ผ่านมาแล้วครึ่งก้านธูปสตรีทั้งสามที่ถูกช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำยังคงไม่มีใครได้สติ อาการผู้ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นเจินเม่ยและเจินซู่
"เจ้าบอกว่าเม่ยเอ๋อร์ถูกงูกัดแล้วตกน้ำไป"
เสวียนสวี่สอบสวนทหารที่เป็นคนพายเรือให้เจินเม่ย
"ขอรับ คุณหนูรองให้ข้าช่วยพายเรือให้ ตอนที่ข้าพาคุณหนูรองไปชมดอกเหมยตามคำสั่ง พอไปถึงใต้ต้นไม้นั้นจู่ ๆ ก็มีงูตกลงมากลางลำเรือ คุณหนูรองตกใจกระโดดหนีแต่ไม่ทันถูกงูตัวนั้นฉกแล้วตกน้ำไป"
รอยคมเขี้ยวสองเขี้ยวที่ข้อเท้าเจินเม่ยเป็นหลักฐานยืนยันว่าเรื่องที่ทหารผู้นั้นเล่ามาเป็นเรื่องจริง
เสวียนสวี่ถอนหายใจพลางนึกดีใจที่บุตรสาวคนรองตกน้ำในเขตค่ายทหารที่มียาถอนพิษงูทุกชนิดอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงได้จัดงานไว้ทุกข์ให้เจินเม่ยแทน
"คนที่ท่านต้องห่วงมากที่สุดเห็นจะเป็นฟ่างฮูหยิน"
ท่านหมอที่ถูกนำตัวมาด้วยม้าเร็วเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
ศีรษะเจินซู่ถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักบวกกับการจมน้ำค่อนข้างนาน ทำให้ตอนนี้เจินซู่แทบจะกลายเป็นคนที่ตายก็ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ก็ไม่เชิง
"ไม่มีใครเห็นเลยรึว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือของฮูหยิน"
เสวียนสวี่ถามคำถามนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ทว่ากลับไม่มีทหารคนไหนกล้าเอ่ยปากว่าเห็นเหตุการณ์ จนกระทั่ง...
"องค์ชายห้าถังอี้ซินเสด็จ"
เสียงทหารคุ้มกันด้านนอกตะโกนขึ้น ม่านประตูกระโจมถูกเปิดอ้ากว้างออกปรากฎร่างของบุรุษรูปงามสูงแปดฉื่อ สวมฉลองพระองค์ด้วยผ้าแพรปักลวดลายงดงามสีเข้มก้าวย่างเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม
"ถวายบังคมองค์ชาย เหตุใดพระองค์จึงไม่ให้องครักษ์แจ้งข่าวล่วงหน้าว่ามาถึงแล้ว ข้ากระหม่อมจะได้นำทหารออกไปรับเสด็จ"
เสวียนสวี่กล่าวอย่างรู้สึกผิดที่บกพร่องต่อหน้าที่ ทั้ง ๆ ที่เมื่อสองวันก่อนอี้เฟยแจ้งข่าวแก่เขาแล้วว่าองค์ชายห้าอี้ซินจะเดินทางมาเยือนค่ายทหารแห่งนี้
"มิใช่ความผิดท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าอยากเดินทางมาที่นี่เงียบ ๆ จึงไม่ได้ให้องครักษ์ตามมาหลายคน มีเพียงข้ากับฉินเทาเท่านี้"
ฉินเทาคือองครักษ์ข้างกายองค์ชายห้าอี้ซิน วรยุทธ์เขาเก่งกาจมิได้ด้อยกว่าต้าลู่องครักษ์ของอี้เฟยเท่าใดนัก
"เชิญองค์ชายประทับทางนี้"
ยังดีที่เสวียนสวี่จัดเตรียมข้าวของไว้ให้เขาอย่างสมเกียรติเท่าที่ค่ายทหารแห่งนี้พึงมี
"มีเรื่องอันใดกันรึ เหตุใดถึงได้เรียกทหารเข้ามาในนี้เยอะแยะเชียว"
อี้ซินช่างสังเกต เขาเห็นในกระโจมส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่มีทหารหลายระดับยศยืนอยู่มากกว่าสิบคนจึงถามไถ่
"พอดีในค่ายเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น กระหม่อมกำลังสอบสวนหาความจริงอยู่พ่ะย่ะค่ะ"
"เรื่องวุ่นวาย เรื่องอันใดกัน หากไม่เป็นความลับ ข้าขอร่วมฟังด้วยคนได้หรือไม่"
