"กำลังนินทาอะไรหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ"
เฟิงซูเหยาเดินเข้ามาร่วมงานเฉลิมฉลองด้วยชุดสีแดงโดดเด่นหากแต่แต่งแบบทะมัดทะแมงเล็กน้อยเพื่อให้เคลื่อนไหวสะดวก ด้านหลังมีอาถังเดินตามมาติด ๆ
"นั่นองค์ชายไป๋เจิ้นหยาง" เสวียนสวี่แนะนำบุคคลแปลกหน้าให้กับบุตรสาว
ทว่ากับเฟิงซูเหยาแล้วนางรู้จักคนผู้นี้ระดับหนึ่งเพราะเคยเป็นสายลับคอยสืบเรื่องส่วนตัวให้กับบุรุษผู้นั้น
"องค์ชายไป๋"
เฟิงซูเหยาย่อตัวเล็กน้อยเคารพองค์ชายจากแคว้นอื่นด้วยกริยาท่าทางเรียบร้อย เรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นจากใบหน้าของบุรุษเจ้าสำราญตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
"องค์ชายสามยังไม่เสด็จหรือเจ้าคะ"
ซูเหยาหันไปถามเสวียนสวี่หลังจากนั่งเรียบร้อยแล้วทว่าไม่เห็นเจ้าของงานเลี้ยงฉลองนี้จึงถามขึ้น
"ศิษย์น้องเฟยคงกำลังมา"
ไป๋เจิ้นหยางตอบคำถามนั้นแทนเพราะเขารู้ดีว่าอีกคนเหตุใดถึงมาช้า เฟิงซูเหยาจึงค้อมศีรษะให้เล็กน้อยเป็นการกล่าวขอบคุณ
สถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูตินี้จัดขึ้นที่ค่ายทหารหลวงของ 'ค่ายเหลียนจิ้น' เป็นค่ายทหารขนาดใหญ่รักษาเขตชายแดนเมืองถังเหลียน มีทหารที่พักอยู่ในค่ายแห่งนี้หกร้อยนาย แต่มีทหารในปกครองห้าแสนนายโดยแบ่งเป็นทหารของกองทัพแม่ทัพใหญ่ฟ่างสี่แสนห้าหมื่นนาย ทหารใต้บังคับบัญชาขององค์ชายอี้เฟยห้าหมื่นนาย
สาเหตุที่ทหารในปกครองขององค์ชายอี้เฟยมีน้อยเพราะว่าฮ่องเต้ยังคงหวาดระแวงต่อคำทำนายนั้นอยู่จนถึงทุกวันนี้
"นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี สงสัยจะรู้ว่ามีคนรออยู่"
ไป๋เจิ้นหยางเย้าแหย่เฟิงซูเหยาเพราะมองว่านางคือฟ่างเซียนเซียนที่หลงรักอี้เฟย
"รอนานเลย"
บุรุษสูงแปดฉื่อ ทรงเครื่องด้วยฉลองพระองค์สีดำขลับปักลวดลายสีทองตัดให้โดดเด่นดูภูมิฐาน ร่างกำยำทะมัดทะแมงเดินไขว่หลังด้วยมือซ้ายตรงปรี่เข้าไปนั่งที่ประทับตนอย่างสง่าผ่าเผย
ขวามือมีองครักษ์ฝีมือดีสนิทสนมดั่งสหายวัยเยาว์นามว่าต้าลู่นั่งเคียงข้าง
"พวกข้ารอนานได้ แต่ในนี้คงมีผู้หนึ่งที่ร้อนใจอยากพบหน้าเจ้า"
หยอกล้ออี้เฟยเสร็จส่งยิ้มแกล้งมองหน้าเฟิงซูเหยา หากเวลานี้เป็นฟ่างเซียนเซียนตัวจริงนางคงเขินอายจนวิ่งออกจากกระโจมหลังใหญ่นี้ไปแล้ว หากเพราะคนที่นั่งอยู่คือเฟิงซูเหยาที่มิได้รู้สึกอันใดต่อองค์ชายอี้เฟยจึงทำเพียงวางกริยานิ่งเรียบยกยิ้มตอบกลับบาง ๆ
"ขอบคุณทุกท่านที่จัดงานฉลองวันเกิดปีนี้ให้ข้า เชิญทุกท่านดื่มกินให้เต็มอิ่ม"
"ขอองค์ชายสามอายุมั่นขวัญยืน"
เสียงกล่าวอวยพรวันคล้ายวันประสูติให้องค์ชายอี้เฟยดังขึ้นอย่างพร้อมเพียง จอกเหล้าหลายร้อยจอกยกขึ้นดื่มฉลองอย่างพร้อมเพียง ก่อนจะแยกย้ายกันนั่งตามจุดต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ
