ตอนที่ 9
ทั้งสองหลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อนไปกับความสุขจนล้นอก บทรักอันเร่าร้อนและสวยงามถูกเก็บเอาไว้ในความทรวงจำที่ไม่อาจลืมของดาราวดี เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าคมคายในยามหลับของเขาช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน มือบางไล้เบาๆ กับแก้มและคางก่อนจะก้มลงจุมพิตเรียวปากเข้ม หัวใจสะท้านจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ เมื่อยามที่แต่งตัวและพาตัวเองออกไปจากที่นั่น
กว่าความอ่อนเพลียจะหมดฤทธิ์ ร่างกายแกร่งเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็น ภาคิไนยยิ้มกริ่มโดยไม่ลืมตาแต่ควานมือหาร่างนุ่มที่กอดแนบนอน ความว่างเปล่าและความเย็นเยียบของที่นอนทำให้เขาทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง
“ดาว...”
ตาคมกวาดหาร่างอุ่นไปทั่วห้องเล็กๆ นั่น หากมีเพียงความว่างเปล่า ห้องน้ำที่เปิดอ้าไม่ต้องไปดูก็รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในนั้น ชายหนุ่มรีบลุกลี้ลุกลนควานหาเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งๆ คว้างๆ โดยไม่ใส่ใจมาสวมใส่อย่างรีบร้อน
“ดาว...อย่าหนีผมไปนะ”
ภาคิไนยเฝ้าร่ำร้องในใจ ความรู้สึกราวกับว่าใครมาพรากดวงใจเขาไป เมื่อแต่งตัวเสร็จเขาก็พุ่งตรงออกมายังรถยนต์คันโก้ของตัวเอง เขายอมเสียเวลาถามเด็กรับรถ และยัดธนบัตรให้ปึกหนึ่งโดยไม่นับ
“น้อง เห็นผู้หญิงที่มากับพี่ไหม”
“เธอกลับไปเป็นชั่วโมงแล้วครับพี่”
คำตอบที่ได้ยิ่งเพิ่มความรุมร้อนให้ใจแกร่งยิ่งนัก ใจจดจ่ออยู่ที่ดาราวดีเพียงคนเดียวจนอยากจะติดปีกบินไปหา เธอบอกว่าเย็นนี้จะเดินทางไปต่างประเทศ เครื่องออกกี่โมงเขาก็ไม่รู้ ทำไมเธอใจร้ายนัก ทั้งที่บอกว่าจะอยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆ
ความรีบร้อนและรุ่มร้อนในหัวใจ ส่งผลให้รถที่เขาขับราวกับจะบินได้เมื่อชายหนุ่มเหยียบมิดจมคันเร่ง และเพราะความรีบร้อนทำให้ไม่ได้มองว่า ถนนอีกด้านกำลังมีรถบรรทุกวิ่งมาด้วยความเร็วสูงเช่นกัน
“พี่ดาวไม่เปลี่ยนใจแน่เหรอคะ”
ปรางอินท์กุมมือพี่สาวเอาไว้แน่น ก่อนที่ร่างระหงของคนเป็นพี่จะเดินเข้าไปในช่องผู้โดยสารขาออก
ดาราวดีส่ายหน้า แม้จะเศร้าและเสียใจเพียงใด เธอก็ต้องไป แค้นที่อัศวเรืองยศทำเอาไว้กับครอบครัวนั้นยิ่งใหญ่นัก กฎหมายไม่สามารถเอาผิดพวกนั้นได้ แต่เธอจะยอมปล่อยให้พวกมันเสวยสุขบนหยาดเหงื่อและกลิ่นคาวเลือดของพ่ออย่างสุขสบายอย่างแน่นอน
“พี่ว่าปรางควรจะไปกับพี่ อย่าอยู่ที่นี่อีกเลยนะปราง”
“พี่ดาว เมืองไทยเป็นบ้านของพ่อและแม่ ปรางอยากอยู่ที่นี่ ปรางไม่อยากให้พี่ไป เรื่องทุกอย่างมันต้องแก้ไขได้ นะคะอย่าไปเลย”
ผู้เป็นน้องสาวพยายามอ้อนวอน เธอสงสารพี่สาวจนน้ำตาแทบร่วง เพราะรู้ดีถึงความรักที่ดาราวดีและภาคิไนยมีต่อกัน
“มันสายไปแล้วปราง พี่ไม่อยากเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น ถ้าเธอไม่ไปก็ดูแลตัวเองให้ดีนะ พี่ไปล่ะ” ดาราวดีจำต้องตัดบทก่อนที่เธอจะปล่อยโฮออกมาให้น้องสาวและคนทั้งสนามบินได้เห็น ความเจ็บครั้งนี้มันรุนแรงมากเหลือเกิน