เสวียนสวี่ชักสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากจะบอกว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวคงเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อมที่ปฏิเสธความอยากรู้ของเชื้อพระวงศ์ผู้นี้
"มิใช่เรื่องใหญ่อันใดที่ควรปกปิด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ฮูหยินของกระหม่อมและบุตรสาวทั้งสองพายเรือชมทิวทัศน์แล้วเกิดอุบัติเหตุเข้าจนจมน้ำทั้งสามคน"
"จมน้ำ! แล้วพวกนางเป็นเยี่ยงไรกันบ้าง"
อี้ซินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจผสานห่วงใย
"ฮูหยินกับเจินเม่ยอาการน่าเป็นห่วงทั้งคู่พ่ะย่ะค่ะ"
พูดแล้วก็จุกที่อก แม้เขาจะมิได้ชอบพอเจินซู่เท่ากับเหวินเหม่ยเซียวมารดาฟ่างเซียนเซียนแต่ด้วยความที่อยู่กินกับเจินซู่มาสิบกว่าปีจึงพอมีความพันผูกกับนางอยู่บ้าง ครั้นมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้เขาเลยรู้สึกผิดปนห่วงใยตามประสาสามีภรรยา
"ผู้ที่ตกน้ำคือบุตรสาวและหลานสาวของเจ้ากรมมหาดไทยอ้าวหลุน?"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เรื่องนี้ชักน่าสนใจแล้วสิ
เทียนอ้าวหลุนคือเจ้ากรมมหาดไทย ผู้มีอำนาจควบคุมการเลื่อนขั้นของเหล่าขุนนางในวัง เขารักบุตรสาวอย่างเจินซู่ยิ่งนัก หากอ้าวหลุนรู้เรื่องของบุตรสาวเขาและหลานสาวในครั้งนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของเมืองถังเหลียนจะยังเป็นของฟ่างเสวียนสวี่หรือไม่
"มีเรื่องอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้หรือไม่"
สีหน้าอ่อนโยนขององค์ชายห้าปรากฎขึ้น
อี้ซินคือโอรสของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่มีข่าวลือในวังหนาหูว่าคือผู้ที่ฝ่าบาทจะต้องแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทลำดับต่อไปในไม่ช้านี้
"กระหม่อมมิบังอาจรบกวนพระองค์"
"มิต้องเกรงใจ ข้ากับเจ้ากรมอ้าวหลุนก็ใช่คนอื่นไกล หากหาความเป็นธรรมให้บุตรสาวและหลานสาวเขาได้ข้าก็ยินดี"
ช่างเป็นโอรสที่มีจิตใจดีอะไรเช่นนี้ สมแล้วที่เขาไม่สนใจการศึกและฝึกวิชายุทธ์ แต่กลับเลือกเป็นหนอนหนังสือท่องตำรากาพย์กลอนศึกษากฎหมายบ้านเมืองแทน
"เช่นนั้นกระหม่อมขอบพระทัยที่ทรงยื่นมือช่วย"
เสวียนสวี่มิได้สนิทกับองค์ชายห้าเท่าใด เขาแทบจะนับครั้งในการพบปะพูดคุยกับคนผู้นี้ได้ด้วยซ้ำ
"แล้วท่านแม่ทัพใหญ่จะให้ข้าช่วยเรื่องอันใดดี"
"ตอนนี้กระหม่อมกำลังหาพยานที่พบเห็นเหตุการณ์บนเรือพ่ะย่ะค่ะ"
"อ้อ เรื่องแค่นี้เอง ในกลุ่มทหารตรงหน้าข้า หากผู้ใดเห็นเหตุการณ์ที่ว่านี้ให้ก้าวออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว"
สิ้นเสียงอันสูงส่งนี้ ทหารที่ฟ่างเสวียนสวี่เคยถามแทบคอแหบแห้งต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จนท้ายที่สุดมีทหารนายหนึ่งก้าวเดินออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว
"กระหม่อมสมควรรับโทษ กระหม่อมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก"
ก่อนจะสิ้นสุดถ้อยคำนั้นเสียงทหารนายนี้แผ่วเบาราวหวาดกลัวสิ่งใดในอก