"ในวังไม่คิดจะส่งอะไรมาให้เจ้าเลยจริง ๆ"
บุรุษปากไวอย่างไป๋เจิ้นหยางเอ่ยอย่างลืมนึกถึงความรู้สึกคนที่ถูกเนรเทศออกจากวังตั้งแต่ลืมตาเกิด
"ข้าชินแล้ว เจ้ายังไม่ชินอีกรึ"
บิดาผู้หลงเชื่อคำทำนายจากราชครูซ่งที่บอกกล่าวว่าบุตรที่คลอดในคืนพระจันทร์สีเลือดเช่นเขาหากให้เติบใหญ่ในวังหลวงจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของบัลลังก์และบ้านเมืองจะเกิดความโกลาหล เกิดสงครามขึ้นทุกดินแดนที่เขาย่างก้าว ทำให้ฮ่องเต้ถังองค์ปัจจุบันเนรเทศสองแม่ลูกนี้ออกจากวังอย่างเลือดเย็น
อี้เฟยได้เจ้าสำนักหุบเขาเขียวขจีช่วยรับเลี้ยงดูสอนบุ๋นและบู๊ จนเมื่ออายุสิบขวบสูญเสียมารดาอันเป็นที่รักไป
ในตอนนั้นฮ่องเต้ถังคงรู้สึกผิดอยู่บ้างจึงให้เขาเข้ากองทัพโดยเริ่มไต่เต้ายศขั้นเฉกเช่นสามัญชน และในที่สุดอี้เฟยก็กลายเป็นแม่ทัพมีกำลังพลในกองทัพของตน
ทุกคืนวันที่อี้เฟยเติบใหญ่ มารดาอย่างอดีตฮองเฮาเกาเสิ่นอวี้อบรมสั่งสอนเขามิให้เกลียดหรือโกรธแค้นบิดาอย่างฮ่องเต้ ทำให้อี้เฟยจดจำคำสั่งสอนนั้นของมารดามาจนถึงทุกวันนี้
หลังจากเสียมารดาอี้เฟยเลยเปลี่ยนจากแซ่ถังของบิดาเป็นแซ่เกาตามมารดาเป็น 'เกาอี้เฟย' เพื่อเตือนสติเขาอยู่ตลอดเวลาว่าเติบใหญ่มาเพราะมารดาและคนรอบข้างนอกวังหลวง
"ข้าขอโทษ วันนี้วันดีของเจ้า ข้าควรพูดแต่สิ่งดี ๆ"
หากผู้อื่นฟังคงเหมือนเป็นการแก้ตัว แต่อี้เฟยรู้ดีว่าสหายท่านนี้สำนึกผิดแล้ว
"ไยทำเสียงอ่อนราวสตรีเช่นนั้น ข้ามิได้โกรธเคืองเจ้า แต่จะให้ดีข้าว่าเจ้าควรกินให้มาก ปากจะได้มิว่าง"
อี้เฟยย้อนคืนสหายสนิทจนถูกเบ้ปากใส่
อี้เฟยและเจิ้นหยางอายุห่างกันเพียงแค่ลำดับเดือน โดยที่อี้เฟยเกิดก่อนสี่เดือน ทว่าเขาเข้าสำนักช้ากว่าไป๋เจิ้นหยางจึงกลายเป็นศิษย์น้องตามลำดับ
ถึงจะบอกว่าองค์ชายสามผู้นี้อายุยี่สิบแล้วหากเทียบกับคนทั่วไปคงมีลูกมีครอบครัวสุขสันต์พร้อมหน้าพร้อมตากันหมด ทว่ากับอี้เฟยเกิดและเติบโตที่ชายแดนติดป่าติดเขา วัน ๆ จับดาบฝึกแต่วรยุทธ์จึงไม่มีใจหมายปองสตรีนางใด
แม้ฟ่างเซียนเซียนจะแสดงออกชัดเจนว่านางแอบมีใจ คอยส่งเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้างานปักฝีมือมาถวายก็มิเคยทลายกำแพงในใจอี้เฟยได้สักครั้ง
"คุณหนูเจ้าคะ"
อาถังยื่นกล่องไม้ที่ด้านในบรรจุของบางอย่างไว้ให้นาง
เฟิงซูเหยามองหน้าสาวใช้พร้อมกระซิบถาม "ตอนนี้เลย"
คนเยอะแยะขนาดนี้จะให้นางมอบของขวัญให้เขาช่างน่าอายเสียจริง เกิดมาสิบเก้าปี นางไม่เคยมอบของขวัญเช่นนี้ให้ผู้ใดยกเว้น... บุรุษผู้นั้น
"มา ๆ ใครมีของขวัญมาแสดงความยินดีกับวันดีเช่นนี้รีบส่งมอบให้องค์ชายสามพวกเรากัน"
เจิ้นหยางเห็นทางหางตาว่าสาวใช้กับคุณหนูสามซุบซิบกันอยู่จึงเดาได้ว่าต้องการทำสิ่งใดเขาจึงเบิกทางให้