เมื่อผู้เป็นพี่ยืนยันหนักแน่น ปรางอินท์จำต้องปล่อยมือพี่สาว เธอทำได้เพียงยืนมองตามหลังที่หายลับเข้าประตูไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างเศร้าๆ เธอเข้าใจพี่สาวดีทีเดียว สิบปีที่ดาราวดีจมอยู่กับความแค้นด้วยความทุกข์ มาบัดนี้ดาราวดีพยายามหนีใจตัวเองไปเสียไกลลิบ หากก็คงไม่สามารถหนีความทุกข์ในใจที่สาหัสหนักหนาไปได้
ปรางอินท์จึงต้องกลับบ้านด้วยความเหงาหงอย สงสารพี่ก็สงสาร และสงสารไปถึงภาคิไนยด้วย เธอเดินคิดอย่างเหม่อๆ ก่อนสายตาจะเหลือบมองไปที่ทีวีอย่างไม่ตั้งใจ รายงานข่าวด่วนนั้นทำให้สาวน้อยรู้สึกวิงเวียนขึ้นมากะทันหัน จนต้องรีบพาตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้ที่ทางสนามบินจัดเตรียมไว้ให้ผู้ที่เดินทางได้นั่งพักระหว่างรอเครื่องออก
“พี่ไนย...”
อีกมุมเมืองหนึ่งภายในบ้านหลังใหญ่ในอาณาบริเวณที่กินเนื้อที่กว่าสิบไร่ ชายวัยหกสิบเศษกำลังหน้าเครียดกับเอกสารที่อยู่ในมือ เขาคือ ภาวิช พ่อของภาคิไนยนั่นเอง ทุกรายละเอียดบนกระดาษหลายไปที่ตากวาดผ่าน ทำให้หัวใจของภาวิชกระตุกถี่และเต้นรัวเร็ว เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมาให้ แม่บ้านของเขาเป็นคนนำมาให้ บนซองสีน้ำตาลไม่ได้ระบุข้อความใดนอกจากชื่อของเขาเอง
กระดาษเหล่านั้นบ่งบอกเขาว่า บริษัทที่เขาเพียรสร้างและพัฒนาจนเติบโตติดหนึ่งในสิบของประเทศในทุกวันนี้กำลังจะประสบกับปัญหา สูตรของผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่บริษัทได้ลงทุนในด้านของงานวิจัยไปเป็นสิบล้านก่อนจะลงมือผลิตและจะออกจำหน่ายสู่ท้องตลาดในเดือนหน้า บัดนี้บริษัทคู่แข่งของเขากำลังจะวางจำหน่ายในวันพรุ่งนี้แล้ว แล้วยังมีอีกหลายๆ อย่างที่บ่งชี้ได้ว่า อาจจะทำให้บริษัท พี.เค.เอ็น เนเจอรัล กรุ๊ป จำกัด ถึงคราวคับขัน เขากำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัว อาจจะถึงขั้นล้มละลายจากการถูกฟ้องร้อง ที่สำคัญกระดาษใบสุดท้าย มีข้อความสั้นๆ ที่ทำให้หัวใจของภาวิชทำงานผิดพลาด
“แด่เพื่อนทรยศ จาก อาทิตย์ รุ่งรัตน์เกรียงไกร”
ชื่อนั้นเองที่ทำให้ร่างท้วมใหญ่แทบจะทรุดลงบนเก้าอี้ มืออวบอูมยกขึ้นมากุมหน้าอกข้างซ้ายเมื่อหัวใจเริ่มเต้นแรงผิดจังหวะ เขาพยายามควบคุมการหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอได้อย่างยากยิ่ง
“ท่านครับท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ” นายกมลซึ่งเป็นคนสนิทเปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยหน้าตาตื่น
“มีอะไร” ภาวิชถามเสียงเรียบที่เขาบังคับให้เรียบและนิ่งมากที่สุด
“คุณภาคิไนยครับ คุณไนยประสบอุบัติเหตุตอนนี้อยู่ที่โรงพยายามอาการโคม่าครับท่าน”
คำรายงานของคนสนิทเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ชายชราทรุดฮวบลงกับเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องทำงาน แขนขาและร่างกายเริ่มชักกระตุก
“คุณท่าน!!!”