"คุณหนูเจ้าค่ะ คุณหนูเซียนเซียนมีของจะมอบให้องค์ชายสาม" อาถังรีบรายงานแทนคุณหนูนางอีกเสียง ทำเอาเฟิงซูเหยาทำได้เพียงถอนหายใจเบา ๆ ลุกขึ้นนำกล่องไม้นั้นไปถวายแด่องค์ชายอี้เฟยต่อหน้าคนมากมายที่จดจ้องพวกเขา
"นี่เพคะ ขอให้องค์ชายสามพระวรกายแข็งแรง"
มือเรียวบางยื่นกล่องไม้ที่ด้านในบรรจุของบางอย่างเอาไว้ ให้กับองค์ชายอี้เฟย เขายื่นมือรับน้ำใจนี้พลางเผลอสบตาสีรัตติกาลคู่นี้ของซูเหยา
ถึงจะเคยเจอกันครั้งสองครั้งตอนที่ไปเยือนจวนฟ่างทว่าเขาก็สังเกตเห็นนางในสายตาทุกครั้ง แทบจะเรียกว่าจดจำได้ถึงกริยาอ่อนหวานกับใบหน้าสวยที่มีแต่ความทุกข์ในแววตา ความรู้สึกของพวกเขาที่เก็บกดไว้ข้างในมันคล้ายคลึงกัน
แต่บัดนี้ คนตรงหน้าคือฟ่างเซียนเซียนผู้นั้นแน่นอน เหตุใดสายตานางกลับเปลี่ยนไปราวคนละคน ไร้ความขลาด มีแต่แววตาเรียบนิ่งเหมือนซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ มองแล้วทำให้เขารู้สึกอยากค้นหาสิ่งที่นางผู้นี้ซ่อนไว้ในนั้นจนมิอาจละสายตาจากนางได้
ไป๋เจิ้นหยางสังเกตเห็นสหายเอาแต่มองแม่นางฟ่างนานสองนานเลยส่งเสียงเรียกสติ
"มีใครอยากรู้หรือไม่ว่าในกล่องไม้นั้นมีสิ่งใดอยู่"
ไป๋เจิ้นหยางหนุ่มเจ้าสำราญช่างยุรีบพูดเรียกพรรคพวก
อี้เฟยเพิ่งรู้ตัวว่าจ้องสตรีตรงหน้านานเกินไปจึงเอ่ยถาม
"ข้าเปิดได้?"
"ของสิ่งนี้เป็นของท่านแล้ว เชิญเพคะ"
กล่าวจบย่อตัวเล็กน้อยเพื่อลากลับมานั่งที่เดิม
อี้เฟยค่อย ๆ เลื่อนกล่องไม้นั้นออกข้า ๆ เพื่อดูว่าปีนี้เป็นถุงหอมลายอันใดอีก ทว่าสิ่งที่เห็นทำให้เขาตกใจระคนแปลกใจเล็กน้อยที่ปีนี้ของขวัญเขาแปลกเกินคาดเดากว่าทุกปีมาก
"จดหมายสารภาพความในใจหรือไร เหตุใดศิษย์น้องข้าถึงได้ดูตะลึงขนาดนั้น"
สิ่งที่เจิ้นหยางเย้าแหย่สหายสนิทเรียกความฮือฮาของคนในงานเป็นอย่างมาก รวมถึงแม่ทัพใหญ่ฟ่างที่มองหน้าบุตรสาวคล้ายไม่เชื่อว่านางจะทำเช่นนั้นจริง
"เจ้าก็พูดเรื่อยเปื่อย จี้หยกนี้สวยงามยิ่งนัก"
สิ่งที่อี้เฟยเฉลยทำเอาอาถังตกใจ เหตุใดของในกล่องนั้นถึงกลายเป็นจี้หยกได้ หากแต่คนที่ตกใจมิใช่มีแค่อาถังคนเดียว อี้เฟยที่เห็นอักษรสลักอยู่บนจี้นั้นคำว่า หยินเม่า[1] ตกใจยิ่งกว่าผู้ใด หากแต่เขาไม่สามารถพูดหรือซักถามเกี่ยวกับคำนี้ออกมาตอนนี้ได้เพราะเกรงจะทำให้ทั้งค่ายแตกตื่น
"หม่อมฉันดีใจที่พระองค์ชอบเพคะ"
อี้เฟยจ้องสตรีตรงหน้าราวกับอยากมองให้ทะลุถึงความคิดนาง หรือว่าการฟื้นขึ้นมาอีกครั้งของฟ่างเซียนเซียนนางนี้จะทำให้นิสัยใจคอเปลี่ยนไปงั้นหรือ
เคยเห็นในตำรานิทานว่าไว้ ผู้ที่ฟื้นจากความตายมาได้ หากไม่วิกลจริตทางสมองก็กลายเป็นเยี่ยงศพเดินได้ แล้วฟ่างเซียนเซียนผู้นี้จะเปลี่ยนไปอย่างที่นิทานเขาเล่ามาหรือไม่
"ข้าจะเก็บมันติดตัวไว้เป็นอย่างดี"
"ขอบพระทัยองค์ชายที่ให้เกียรติเพคะ"
หลังงานเลี้ยงเลิกเขาคงต้องหาเวลาแอบนัดพบนางเพื่อถามไถ่เกี่ยวกับจี้หยกนี้เสียแล้ว
[1] หยินเหม่า = แผนร้าย